บทที่ 304 วิชาที่ดีสำหรับการเรียนรู้
พลังดวงวิญญาณห้าสิบเก้าส่วนหลั่งทะลักเข้าไป ทำให้สวี่ชิงตัวสั่นในพริบตา ช่องเวทในร่างกายห้าสิบเก้าช่องระเบิดขึ้น สะกดวิญญาณเหล่านี้ต่อเนื่อง
เนื่องจากเยอะเกินไป จะหลอมพวกมันต้องใช้เวลาสักพัก สวี่ชิงจึงนั่งลงขัดสมาธิทันที สูดรับเต็มกำลัง
ขณะเดียวกัน นายท่านเจ็ดกวาดตาไปรอบๆ เบ้ปาก
“มีแค่นี้เองหรือ น่าเบื่อจริง”
ขณะที่พูด เขาสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นก็เห็นเรือเวทที่ดูเหมือนเรือธรรมดาลำหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ เรือเวทลำนี้สร้างขึ้นคล้ายกับเรือเวทของสวี่ชิง เพียงแต่พอมองภายนอก ดูเก่าทรุดโทรมกว่า
แต่ความเป็นเทพไหลเวียนเข้มข้นมาก
ขณะเดียวกันติงเสวี่ยก็กำลังนอนอยู่บนดาดฟ้าเรือเวท เห็นได้ชัดว่าตอนที่สวี่ชิงพุ่งออกไปสู้กับชายชรานั่นก่อนหน้านี้ นายท่านเจ็ดรับตัวติงเสวี่ยมาแล้ว
เพิ่งตื่นขึ้นมา ใบหน้าติงเสวี่ยยังมึนงงอยู่ หลังจากก้มหน้าลงเห็นนายท่านเจ็ดด้านนอกเรือเวท นางก็ตกตะลึง
“ท่านน้าเขยหรือเจ้าคะ” จากนั้นเมื่อนางเห็นสวี่ชิงนั่งสมาธิอยู่ข้างๆ นายท่านเจ็ด หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ ร่างกายแผ่ไฟไร้รูปร่างออกมาไม่หยุด ติงเสวี่ยก็ทำหน้าสงสัย
“ท่านน้าเขย เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ ทำไม…ท่านอยู่ที่นี่ล่ะ แล้วพี่สวี่ชิงด้วยนี่มันอะไรกัน” ติงเสวี่ยกะพริบตาปริบๆ นางเกิดการคาดเดาแย่ๆ ขึ้นในใจ การคาดเดานี้ทำให้หน้าของนางแดงขึ้นในพริบตา
‘ไม่ใช่กระมัง ท่านน้าเขยตามหลังมาตลอดทางเช่นนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้นที่ข้าทำทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็เห็นหมดแล้วน่ะสิ…’ หน้าติงเสวี่ยแดงหนักยิ่งกว่าเดิม ความรู้สึกเหมือนผู้ปกครองเห็นภาพออดอ้อนของตนเอง ทำให้นางรู้สึกอับอายเหลือเกิน
เห็นว่าติงเสวี่ยอยู่ในสภาพนี้ นายท่านเจ็ดก็หัวเราะ เขาเห็นชัดเจนแน่นอน
ได้ยินเสียงหัวเราะของนายท่านเจ็ด ติงเสวี่ยก็หน้าแดงกระทืบเท้าตึงตังอย่างไม่พอใจ
“ท่านน้าเขย!”
“ไม่เห็น ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น” นายท่านเจ็ดกระแอมไอ เขาที่ไม่มีทายาทรู้สึกรักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้มาก
ขณะที่หัวเราะนายท่านเจ็ดก็สะบัดแขนเสื้อ พาสวี่ชิงขึ้นไปบนเรือเวท โยนสวี่ชิงไปข้างๆ ท่านเจ็ดยกมือขวานายขึ้น ไข่มุกวิญญาณลูกหนึ่งปรากฏขึ้นบนมือ กำลังจะเอ่ยปาก ก็พบว่าติงเสวี่ยมองสวี่ชิงอย่างปวดใจ
สีหน้านั้นเห็นได้ชัดว่าเจ็บปวดที่สวี่ชิงถูกโยนไปเช่นนั้น
“เขาหนังหนาน่ะ ไม่เป็นไรหรอก” นายท่านเจ็ดหดหู่ขึ้นมา
“ท่านน้าเขย พี่สวี่ชิงอายุยังน้อย ร่างกายกำลังเติบโต ครั้งหน้าท่านก็เบามือหน่อยเถิด ดีหรือไม่เจ้าคะ หลังจากข้ากลับไป จะพูดเรื่องดีๆ ของท่านกับท่านป้าฟังเจ้าค่ะ” ติงเสวี่ยวิ่งไปข้างนายท่านเจ็ด ดึงแขนเขาอย่างออดอ้อน
นายท่านเจ็ดมองติงเสวี่ย จากนั้นก็มองสวี่ชิงที่ยังคงหลอมวิญญาณอยู่โดยไม่รู้อะไรกับทางนี้เลย ถอนหายใจยาวออกมา เขาก็พบความรู้สึกของศิษย์คนโตในชีวิตประจำวันขึ้นมารางๆ แล้ว
ตอนนี้จึงส่ายหัวอย่างจนใจ กดไข่มุกวิญญาณในมือลงไปบนหน้าผากของติงเสวี่ย ตบลงไปเบาๆ
“เอาล่ะๆๆ รีบไปฝึกบำเพ็ญได้แล้ว ไข่มุกวิญญาณนี้พอจะช่วยเปิดไฟชีวิตดวงที่หนึ่งของเจ้าได้ไวที่สุด”
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านน้าเขย” ติงเสวี่ยดีใจ หาจุดที่อยู่ใกล้ๆ สวี่ชิงนั่งลงขัดสมาธิ หลับตาฝึกบำเพ็ญ ในใจเต็มไปด้วยความปรีดา
นายท่านเจ็ดหันกลับไปมองทั้งสองคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ในใจก็เต็มไปด้วยความทอดถอนคร่ำครวญ ผ่านไปครู่หนึ่งก็หันหน้ากลับ ยืนเอามือไพล่หลังที่หัวเรือ ขณะที่มองออกไปไกลๆ สายตาก็กวาดมองไปรอบๆ แค่นเสียงเย็นชาขึ้นมา ควบคุมเรือเวท หวีดหวิวตรงไปเบื้องหน้า
จนหลังจากเรือเวทแล่นออกไปไกล มิติที่นี่ก็บิดเบี้ยว ร่างเงาในชุดคลุมยาวสีทองสองร่างก็เลือนราง ปราณกระบี่บนตัวพวกเขาแผ่ซ่าน มีความดุดัน แต่สีหน้ากลับเต็มไปด้วยความขมขื่น
“เจ้าสำนักคนนี้ของเจ็ดเนตรโลหิต…”
“มีเขาอยู่ พวกเราก็จะต่อต้านไม่ได้ ครั้งนี้ที่เขาไม่ลงมือกับพวกเราสองคน คิดแล้วหนึ่งก็น่าจะเห็นแก่หน้าพันธมิตร อีกเรื่องหนึ่งก็คือให้พวกเรานำภาพนี้ส่งกลับไป เป็นคำเตือนจากเขา”
พวกเขาทั้งสองคนมาจากสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้า
“สวี่ชิงผู้นี้ก็ไม่ธรรมดา แล้วยังมีเบื้องหลังเช่นนี้อีก…หลังจากนี้จะยิ่งรับมือยากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งเมื่อผ่านเรื่องครั้งนี้ไป เจ้าไม่มีทางรู้เลยว่าในอนาคตตอนที่เขาอยู่คนเดียว จะมีผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ซ่อนอยู่ด้านหลังอีกหรือไม่”
ทั้งสองคนมองตากัน ส่ายหัวแล้วจากไป
หลังจากพวกเขาจากไป ในมิติรอบๆ นี้ ยังมีกลิ่นอายอีกหลายสายแผ่ซ่านออกมา แปรเปลี่ยนเป็นเงาหลายร่าง พวกเขาเองต่างเงียบนิ่ง ขณะที่คอยป้องกันซึ่งกันและกัน ก็กำลังทอดถอนใจ
แตกต่างจากสองคนนั้นเมื่อครู่ พวกเขาไม่ใช่ผู้บำเพ็ญของพันธมิตร แต่เป็นผู้บำเพ็ญไร้สังกัดของมณฑลรับเสด็จราชัน เมื่อได้รับข่าวนี้ รู้ว่าสวี่ชิงที่มีตะเกียงแห่งชีวิตสองดวงคนนั้นของพันธมิตรแปดสำนักออกมาด้านนอก จึงรีบมาดูว่าจะมีโอกาสช่วงชิงได้บ้างหรือไม่
แต่พวกเขารู้เบื้องหลังของสวี่ชิง ดังนั้นเมื่อมาแล้วจึงได้แค่มอง ไม่มีใครบุ่มบ่ามลงมือ และภาพหลังจากนั้นก็ทำให้พวกเขาตกใจกันหมด สิ่งที่คิดในใจตอนนี้ก็เหมือนกับผู้บำเพ็ญสำนักกระบี่เมฆาจรดฟ้าสองคนนั้น
“นี่เป็นท่าทีของเจ็ดเนตรโลหิต…”
“เตือนทุกคนที่คอยจ้องหาโอกาส”
“และยังมีการคุ้มครองของพันธมิตรที่พันธมิตรแปดสำนักประกาศออกมาก่อนหน้านี้ สังหารสวี่ชิงคนนี้…สิ่งที่ต้องจ่ายนั้นมากมายมหาศาล”
“ตะเกียงแห่งชีวิตแม้จะยอดเยี่ยม แต่ชีวิตก็มีเพียงครั้งเดียว”
ความคิดแต่ละคนเริ่มวนเวียน เพียงไม่นานก็แยกย้ายไป และข่าวลือที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ค่อยๆ ลือกันออกไปจากการจากไปของพวกเขา
นี่คือการคุ้มกันที่นายท่านเจ็ดมอบให้สวี่ชิง และเป็นการเตือนคนรอบๆ ด้วย
เวลาก็ผ่านไปเช่นนี้ ช่วงเย็นของเจ็ดวันต่อมา สวี่ชิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเรือก็ลืมตาขึ้น
พริบตาที่เขาลืมตาขึ้นมา ช่องเวทหกสิบช่องในร่างกายเขาก็แผ่เปลวไฟที่น่าตกตะลึง ยิ่งมีเสียงครืนครันราวอัสนีกึกก้องในหัวของเขา
ช่องเวทหนึ่งร้อยยี่สิบช่องในตอนนี้มีครึ่งหนึ่งที่สะกดวิญญาณไว้ ภายใต้การสะกดอย่างต่อเนื่องนี้ พลังบำเพ็ญของเขาเองก็พัฒนาไปส่วนหนึ่งอย่างชัดเจน กระทั่งเปลวไฟยังมีการเปลี่ยนแปลง ในเพลิงพิฆาตมีความดุดันอีกวูบหนึ่งเพิ่มเข้ามา นั่นคือปราณพิฆาตรุนแรงที่เกิดขึ้นภายใต้การแผดเผาวิญญาณอย่างต่อเนื่อง
นี่คือเพลิงวิญญาณอนธการ
พลานุภาพของเปลวเพลิงนี้ แฝงอารมณ์เอาไว้ด้วย เมื่อเผาศัตรู ถ้าเบาหน่อยจิตใจก็จะเกิดระลอกคลื่นรุนแรง แต่หากหนักหน่อยวิญญาณจะเจ็บหนักจนแตกดับ
“รู้สึกอย่างไรบ้าง” นายท่านเจ็ดยืนอยู่ที่หัวเรือ หันหลังมามองสวี่ชิง เอ่ยเสียงเรียบ
“ขอบพระคุณขอรับท่านอาจารย์!” สวี่ชิงลุกขึ้น ประสานหมัดคารวะ
“หลังจากนี้ถ้าเจ้าออกไปข้างนอกก็จะปลอดภัยขึ้นมาก เช่นนั้นถัดจากนี้อาจารย์จะพาเจ้าไปทำเรื่องที่สอง และเป็นสาเหตุหลักในการเดินทางครั้งนี้
“ถ่ายทอด…วิชาแก่นลมปราณให้เจ้า”
สวี่ชิงฟังถึงจุดนี้ ดวงตาก็แข็งค้าง
“แต่ยังขาดอีกหน่อย เจ้าไม่ต้องรีบร้อน ข้ายังต้องลับคมวิชานี้อีกสักหน่อย” นายท่านเจ็ดพูดจบ ก็มองติงเสวี่ยที่ฝึกบำเพ็ญอยู่ ยกมือขวาขึ้นโบก หลังจากเพิ่มพลังเกราะคุ้มกันให้นางแล้ว ก็เดินออกจากเรือเวท
“ตามข้ามา”
สวี่ชิงได้ยินก็ตามไปทันที ออกจากเรือเวทไปพร้อมกับนายท่านเจ็ด เดินลงไปภูเขาด้านล่าง
แม้ที่นี่จะไม่ใช่ภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย แต่ก็ยังเต็มไปด้วยป่าเขา ยอดเขามืดมิดหลายแห่งใต้แสงโพล้เพล้ เผยความอึมครึมออกมา
และมองจากท้องฟ้า ยังเห็นว่าระหว่างยอดเขาด้านล่างมีสำนักอยู่แห่งหนึ่ง
สำนักนี้ไม่เล็ก อาณาเขตของสำนักปกคลุมไปถึงสามยอดเขา กระทั่งยังเห็นศิษย์อยู่อีกไม่น้อย กำลังเดินลอดไปมาระหว่างภูเขา
“ที่นี่คือสำนักวิญญาณสวรรค์ ไม่ใช่สำนักในพันธมิตร เป็นแค่สำนักเล็กๆ เท่านั้น พลังธรรมดา แต่สำนักนี้มีวิชาที่มหัศจรรย์อยู่วิชาหนึ่ง” ขณะที่นายท่านเจ็ดพูดก็พาสวี่ชิงเดินไปที่สำนักนี้
ครู่ต่อมาสวี่ชิงก็มีสีหน้าประหลาดใจ เขาพบว่าท่านอาจารย์พาตนเองเดินทะลุเข้าไปในสำนักเลยโดยไม่สนใจค่ายกลคุ้มกัน และศิษย์สำนักนี้ทั้งหมดที่พบตอนเดินเข้าไป ก็เหมือนมองเห็นแต่ก็มองไม่เห็นพวกเขา
และหลังจากที่นายท่านเจ็ดกวาดตามอง พาสวี่ชิงตรงไปที่ห้องเก็บคัมภีร์ของสำนักนี้ นายท่านแก่นลมปราณสองคนในนี้สัมผัสไม่ได้เลย ยอมให้สวี่ชิงกับนายท่านเจ็ดเดินผ่านกายพวกเขาไป เข้าสู่หอแห่งนี้ เข้าไปยังชั้นสูงสุดที่ศิษย์ทั่วไปไม่อาจเข้าไปได้
ข้อจำกัดทั้งหมด ตอนนี้ไร้ประโยชน์เมื่อหน้านายท่านเจ็ด ราวกับว่าไม่สามารถตรวจสอบเขาได้ และนายท่านเจ็ดก็คว้าแผ่นหยกวิชาที่ลอยอยู่กลางอากาศทีละชิ้นในหอแห่งนี้ มาอ่านเหมือนอยู่ในห้องหนังสือเรือนตน เปิดอ่านทีละชิ้น
สวี่ชิงมองนายท่านเจ็ด ไม่พูดจา
“ยังตะลึงอะไรอยู่เล่า ตั้งใจเรียนด้วย อาจารย์ในอดีตได้คิดวิธีจนหาวิชาที่มีไว้สำหรับเล่าเรียนโดยเฉพาะเชียวนะ” นายท่านเจ็ดถลึงตามองสวี่ชิง เอ่ยสั่งสอน
สวี่ชิงพยักหน้าจริงจัง ยกมือขวาขึ้นคว้าแผ่นหยกแผ่น เพ่งสมาธิอ่าน
พวกเขาศิษย์อาจารย์ก็เพ่งสมาธิดำดิ่งอยู่กับการเล่าเรียนจากหอเก็บคัมภีร์ชั้นสูงสุดของสำนักวิญญาณสวรรค์เช่นนี้ นายท่านเจ็ดตั้งใจมาก สวี่ชิงตั้งใจยิ่งกว่า โดยเฉพาะหลังจากที่เขาเห็นแผ่นหยกที่บันทึกหญ้าสมุนไพรของมณฑลรับเสด็จราชัน ก็ยิ่งจมจ่อมเข้าไปใหญ่
หลังจากนั้นหลายวัน นายท่านจัดการนำแผ่นหยกทั้งหมดในนี้มาอ่านเสียรอบหนึ่ง รู้สึกปลงตกอย่างมาก
“ไม่เลวๆ สำนักวิญญาณสวรรค์นี้ยอดเยี่ยมอย่างมากในด้านการควบคุมพลังเวทจริงๆ น่าเสียดายที่ด้านอื่นไม่ค่อยได้เรื่อง”
สวี่ชิงพยักหน้า ยังรู้สึกไม่ถึงใจ ความรู้สมุนไพรเหล่านั้นที่บันทึกไว้ แม้จะมีจำนวนไม่น้อย แต่กลับบรรยายไม่ละเอียดพอ ทว่าก็ทำให้เขาได้อะไรไปไม่น้อย รู้เรื่องการเปลี่ยนแปลงของหญ้าสมุนไพรไประดับหนึ่ง
“คัมภีร์ยาที่นี่ก็เช่นกัน หลายปีก่อนสำนักนี้ก็เคยมีการฝึกบำเพ็ญวิถียาอยู่ น่าเสียดายที่ภายหลังคนค้นคว้าน้อย คนรุ่นหลังจึงเติมเสริมคัมภีร์สมุนไพรเหล่านั้นน้อยมากขอรับ” สวี่ชิงถอนหายใจ
นายท่านเจ็ดพยักหน้า ดวงตาเผยแววชื่นชม
“ชอบเรียนรู้ นี่เป็นนิสัยที่ดี” เขาพูดพลางมือไพล่หลัง พาสวี่ชิงออกจากหอเก็บคัมภีร์
ระหว่างทางสวี่ชิงลังเลเล็กน้อย
“ท่านอาจารย์ ข้าชอบเรียนรู้ขอรับ ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์สามารถถ่ายทอดวิชาที่เอาไว้เรียนรู้โดยเฉพาะนี้ให้กับข้า…”
นายท่านเจ็ดกวาดตามองสวี่ชิง ความชื่นชมในดวงตาเข้มข้นขึ้น พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“พลังบำเพ็ญของเจ้าตอนนี้ยังทำไม่ได้ รอหลังจากเจ้าเป็นปราณก่อกำเนิดเสียก่อน แล้วข้าจะถ่ายทอดวิชาที่เอาไว้เรียนรู้นี้ให้เจ้าโดยเฉพาะ
“ไปเถิด พวกเราไปดูที่สำนักอื่นกัน เพื่อจะสร้างวิชาแก่นลมปราณที่เป็นของเจ้าโดยเฉพาะ อาจารย์ค้นคว้ามานาน ครั้งนี้เตรียมไว้หลายสำนักที่จะเข้าไปเรียนวิชาของพวกเขา แล้วเอาไปปรับปรุงต่อจากสิ่งเหล่านี้
“ดังนั้นหลังจากนี้เด็กอย่างเจ้าต้องใจสู้!” นายท่านเจ็ดพูดพลางเดินออกจากสำนักนี้
สวี่ชิงพยักหน้าแรงๆ ติดตามอยู่ด้านหลัง ย่ำอากาศขึ้นไปพร้อมนายท่านเจ็ด กลับไปที่เรือเวท
บนเรือเวท นายท่านเจ็ดร้องเรียกสวี่ชิง
“ชีวิตนี้ข้าเป็นผู้บำเพ็ญ เรียนแล้วต้องไม่ลืมบุญคุณ เจ้าต้องจดจำสิ่งนี้ มา พวกเรามาคารวะสำนักนี้กัน ถือเป็นการตอบแทนวาสนาที่ได้อ่านคัมภีร์ครั้งนี้ เช่นนี้หลังจากนี้หากเป็นศัตรูกัน ก็สามารถสังหารได้อย่างสบายใจ” พูดจบ นายท่านเจ็ดประสานหมัดคารวะไปยังสำนักเบื้องล่าง
สวี่ชิงเคร่งขรึม เขารู้สึกว่าท่านอาจารย์ผู้นี้มีหลักการในการทำสิ่งต่างๆ จริงๆ จึงจดจำมารยาทนี้ไว้ในใจ ประสานหมัดคารวะไปยังสำนักเบื้องล่าง
จากนั้น พวกเขาก็จากไป
ตอนที่มา ไม่มีใครล่วงรู้
ตอนที่จากไป ก็ไร้ซุ่มเสียง
ไม่นานเรือเวทก็ไหววูบกลางอากาศ พุ่งไปยังขอบฟ้า หลายวันต่อมาก็หยุดที่ด้านนอกอีกสำนักหนึ่ง นายท่านเจ็ดพาสวี่ชิงเดินลงจากเรือด้วยจิตใจใฝ่เรียนรู้ ตรงไปสำนักนี้ เข้าไปยังหอเก็บคัมภีร์
เรียนรู้ต่อ
เวลาก็ไหลผ่านไปเช่นนี้ เรือเวทตรงไปทางตะวันตก ข้ามภูเขาล้ำบารมีพ้นเคราะห์ภัย
ระหว่างทางก็คอยหยุดเป็นระยะ สำนักหนึ่งต่ออีกสำนักหนึ่ง…
“ทะเลความรู้ไร้ขอบเขต เจ้าสี่ไม่เลวเลย ตอนนั้นข้าพาศิษย์พี่สามของเจ้าที่ไม่เรียนรู้อะไรเลยมาหาประสบการณ์เช่นนี้เหมือนกัน แต่เขาไม่ชอบเรียน ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าอีกคน ตอนนั้นที่ติดตามอาจารย์ ตลอดทางสนใจแต่สมบัติของสำนักคนอื่นเขา
“ส่วนเจ้าสี่คล้ายอาจารย์มากที่สุด!” นายท่านเจ็ดอยู่ในหอเก็บคัมภีร์สำนักที่สี่สิบเจ็ด มองสวี่ชิงที่กำลังตั้งสมาธิเรียนรู้ เอ่ยชื่นชมอย่างจริงใจ
สวี่ชิงก็ไม่หยิ่งผยองไม่ใจร้อน
ตอนนี้หลังจากได้ยินคำพูดของท่านอาจารย์ เขาก็วางแผ่นหยก เมื่อคิดๆ ก็เอ่ยเสียงแผ่ว
“ท่านอาจารย์ ในมณฑลรับเสด็จราชันมีสำนักที่ฝึกวิชาพิษเป็นหลักหรือไม่ขอรับ ข้าอยากจะไปศึกษาจริงจังที่นั่น”