บทที่ 1300 ชิงอำนาจเหนือในเต๋าแห่งกระบี่
บทที่ 1300 ชิงอำนาจเหนือในเต๋าแห่งกระบี่
เฉินซีชนะ!
อีกทั้งยังชนะด้วยมือเปล่า!
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ศิษย์สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่สังเกตการณ์อยู่รอบข้างก็ร้องลั่นออกมาด้วยความยินดี อาจารย์บางคนก็คลี่ยิ้มเอ่ยชมเฉินซีไม่หยุด
แท้จริงแล้วศึกครั้งนี้ไม่อาจเรียกว่าน่าสนใจได้ เพราะเฉินซีใช้กลยุทธ์การต่อสู้เป็นการหลบเลี่ยงมาตั้งแต่ต้น เหมือนกำลังร่ายรำอยู่บนปลายกระบี่ คนอื่นเห็นแล้วถึงกับเหงื่อตกแทนเลยทีเดียว
จุดที่น่าสนใจที่สุดของการต่อสู้คือช่วงสุดท้าย การโจมตีดุดันของเฉินซีเหมือนเป็นไปได้อย่างง่ายดาย แต่ก็เป็นการโจมตีที่รวมพลังในการโค่นศัตรูได้ในคราวเดียว
ยิ่งฉากสุดท้ายที่เฉินซีกรีดห้วงอากาศจับตัวฉินหลิงไว้ได้ เป็นภาพที่ดุดันร้ายกาจยิ่ง ท่าทีเหนือใครเช่นนั้นนับว่าประทับอยู่ในความทรงจำของใครหลายคน
เมื่อเทียบกับเสียงให้กำลังใจที่นี่แล้ว บนเมฆมงคลด้านตะวันตกของสนามต่อสู้ พิสดารเฟิงแห่งสำนักศึกษานภาไพศาลมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย การแพ้รอบแรกเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกอับอายอยู่บ้าง
แต่ทำอะไรไม่ได้ เพราะขนาดเขายังประเมินความสามารถเฉินซีต่ำเกินไป แล้วฉินหลิงจะไปเหลือหรือ!
“หึ! การเคลื่อนไหวของเขาไม่เลวเลย แต่หากเผชิญหน้ากับข้า สุดท้ายคงต้องถูกทำให้อับอายขายหน้าอยู่ดี!” เมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีของคนรอบข้าง เซียวเชียนซุ่ยแห่งสำนักศึกษาระทมสันต์ก็หัวเราะเสียงเย็น จากนั้นมองเฉินซีด้วยสีหน้ามาดร้าย
แก๊ง!
ระฆังเต๋าแห่งการประชันดังก้องไปทั่วชั้นฟ้า ก้องกังวานไปทั่วสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า กระจายไปถึงเมืองเซียนสัประยุทธ์ การถกวิถีเต๋ารอบแรก ผู้ชนะคือเฉินซีจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ฝ่ายแพ้คือฉินหลิงจากสำนักศึกษานภาไพศาล!”
“การถกวิถีเต๋ารอบที่สอง เหลิงซีสำนักศึกษาเต๋าเร้นลับปะทะหลินเหมี่ยวซิงสำนักศึกษากระแสวาตะ”
หลังจากเฉินซีกับฉินหลิงลงจากสนามต่อสู้ไปแล้ว ก็มีชายหญิงเดินขึ้นมา ก่อนที่การต่อสู้ดุเดือดจะเริ่มต้นขึ้น
“เจ้าต่อสู้ได้ดีแล้ว รีบใช้เวลาฟื้นกำลังและทำรอบสองให้ออกมาสมบูรณ์เถอะ” หลังเฉินซีกลับมาแล้ว หวังต้าวหลูก็พูดยิ้ม ๆ แล้วสั่งให้เขานั่งสมาธิฟื้นร่างกาย
เฉินซีพยักหน้าก่อนนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างเมฆมงคล จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ใช้แรงไปมากเท่าใดนัก ยังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ด้วยซ้ำ ฉะนั้นจะพักหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน
“ศิษย์น้อง อยากได้น้ำดื่มหรือไม่?” เยี่ยถังหันมาพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนส่งน้ำเต้ามาให้
เฉินซียื่นมือไปรับมาแล้วดื่มลงไปหลายอึก ก่อนจะเม้มปากชมเชย “สุรานี้รสแรงแสบคอนัก แต่กลับกลืนลงคอได้ไม่ยาก สุราดี ๆ”
เยี่ยถังหัวเราะลั่น รู้สึกว่าศิษย์น้องเฉินซีผู้นี้มีนิสัยเหมาะกับตนยิ่งนัก
“ศิษย์น้องเฉินซี ก่อนหน้านี้ข้าชมการประลองของเจ้า เหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ได้ใช้กำลังเต็มที่ใช่หรือไม่?” เยี่ยถังถามสบาย ๆ สำหรับคนระดับตน การต่อสู้ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่คู่ควรกับความสนใจของเขาด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงหันมาคุยกับเฉินซีแทน
“ใช่แล้ว” เฉินซีพยักหน้าอย่างไม่ปิดบัง จากนั้นคลี่ยิ้มเอ่ยว่า “ศิษย์พี่เยี่ยถังมีคำชี้แนะอะไรหรือไม่?”
เยี่ยถังพูดไม่ออก พลางส่ายหน้า “กระทั่งตัวข้ายังมองความแกร่งของศิษย์น้องไม่ขาดเลย มีหรือจะชี้แนะเจ้าได้? ถึงได้ต่อสู้กัน ก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่ด้วยซ้ำ”
กล่าวจบ ก็ส่งผลให้จี้เซวียนปิง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่ประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าเยี่ยถังจะประเมินเฉินซีไว้สูงขนาดนี้
แต่พอลองคิดดูแล้วก็เข้าใจได้ เฉินซีเพิ่งเข้าสำนักมาได้ไม่กี่ปี แต่กลับบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงจากที่เคยอยู่ขอบเขตเซียนลึกลับ ความเร็วระดับนี้เรียกได้ว่าน่าตกใจยิ่ง
เพราะยังไม่ถึงตาพวกเขาขึ้นประลอง จึงใช้โอกาสหายากนี้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องประสบการณ์การบ่มเพาะพลัง
กระทั่งเฉินซียังรู้สึกว่าได้รับประโยชน์จากจุดนี้
แม้แต่ละคนจะมีเส้นทางการบ่มเพาะพลังที่แตกต่างกันไม่อาจเลียนแบบได้ แต่ก็สามารถใช้ประสบการณ์จากผู้อื่นได้ อย่างคำกล่าวที่ว่า คนเราควรเรียนรู้จากประสบการณ์ของผู้อื่น
แต่ความเห็นเฉพาะตัวบางอย่างของเฉินซีก็ทำให้เยี่ยถังและคนอื่น ๆ ต้องเดาะลิ้นชื่นชม ดูแล้วทุกคนได้ประโยชน์จากถ้อยคำของเฉินซีไม่น้อย ทุกคนล้วนรู้สึกว่าชายผู้นี้นั้นลึกล้ำเกินหยั่ง อีกทั้งยังรู้สึกชื่นชมอยู่ในใจ มีความเห็นว่าความสำเร็จในตอนนี้ไม่ใช่มาด้วยโชคช่วย
ทุกคนล้วนเป็นยอดอัจฉริยะ หาได้ยากที่จะชื่นชมผู้อื่น
แต่ตอนนี้เฉินซีกลับทำได้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจยิ่ง
เหตุการณ์นี้ดึงความสนใจจากเฉินซีและคนอื่น ๆ มาได้ ดังนั้นจึงส่งสายตามองไปทางสนามต่อสู้โดยพร้อมเพรียงกัน
ว่านเจี้ยนเซิง!
หนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าแห่งภพเซียน ผู้เก่งกาจในเต๋าแห่งกระบี่!
ตอนนี้ไม่มีใครมองเมินการต่อสู้สุดยอดครั้งนี้ได้
บนสนามต่อสู้ ว่านเจี้ยนเซิงยืนกอดอก สะพายกระบี่ในฝัก หลังเหยียดตรง พู่สีแดงบนกระบี่พลิ้วไปตามแรงลม ทำให้คนผู้นี้ยิ่งดูมีท่าทีไม่เหมือนใคร
เขายืนอยู่เช่นนั้น ทว่าเมื่อหลายสายตามองไปที่เขา ก็ราวกับได้เห็นยอดกระบี่ที่กำลังเผยคมก็มิปาน!
คู่ต่อสู้ของว่านเจี้ยนเซิงคือศิษย์จากสำนักศึกษาเมฆาหมอก มีนามว่าจ้าวไท่ซิง จ้าวไท่ซิงผู้นี้คือยอดฝีมือชื่อดังแห่งสำนักศึกษาเมฆาหมอก แต่เมื่อเทียบรัศมีกับสุริยันอันเจิดจ้าอย่างว่านเจี้ยนเซิงกลับดูด้อยกว่าเล็กน้อย
แต่นี่ก็เป็นเพียงความคิดเห็นของคนนอก ตอนนี้จ้าวไท่ซิงไม่ได้เผยแววหวาดกลัวเมื่อต้องเผชิญหน้ากับว่านเจี้ยนเซิงแม้แต่น้อย และยังเผยพลังบ่มเพาะดวงจิตแห่งเต๋าและเจตจำนงอันแข็งแกร่งออกมาอีกต่างหาก
ตอนนี้รอบข้างเงียบสนิท
ทว่าบรรยากาศต่อสู้กลับค่อย ๆ แผ่ออกมาจากสนามประลอง
เคร้ง!
จ้าวไท่ซิงลงมือก่อน เขาเองก็ฝึกเต๋าแห่งกระบี่มาเช่นกัน เขานำกระบี่เซียนเล่มหนึ่งออกมา กระบี่นั้นเป็นสีเงิน มีแสงขาวราวหิมะแวววาวขึ้นเล็กน้อย พร้อมกันนั้น บรรยากาศของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายเยือกเย็น ทำให้ห้วงอากาศโดยรอบปลดปล่อยเสียงเฉียบคมที่ดังบาดแก้วหู
เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ ในใจก็เต็มไปด้วยความจดจ่อ พากันเบิกตากว้างไม่อยากพลาดแม้รายละเอียดเพียงเล็กน้อย เพราะนี่คือการประชันกันระหว่างยอดเซียนกระบี่ เป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากในรอบพันปี!
แต่ทุกคนก็ต้องประหลาดใจว่าพบว่าว่านเจี้ยนเซิงยังคงไม่สนใจ ในขณะที่จ้าวไท่ซิงกำลังสั่งสมพลังเช่นนี้ เขายังคงสะพายกระบี่เซียนในฝักไว้บนหลัง และไม่ได้ประหม่าว่าต้องลงมือแต่อย่างใด
เขาทำเพียงแค่มองสังเกตจ้าวไท่ซิงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบว่า “รู้ผลของการใช้กระบี่ประลองกับข้าหรือไม่?”
จ้าวไท่ซิงหรี่ตาลง เงียบไปชั่วครู่หนึ่งก่อนเอ่ย “ย่อมรู้ หากไม่ตาย ก็คงถูกทำลายความมั่นใจลงจนเกิดความสงสัยที่ไม่อาจลบล้างเกิดขึ้นในหัวใจ ทำให้ข้าไม่สามารถขึ้นสู่จุดสูงสุดของเต๋าแห่งกระบี่ได้อีก”
ว่านเจี้ยนเซิงเอ่ย “เช่นนั้นเหตุใดจึงยังเลือกใช้กระบี่?”
จ้าวไท่ซิงจึงเงยหน้าขึ้น พลันเผยสีหน้ามุ่งมั่นออกมา “นี่คือการถกวิถีเต๋า ข้าอยากถกวิถีเต๋าแห่งกระบี่กับศิษย์พี่ว่านสักหน่อย เรื่องผลลัพธ์ข้าไม่สน สนแต่เพียงการต่อสู้!”
ทันทีที่พูดจบ ในใจทุกคนก็บังเกิดความรู้สึกซับซ้อน ราวกับรู้สึกประทับใจในความมุ่งมั่นของเต๋าแห่งกระบี่นั้น รู้สึกชื่นชมเจ้าตัวอยู่ในที
“เด็กคนนี้ไม่เลว หากมีโอกาสข้าอยากชวนเขามาดื่มด้วยกันหน่อย” เยี่ยถังเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง หาได้ยากที่เขาจะพูดด้วยน้ำเสียงเช่นนี้
เฉินซีพยักหน้าเห็นด้วยในใจเช่นกัน แม้ชื่อเสียงจ้าวไท่ซิงจะเทียบว่านเจี้ยนเซิงไม่ได้ ทั้งยังดูด้อยกว่า แต่ความมั่นคงในเต๋าแห่งกระบี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากและล้ำค่ามาก
ไม่แน่ว่าคนเช่นนี้อาจไม่ได้กระโดดครั้งเดียวไปได้สูงลิ่ว แต่หากยังก้าวเดินต่อไปในเส้นทางนี้อย่างมั่นคง ต่อไปก็สามารถประสบความสำเร็จได้แน่นอน
นี่คือการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนัก ผู้เข้าร่วมทั้งหลายล้วนเป็นศิษย์ชั้นยอดรุ่นเยาว์แห่งภพเซียน จึงสามารถมองเห็นลักษณะที่มีร่วมกันได้ไม่ยาก นั่นคือทุกคนล้วนมีสิ่งที่ตนมุ่งมั่น… และความภาคภูมิใจเป็นของตน!
ไม่แน่ว่าแต่ละคนย่อมมีความต่างของพลังแตกต่างกันไป แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าศิษย์ที่สามารถเข้าร่วมการถกวิถีเต๋าในครั้งนี้ได้ ล้วนเป็นผู้ที่อยู่เหนือใครอื่นในภพเซียนได้แล้ว
“ลงมือเลย” ว่านเจี้ยนเซิงยังคงความสงบไว้ ริมฝีปากบางเฉียบดั่งใบมีดเอ่ยออกมาเพียงสามคำ
ฟิ่ว!
จ้าวไท่ซิงไม่เอ่ยคำให้มากความแล้วโจมตี ร่างแวบหายไป ในขณะที่กระบี่ขาวทะยานขึ้นฟ้า พริบตานั้น ราวกับมีหิมะจำนวนมากโปรยลงจากเบื้องบน แต่ละเกล็ดเต็มไปด้วยปราณกระบี่อันรวดเร็วและดุดัน!
ม่านปราณกระบี่โปรยลงมาจากฟากฟ้าดั่งพายุหิมะ!
ตอนนี้กระทั่งศิษย์หลายคนที่ชมอยู่นอกสนามต่อสู้ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก ทำให้ทั่วร่างสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
แต่พริบตาเดียว เมื่อข้อจำกัดรอบสนามต่อสู้ทำงาน ความเย็นเสียดแทงกระดูกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ท่ากระบี่นี้สามารถเปิดใช้งานข้อจำกัดให้ทำการป้องกันขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าอำนาจเต๋าแห่งกระบี่ของจ้าวไท่ซิงแข็งแกร่งเพียงใด
“ไม่เลวเลย เป็นขอบเขตยอดปราชญ์” เฉินซีประเมินพลังบ่มเพาะในเต๋าแห่งกระบี่ของจ้าวไท่ซิงได้ในคราเดียว ไม่ใช่เพราะความฉลาด แต่เพราะเขาผ่านมันมาแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ที่ขอบเขตเซียนกระบี่ ดังนั้นจึงสามารถประเมินความแกร่งเต๋าแห่งกระบี่ของจ้าวไท่ซิงได้ไม่ยาก
“ดูน่าสนใจแต่ไร้แก่น” ว่านเจี้ยนเซิงกลับมุ่นคิ้วแทนเมื่อเห็นเกล็ดหิมะที่ปกคลุมทั่วฟ้า เขาวาดนิ้วเป็นรูปกระบี่ราวกับกำลังวาดภาพ ก่อนซัดมันออกไป
กระแสปราณกระบี่อันสะอาดบริสุทธิ์ทว่าดุดันดีดผ่านฟ้ามาทันใด
มันทำลายเกล็ดหิมะที่กระจายไปทั่วท้องฟ้าได้ในพริบตา!
เมื่อทุกคนได้เห็นภาพตระการตาเช่นนี้ ก็พากันตกตะลึงไม่อยากเชื่อสายตาตน
การโจมตีที่ดูธรรมดา แต่กลับมีพลังอำนาจมากเช่นนี้ สมแล้วที่ว่านเจี้ยนเซิงเป็นยอดฝีมือที่รั้งอยู่ในหกสุริยันอันเจิดจ้าแห่งภพเซียนได้!
“ขอบเขตเซียนกระบี่!” แทบจะในจังหวะเดียวกันนั้น เฉินซีและเยี่ยถังก็รู้ถึงอำนาจที่แฝงอยู่ในปราณกระบี่นั่น พากันหรี่ตาลงเล็กน้อย
อย่างคำกล่าวว่าหาได้มีผู้ใดล่วงล้ำปวงเทพ เมื่อถึงขอบเขตเซียนกระบี่แล้ว กระบี่ทั้งหลายย่อมยอมสยบ หากไม่สามารถต่อกรกับว่านเจี้ยนเซิงด้วยพลังบ่มเพาะได้ ก็มีแต่จะเป็นฝ่ายถูกกดดันเท่านั้น!
อีกทั้งท่าโจมตีที่ดูไม่ยากเย็นเมื่อครู่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพลังของขอบเขตเซียนกระบี่นั้นน่าเกรงขามเพียงใด
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
พร้อมกันนั้น ร่างจ้าวไท่ซิงก็ถอยไปสามก้าวอย่างไม่อาจควบคุม เลือดสายหนึ่งไหลออกมาจากริมปาก แต่นัยน์ตาคู่นั้นกลับสว่างขึ้น
ขอบเขตเซียนกระบี่!
มันเป็นสิ่งที่ข้าใฝ่หามาตลอดหลายปีไม่ใช่หรือ?
“อีกครั้ง!” จ้าวไท่ซิงปาดเลือดที่มุมปาก ผมยาวสะบัดพลิ้ว สีหน้ามุ่งมั่นไร้ความหวาดกลัว มือที่ถือกระบี่ออกท่าโจมตีอีกครั้งหนึ่ง!