ตอนที่ 742 เรื่องราวที่เจ้าโง่และเจ้ารุ่งเรืองจะต้องเล่า
คนบ้านเดียวกันเจอกันต่างแดน รู้สึกถึงความสนิทชิดเชื้อมากเป็นพิเศษ
ในหลายครั้ง คนบ้านเดียวกันหมายถึงคนที่บ้านเกิดอยู่ที่เดียวกับคุณ แต่ก็มีบางครั้งที่หมายถึงคนที่เกิดในยุคสมัยเดียวกันด้วย ยกตัวอย่างเช่น ตอนคุณอายุมากถึงเก้าสิบปี คุณยังมีอะไรให้พูดคุยกับเด็กเหลือขออายุสามสิบสี่สิบปีที่มีบ้านเกิดเดียวกับคุณอีกหรือ บางทีถ้าคุณพบชายชราอายุเก้าสิบปีจากต่างเมือง เมื่อนั้นถึงจะพูดคุยถึงเรื่องสาระพัดระเพเก่าแก่สนิมเขรอะตามกระแสแห่งประวัติศาสตร์ที่เคยประสบมาในสมัยนั้น
ปัดฝุ่นคละคลุ้งแห่งประวัติศาสตร์ออกไป แววตาของเจ้าโง่เผยให้เห็นความลึกล้ำ เจอคนบ้านเดียวกันอีกแล้ว อ้อ ไม่สิ ไม่ถูกต้อง ต้องเป็นพบเจอสุนัขจากบ้านเกิดอีกครั้งต่างหาก
สิ่งที่แตกต่างจากการต่อสู้กับตำรวจเฉินครั้งที่แล้วก็คือ ร่างแยกของเซี่ยจื้อยิ่งเหมือนโปรแกรมที่กำหนดไว้กระจายตัวออกมา ดูเหมือนปกติ แต่ไม่มีความรู้สึกมากนัก เหมือนกับหุ่นยนต์นิดหน่อย ดูเหมือนว่ามีความฉลาดสูงมาก แต่ก็ดูเหมือนไม่ฉลาดอะไรเลยเช่นกัน ทว่าเจ้านี่ที่อยู่ตรงหน้าเป็นสายใยแห่งจิตวิญญาณที่เซี่ยจื้อแยกออกมาเป็นพิเศษ มันคิดเป็น มันมีอารมณ์ความรู้สึก ในระดับหนึ่ง มันถือได้ว่าเป็นตัวแทนการดำรงอยู่ของจิตสำนึกของเซี่ยจื้ออย่างแท้จริง
เมื่อเปรียบเทียบกับ ‘คิดถึงบ้านคืออะไร’ ของเจ้าโง่แล้ว ทางเซี่ยจื้อดูทำลายสไตล์ของภาพ…เล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด
เดิมทีเป็นความโศกเศร้าเล็กน้อยอันเกิดจากการจากลา ยามราตรีหิมะโปรยปรายในยุคสมัยนั้นผู้คนกลับมาบ้าน นั่งลงด้วยกัน เหล้าต้มใหม่ลอยน้ำดั่งมดเขียว เตาดินเผาใบเล็กจากดินแดงอะไรเทือกนั้น มันค่อนข้างมีจินตภาพเลยทีเดียว แม้ว่าตอนท้ายคุณจะถูกแทงตายด้วยคมมีด แต่ยังสามารถร่วงตกเก้าอี้พร้อมกับรอยยิ้มประดับบนใบหน้าได้ ถึงจะไม่ผิดต่อท่วงทำนองของผู้ยิ่งใหญ่ทรงพลังในยุคโบราณ
แต่ทว่าเซี่ยจื้อกลับตัวสั่นเทา ผงะถอยหลังไปสองสามก้าวทันที สองมือยันพื้น สองเท้าเอนไปข้างหลัง แขนขาทั้งสี่อยู่บนพื้น จ้องมองโจวเจ๋อเขม็งด้วยสายตาตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างยิ่ง ขาดก็แค่เสียง ‘โฮ่งๆๆ!’
“ยัง…ซน…ขนาด…นี้…เหมือน…เดิม…” โจวเจ๋อส่ายหน้าติดจะผิดหวังเล็กน้อย แต่กลับเกิดความรู้สึกคิดถึงคะนึงหาอย่างหนึ่ง
ย้อนกลับไปในปีนั้น เขากำลังนั่งงีบอยู่บนบัลลังก์กระดูก มันปรากฏตัวขึ้น แฝงไปด้วยกลิ่นอายน่าเคารพเกรงขามของสัตว์อสูรผดุงธรรม สูงส่งราวกับกำลังผดุงธรรมแทนสวรรค์ เป็นตัวแทนกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ ด้วยอำนาจอันสูงสุดจึงประกาศความผิดใหญ่หลวงสิบแปดประการของเขา หมายความว่าจะให้เขายอมรับผิด ยอมขอขมาและขอรับโทษแห่งความผิดบาป ปิดผนึกตนเอง จากนั้นถูกมันผนึกไว้อีกที สุดท้ายก็ตามมันไปด้วยความยินยอมพร้อมใจ ออกจากนรกไปหาจักรพรรดิของโลกมนุษย์ในสมัยนั้น เพื่อรับโทษตามกฎหมาย!
มันในตอนนั้นช่างน่ารักเสียนี่กระไร แม้ว่าจะส่งเสียงดังจ๊อกแจ๊กจอแจเกินไปสักหน่อย
เจ้าพูดก็พูดไปเถิด ไม่ได้สั่งห้ามไม่ให้เจ้าพูด แต่ขณะที่เจ้าพูดก็มักจะใส่เอฟเฟกต์ ‘เสียงแห่งสวรรค์’ ให้ตัวเองเสมอ จบประโยคหนึ่งก็ฟ้าร้องฟ้าลั่นคำรามครืนๆ ทำให้ปวดกบาลเสียจริง
เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาบนโลกมนุษย์เสียหน่อย หรือว่าแค่ได้เห็นนิมิตแห่งฟ้าดินก็ต้องก้มหัวกราบไหว้เจ้าจริงๆ น่ะ ทุกคนต่างก็เป็นตัวตนระดับสูงด้วยกันทั้งนั้น ใครบ้างจะทำเรื่องหลอกลวงจกตาแบบนี้ไม่ได้บ้างล่ะ อวดเก่งเช่นนี้ มันมีประโยชน์หรือ
เดิมทีอิ๋งโกวไม่สนใจจะข้องเกี่ยวกับมัน เพียงแต่คิดว่ามันค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
มันก็เหมือนกับตอนที่คุณเห็นเจ้าสุนัขไซบีเรียนฮัสกี้สวมมงกุฎบนหัวและถือคัมภีร์อะไรสักอย่าง หรือไม่ก็ท่องประมวลกฎหมายให้คุณฟังอย่างเคร่งขรึม ท่าทาง ‘บ๊อกๆ บ๊อกๆ’ แบบนั้น คุณจะโมโหใส่มันไหมล่ะ
เดาว่าคุณคงรู้สึกว่ามันตลกมาก มื้อเย็นจะเพิ่มกระดูกให้มันกินสักหน่อย
ตอนนั้นอิ๋งโกวก็รู้สึกแบบนี้ รู้สึกว่ามันน่าสนุกและน่าสนใจมาก แต่หลังจากที่มันป่าวประกาศความผิดใหญ่หลวงสิบแปดประการของเขาแล้ว ยังอ่านมาตรการลงโทษสามสิบหกข้อต่อ… แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ยังไม่ปิดเอฟเฟกต์พิเศษอีกนี่สิ!
ก็เป็นเช่นนี้ อิ๋งโกวยอมอดทนแล้ว หากใครต้องมาเผชิญกับสุนัขที่ทั้งน่ารักและโง่เขลาตัวหนึ่งระดับความอดทนก็จะสูงขึ้นมาก จากนั้นพออ่านมาตรการลงโทษทั้งสามสิบหกข้อจนจบแล้ว เซี่ยจื้อก็เริ่มอ่านแผนพัฒนากฎหมายสำหรับนรกในอนาคตตั้งหนึ่งร้อยแปดข้อ
‘…’ อิ๋งโกว
ตอนนั้นอิ๋งโกวแค่พูดว่า ‘หากเจ้ายังพล่ามไร้สาระต่อไป ข้าจะหักเขาเจ้าเสีย’
เซี่ยจื้อดันพูดอย่างกระตือรือร้นมากขึ้นไปอีก ท้ายที่สุดแล้วคนหนุ่มสาวมักต้องการทำให้เป็นเรื่องใหญ่เสมอ เช่นเดียวกับเมื่อทนายความหนุ่มหลายคนเริ่มต้นอาชีพ มักอยากเผชิญคดีใหญ่ๆ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองอยู่เสมอ
เซี่ยจื้อตื่นเต้นแล้วเช่นกัน มันถือเอาการข่มขู่คุกคามของอิ๋งโกวที่มีต่อมันมาเป็นแรงผลักดันให้กำลังใจตัวเอง และถือว่าเป็นการยอมรับมัน! จากนั้นก็เมินเฉยต่อคำเตือนของอิ๋งโกวจริงๆ และเริ่มอ่านแผนพัฒนากฎหมายในอนาคตหนึ่งร้อยแปดข้อ จนในที่สุดมันก็ยั่วยุให้อิ๋งโกวโมโหได้สำเร็จ
ความจริงแล้ว ในตอนนั้น ด้วยอารมณ์และตำแหน่งฐานะของอิ๋งโกว เขาพยายามยับยั้งชั่งใจสุดๆ แล้วจริงๆ ก่อนที่อิ๋งโกวจะลงมือหักเขาของมันตามที่เขาพูดก่อนหน้านี้ทุกอย่าง ซึ่งในครั้งนี้ก็ได้สร้างภาพลักษณ์เขาเดียวของเซี่ยจื้อในตำนานพื้นบ้านสืบเนื่องมาหลายต่อหลายปีนับไม่ถ้วน อีกทั้งยังมีคำบอกเล่าอธิบายมามากมายนับไม่ถ้วน ตัวอย่างเช่น รูปลักษณ์เขาเดียวของเซี่ยจื้อหมายถึงมันเคารพกฎหมาย และมีความอดทนอดกลั้นต่อผู้กระทำผิดเป็นศูนย์ บลาๆๆ…
…
‘แกรก’ เสียงยังดังต่อเนื่อง แต่ร่างกายฟื้นตัวขึ้นมาพอสมควรแล้ว อิ๋งโกวเหลือบมองแขนที่สูญเสียไปข้างนั้นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย มักจะรู้สึกว่าภาพลักษณ์นี้ดูขาดความเป็นพิธีรีตอง
เซี่ยจื้อหมอบคลานบนพื้น ระแวดระวังอย่างมาก กระทั่งมันยังรู้สึกว่าน่าขันเล็กน้อยจึงเอ่ยว่า “เจ้ายังไม่ตายสินะ!”
โจวเจ๋อเอือมระอาเล็กน้อยจึงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “นี่…เป็น…ครั้ง…ที่…สาม…แล้ว…” ในน้ำเสียงอัดแน่นไปด้วยความรำคาญ เพราะนี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เผชิญหน้ากับเซี่ยจื้อ แต่ทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับเซี่ยจื้อ หลังจากเปิดเผยร่างที่แท้จริง อีกฝ่ายมักจะพูดด้วยความหวาดกลัวว่า ‘เจ้ายังไม่ตายสินะ’
ครั้งแรกยังรู้สึกสะใจไม่น้อย ครั้งที่สองยังคงหัวเราะหึๆ จนมาถึงครั้งที่สามมันน่าเบื่อเหลือเกิน
“ดังนั้นร่างแยกก่อนหน้านี้ของข้าล้วนถูกเจ้า…” ขณะที่พูด เซี่ยจื้อก็เงยหน้าขึ้น ค่ายกลนี้กลายเป็นสิ่งที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้าสำหรับมันในตอนนี้
“เจ้า…ทำ…ลาย…ไม่…ได้…หรอก…”
เซี่ยจื้อพยักหน้า ไม่ได้โต้แย้ง แต่ก็ยังเอ่ยว่า “ก็ต้องลองดูสักตั้ง อย่างไรเสียเมื่อก่อนก็เป็นเพียงการฉายภาพร่างแยก แต่คราวนี้เป็นจิตวิญญาณ”
โจวเจ๋อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า ดูเหมือนจะแสดงว่าเห็นด้วย แล้วจึงเอ่ยตอบ “ขอบ…ใจ…”
“…” เซี่ยจื้อ!
ขอบใจ!
ขอบใจหมายความว่าอย่างไร!
เมื่อก่อนมอบเนื้อให้ครึ่งกิโล ครั้งนี้แจกอีกสองกิโลแถมยังให้กระดูกไว้ตุ๋นซุปดื่มด้วยหรือ
ลมปราณของเซี่ยจื้อเริ่มแข็งแกร่งขึ้น “ก่อนหน้านี้เจ้าทำไมไม่ออกมาเร็วหน่อย…” ถามถึงตรงนี้เซี่ยจื้อก็ชะงักคำพูด เพราะมันเข้าใจแล้วว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายไม่ออกมาเร็วๆ ก็เพราะอยากจะยืมความสามารถของมันฝึกฝนร่างกายนี้ใหม่อีกครั้ง!
นี่เป็นการเอามันเป็นไม้ซักผ้า ให้มันทำงานโดยเปล่าประโยชน์!
โจวเจ๋อเอียงศีรษะเล็กน้อยและรักษารอยยิ้มต่อไป “ร่าง…นี้…ซับ…ซ้อน…เกิน…ไป…”
ในช่วงเวลาที่อิ๋งโกวหลับใหล เถ้าแก่โจวได้รับบาดเจ็บไปทั่วทุกที่ และก่อเรื่องไปทั่วทุกทิศ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนก็ตาม แต่ออกมาหลังบาดเจ็บสาหัสครั้งแล้วครั้งเล่าได้ทิ้งอันตรายซ่อนเร้นให้ร่างกายนี้ไว้มากเกินไป ดังนั้นจากความเข้าใจคู่ต่อสู้ อิ๋งโกวถึงไม่ตื่นขึ้นมาตรงๆ ตอนนี้กระดูกร่างนี้ทั้งเบาและแห้งกว่าเดิมมาก ใช้การก็สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น
“เจ้าอยากกินข้าหรือ” เซี่ยจื้อถาม
“กิน…ไป…ตั้ง…สอง…ครั้ง…แล้ว…”
ความหมายระหว่างบรรทัดชัดเจนจึงไม่ต้องถามแล้ว
“ข้าตายแล้ว เขาก็จะตายด้วย” เซี่ยจื้อเอ่ยพูด
“ข้า…สน…ใจ…ด้วย…หรือ…” โจวเจ๋อแสดงสีหน้าเฉยเมย เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยพูดอย่างไม่ลังเลว่า ทั้งร้านหนังสือ นอกจากเจ้าเป้าฉีกคนนั้น คนที่เหลือเป็นแค่ขยะที่เจ้าสุนัขเฝ้าบ้านของตัวเองนำกลับมาบ้านเท่านั้น
ดูเหมือนว่าจุดยืนของทั้งคู่จะกลับตาลปัตรกัน คนที่มีพลังต่อสู้สูงสุดของฝั่งร้านหนังสือน่าจะให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของจางเยี่ยนเฟิงมากกว่า แต่กลับแสดงท่าทีไม่แยแสออกมา ส่วนเซี่ยจื้อที่เตียงยังไม่ทันอุ่นดันถูกเหล่าจางหักหลัง กลับแสดงตัวว่าจะปกป้องเขาเสียอย่างนั้น
“อันที่จริง ก็น่าขันทีเดียว เจ้าในตอนแรกไม่ได้ตาย ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ แต่เจ้ายอมใช้วิธีอย่างนี้ดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตต่อไป ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน”
โจวเจ๋อพยักหน้าโบกแขนบอกว่า “มา…เลย…”
ไม่พล่ามไร้สาระแล้ว
ทำไมเจ้าเป็นเหมือนเมื่อก่อนเปี๊ยบ จะทำเรื่องอะไรก็ลีลาพล่ามไร้สาระมากมาย อย่างไรเสียก็เป็นเจ้าที่ต้องถูกอัดเละ ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้าที่ต้องโดนซัดหมอบ ต่อให้พูดพล่ามมากแค่ไหน ก็ไม่ใช่ว่ากำลังตบหน้าตัวเองอยู่หรอกหรือ
เซี่ยจื้อพยักหน้า แขนขาสั่นไหวทันที และพื้นก็สั่นสะเทือน แต่ไม่ได้เกิดความเสียหายแต่อย่างใด อันที่จริง นับตั้งแต่เริ่มต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายสร้างความเสียหายให้กับพื้นร้านหนังสือไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตอะไรมาก เซี่ยจื้อไม่อยากทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ส่วนเถ้าแก่โจวก่อนหน้านี้เป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมของเขา
อากาศโดยรอบแข็งตัวขึ้น ร่างกายของเซี่ยจื้อกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งตรงเข้าใส่โจวเจ๋อทันที โจวเจ๋อค่อยๆ ยืนตัวตรง โจวเจ๋อเอี้ยวตัวช้าๆ โจวเจ๋อยกแขนขึ้นเบาๆ จากนั้นแขนเดียวที่เหลืออยู่ของโจวเจ๋อก็เหวี่ยงหวดออกไปราวกับแส้หนัง!
‘เพียะ!’
‘ตู้ม!’
ดูเหมือนว่าท่ามกลางความมืดมิดจะมีโชคชะตากำหนด คนเราไม่อาจคาดเดาได้ แต่ก็คล้ายกับเรื่องที่แน่นอนเหมือนหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีจุดสุดยอด และไม่จำเป็นต้องเหมือนอุลตร้าแมน แกต่อยฉันสักป้าบ ฉันอัดแกสักที จากนั้นก็ล้มลงบนพื้น แสงสีแดงสว่างวาบ ‘ติ๊ดๆ ตู๊ดๆ ติ๊ดๆ’ สุดท้ายระเบิดจักรวาลเล็กๆ ของเซนต์เซย่าต่อ กระทั่งซัดคู่ต่อสู้ล้มลง
ทุกครั้งที่อิ๋งโกวออกมา ทุกอย่างเรียบง่ายและรวบรัดฉับไวมาก จบลงเร็วมากจนแม้แต่เซี่ยจื้อที่ถูกอัดลงไปกองกับพื้นแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวก็ยังต้องยอมรับสภาพ
“ผู้แพ้คือข้า แต่กฎหมายไม่ได้แพ้ ร่างจริงของข้ายังอยู่ เจ้าเองก็รู้ดี ข้ามีร่างแยกนับไม่ถ้วน ข้าแบ่งแยกวิญญาณได้มากมาย แต่เจ้ากล้าโผล่หัวออกมาจริงๆ ไหม เจ้าจงรู้ไว้ว่าสวรรค์มีความยุติธรรม ทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ!” เซี่ยจื้อเปล่งวาจา
ถ้าบอกว่าเป็นเป็ดตายปากแข็ง ก็เกือบจะเหมือนๆ กันแล้วละ
แขนของโจวเจ๋อกดหน้าอกของเซี่ยจื้อ เขาค่อยๆ โน้มตัวลง และก้มหน้าให้ใบหน้าของตัวเองขยับเข้าใกล้ด้านหน้าของเซี่ยจื้อ พลางพูดช้าๆ อย่างผิดหวังทั้งยังฉายแววครุ่นคิด “ครั้ง…ก่อน…เจ้า…หนี…ไป…เร็ว…เกิน…จน…ลืม…ถาม…เจ้า…”
เซี่ยจื้อหน้าแดงก่ำ แต่ก็ยังถามออกไป “ถามอะไร”
โจวเจ๋อหยุดไปชั่วขณะหนึ่งและถาม “ใน…เมื่อ…จักรพรรดิ…เหยา…ต้อง…การ…เลือก…สัญลักษณ์…แห่ง…กฎ…หมาย…”
“หือ”
“เหตุ…ใด…ไม่…เลือก…คน…แต่…กลับ…เลือก…สุนัข…ทรง…เลี้ยง…ของ…ตัวเอง…”
……………………………………………………………………