สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย – บทที่ 1091 สอบขุนนางผ่านแล้ว

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

บทที่ 1091 สอบขุนนางผ่านแล้ว

บทที่ 1091 สอบขุนนางผ่านแล้ว

จวนซ่ง ฮูหยินซ่งมองไปข้างนอก คอยฟังความเคลื่อนไหวจากข้างนอก

ใต้เท้าซ่งถือตัวหมากวางลงไปหนึ่งตัว

ซ่งหานจือนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อใต้เท้าซ่งเคลื่อนไหว เขาก็วางหมากลงตาม

ฮูหยินซ่งเห็นสองพ่อลูกไม่ได้กังวลแม้แต่น้อย อารมณ์พลันขุ่นมัวขึ้นมา “พวกท่านกังวลกับการประกาศผลสักหน่อยได้หรือไม่?”

“ท่านแม่ มาถึงขั้นนี้แล้ว มีอะไรให้กังวลขอรับ?” ซ่งหานจือกล่าว “ข้ามั่นใจในตนเอง เพียงแค่ต้องลุ้นเรื่องของอันดับเท่านั้น”

“ฝ่าบาทเป็นผู้กำหนด ขอเพียงอยู่ในสิบอันดับแรกของรายชื่อก็มีโอกาส” ใต้เท้าซ่งกล่าว “พรสวรรค์ด้านการเรียนของลูกชายเจ้าก็รู้ เราต้องเชื่อมั่นในตัวเขา”

แน่นอนว่าฮูหยินซ่งเชื่อมั่นในตัวลูกชายตน

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เกี่ยวพันอย่างใหญ่หลวงกับการแต่งลูกสะใภ้ นางจักไม่กังวลได้อย่างไร?

“อยู่ในอันดับสูงหน่อย ภายหน้าเป็นลูกเขยของสกุลลู่ยังเป็นเกียรติแก่สกุลลู่ หากเป็นเพียงจิ้นซื่อธรรมดาทั่วไป นั่นไม่ใช่นำความอับอายมาให้สกุลลู่หรือ?”

ซ่งหานจือ “…”

เดิมทีเขายังไม่กังวล ทว่าเมื่อได้ยินมารดากล่าวเช่นนี้ จู่ ๆ ก็พลันกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

ใต้เท้าซ่งวางหมากตัวหนึ่งลงไป “เจ้าแพ้แล้ว”

“ท่านพ่อ ท่านฉวยโอกาสได้อย่างไร?”

ขณะที่เขากำลังมึนงงก็ถูกฉวยโอกาสทำให้ไร้ช่องว่างในการพลิกแพลงกระดาน

“วางหมากฝึกจิตใจ ผู้ใดให้เจ้าใจกระสับกระส่ายเล่า?” ใต้เท้าซ่งเอ่ย “ความรับผิดชอบเล็กน้อยเท่านี้ยังไม่มี อย่าได้ทำร้ายแม่นางน้อยสกุลลู่ผู้นั้นเลย”

ฮูหยินซ่งเอ่ยด้วยความฉุนเฉียว “พูดเหลวไหลอะไร? ลูกชายเราเฝ้ามองนางมาหลายปี เฝ้าปกป้องมาหลายปีเพียงนี้ บัดนี้ใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ถึงแม้ต้องชิงตัวก็ต้องชิงตัวกลับมาให้ได้”

“ผ่านแล้ว ผ่านแล้ว…”

เสียงของบ่าวรับใช้ดังมาจากข้างนอก

“ที่หนึ่งขอรับ!”

“อันดับหนึ่งหรือ!” ฮูหยินซ่งพนมมือขึ้น “ขอบคุณสวรรค์ อันดับนี้ยังพอเทียบเคียงได้แล้ว”

“ท่านแม่ สกุลลู่ไม่ได้ให้ค่ากับเรื่องเหล่านี้”

“พวกเขาไม่ให้ค่า พวกเราให้ค่า! เจ้าลำบากลำบนพาแม่นางน้อยกลับบ้านมา แน่นอนว่าต้องมอบเกียรติสูงสุดให้นาง เจ้าลองคิดดู สตรีล้วนชมชอบเปรียบเทียบกัน แม่นางน้อยสกุลลู่ผู้นั้นคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ยามผู้อื่นกล่าวถึงสามีนาง หากผลที่ได้เป็นเพียงจิ้นซื่อธรรมดา ๆ ผู้หนึ่ง หน้าที่การงานในราชสำนักก็ปานกลาง นางจักขายหน้าเพียงใดกัน!”

ซ่งหานจือ “…”

เขาจะไม่ทำให้ชิงเอ๋อร์ต้องอับอาย

เขาจะต้องเป็นความภาคภูมิใจของชิงเอ๋อร์

“ท่านแม่ ข้าจะออกไปข้างนอกประเดี๋ยว”

“รู้แล้ว เจ้าไปหาแม่นางน้อยผู้นั้นเถอะ!”

ซ่งหานจือมาถึงจวนลู่ บ่าวรับใช้จวนลู่จึงพาเขาเข้าไป

ลู่จื่อชิงกำลังเดินออกมาจากข้างในพอดี เมื่อเห็นเขามาจึงเอ่ยถาม “มีข่าวแล้วใช่หรือไม่? เป็นอย่างไร?”

ซ่งหานจือเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของแม่นางน้อย ภายในใจพลันรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา

“ที่หนึ่ง”

“โอ้!…” ลู่จื่อชิงคาดไม่ถึง จึงโผเข้าหาเขา

ซ่งหานจือรีบรับนางเอาไว้

ทั้งตัวของลู่จื่อชิงพิงอยู่บนร่างเขา แววตานางพร่างพราวไปด้วยดวงดาว “เจ้าร้ายกาจเกินไปแล้ว!”

ซ่งหานจือสัมผัสถึงหยกนวลและกลิ่นกายหอมในอ้อมแขน ทั่วทั้งคนพลันแข็งทื่อไปแล้ว

เขาอุ้มนางขึ้นมาโดยเร็วเพื่อไม่ให้นางล้มลงไป

กลิ่นหอมกลิ่นหนึ่งลอยมากระทบจมูก

แม่นางน้อยในอ้อมแขนรูปร่างเพรียวบาง เนื่องด้วยการฝึกฝนวรยุทธ์ เอวของนางจึงเล็กคอด

“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมดังขึ้น

ซ่งหานจือชะงักงัน

เขาหันกลับมาเห็นลู่อี้และผู้อาวุโสหลายคนอยู่ตรงหน้า

“ท่านพ่อ…” ลู่จื่อชิงรีบลงมาทันที

นางค้อมคำนับอย่างนอบน้อม จากนั้นจึงทักทายท่านอาคนอื่น ๆ

“ดูเหมือนเรื่องดี ๆ ใกล้เข้ามาแล้ว!” เวินเหวินซงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องลู่ เมื่อใดจะดื่มสุรามงคลหรือ?”

ลู่อี้เหลือบมองซ่งหานจือแวบหนึ่ง “ใกล้แล้ว”

เขามีลูกสาวเพียงสองคน ผู้หนึ่งถูกหมูพาตัวไป บัดนี้มี ‘หมู’ โผล่มาอีกตัวแล้ว

‘หมู’ เหล่านี้ช่างขัดหูขัดตาจริง ๆ

เพียงแต่ยังดี ‘หมู’ ตัวนี้รู้ที่มาที่ไปทุกอย่าง ทั้งยังเติบใหญ่ใต้จมูกของพวกเขา อย่างน้อยนิสัยใจคอก็ไม่มีปัญหา

“ท่านอาลู่ ท่านอารองลู่ ท่านอาเวิน ท่านอาฉี….”

ฉีเซียวกล่าว “ได้ยินมาว่าเจ้าสอบได้อันดับหนึ่ง เด็กน้อยไม่เลวนี่ พยายามต่อไปล่ะ”

“ขอบคุณท่านอาฉี”

ลู่อี้เอ่ยเสียงเรียบ “ที่นี่เป็นที่ใดกัน ไยไม่รู้จักหลบเลี่ยงสายตาคน เรือนหลังใหญ่โตเพียงนั้น รับรองพวกเจ้าสองคนไม่ได้เชียวหรือ?”

“ท่านพ่อวางใจ คราวหน้าพวกเราจะไปเรือนหลัง” ลู่จื่อชิงเอ่ยอย่างร่าเริง

ลู่อี้ “…”

นางน้อยตัวแสบผู้นี้…

ฉีเซียวระเบิดหัวเราะออกมา

เวินเหวินซงกับลู่เซวียนต่างก็หัวเราะไม่หยุดเช่นกัน

“หนุ่มสาวช่างดีจริง ๆ” เวินเหวินซงกล่าว “สองคนรวมกันมีความคิดเป็นร้อย กลับคลอดผู้ที่ไม่คิดอะไรออกมาได้ นับว่าเป็นเรื่องแปลกแล้ว”

ต่อไปเป็นการสอบหน้าพระที่นั่ง

ในวันสอบหน้าพระที่นั่ง ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างเฝ้ารอภาพสามอันดับแรกแห่ขบวนไปตามถนน

ลู่จื่อชิงเลือกตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจน นางยืนอยู่บนระเบียงภัตตาคาร มองดูผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา ครั้นเสียงฆ้องกลองดังขึ้น สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตะโกน “มาแล้วเจ้าค่ะ!”

อันดับแรกคือซ่งหานจือ

ซ่งหานจือหน้าตาหล่อเหลา สวมใส่อาภรณ์สีแดง ขี่ม้าตัวสูง ท่าทีสง่าผ่าเผย

จูเฉินได้อันดับที่สาม

ส่วนลำดับสอง เป็นชายวัยกลางคนอายุสี่สิบห้าสิบปีผู้หนึ่ง

จ้วงหยวน*[1] เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ทั่นฮวา*[2] เป็นบุรุษรูปงามวัยสิบกว่าปี บัดนี้ดูเหมือนว่าปั๋งเหยี่ยน*[3] วัยกลางคนกลับดูจืดชืดไปเล็กน้อย

เพียงแต่ หลังจากมุมานะเล่าเรียนศึกษามาสิบปี ครั้งหนึ่งได้แขวนชื่ออยู่บนป้ายทอง ไม่ว่าในสายตาผู้อื่นจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยภายในใจเขาก็อิ่มเอม ทั้งยังรู้สึกว่ายามนี้เป็นช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในชีวิต

“คุณหนู บนตัวท่านเขยมีถุงเงินกับผ้าเช็ดหน้ามากมายเลยนะเจ้าคะ” สาวใช้ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “คนเหล่านี้ก็จริง ๆ เลย ผู้ใดไม่รู้บ้างว่าคุณชายสกุลซ่งเป็นท่านเขยจวนลู่อ๋อง ยังกล้าโยนถุงเงินให้เขาอีก”

“วันนี้เป็นวันที่ควรยินดี ไม่จำเป็นต้องหึงแล้ว ข้าไม่สนใจ เจ้าจะสนใจอะไร?” ลู่จื่อชิงกล่าว “ยิ่งบนตัวเขามีถุงเงินกับผ้าเช็ดหน้ามากเพียงใด ยิ่งแสดงให้เห็นว่าข้าสายตาแหลมคม!”

สาวใช้ “…”

ใจคุณหนูช่างกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก

เพียงแต่ แค่คุณชายซ่งชอบก็ใช้ได้แล้ว

คุณหนูบ้านนางเรื่องอื่นใช้ไม่ได้ แต่โชคชะตาวาสนากลับดียิ่ง

ซ่งหานจือมองหาลู่จื่อชิงในฝูงชน

เมื่อไม่เห็นนาง ในใจเขาค่อนข้างผิดหวังทีเดียว

“คุณหนู คุณชายซ่งกำลังมองหาท่านหรือไม่เจ้าคะ?” สาวใช้ถาม

ลู่จื่อชิงหยิบถุงเงินออกจากแขนเสื้อ แล้วโยนไปทางซ่งหานจือ

ซ่งหานจือคว้ามันไว้

เดิมทีคิดจะโยนทิ้งไป ทว่าเมื่อเห็นลวดลายบิด ๆ เบี้ยวบนถุงเงินก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้

เขามองไปยังทิศทางที่ถุงเงินถูกโยนมา

ลู่จื่อชิงโบกมือให้ซ่งหานจือ รอยยิ้มสว่างไสวราวกับอาทิตย์ยามรุ่งอรุณ งดงามหาใดเทียบเทียม

ซ่งหานจือกระโดดลงจากหลังม้า

ทุกคนร้องอุทาน

เห็นเพียงซ่งหานจือทะยานไปทางภัตตาคารฝั่งตรงข้าม เขากอดลู่จื่อชิงที่อยู่บนระเบียงไว้ จากนั้นก็พานางกลับมาบนหลังม้า

ทุกคน “…”

จ้วงหยวนผู้นี้…

กล้าหาญชาญชัยยิ่งนัก

“นั่นคุณหนูรองสกุลลู่” มีคนเอ่ยขึ้นมา

“มิน่าเล่า…”

ที่แท้เป็นว่าที่ท่านเขยสกุลลู่นี่เอง!

ลู่จื่อชิงที่นั่งอยู่ด้านหน้าซ่งหานจือกล่าว “ท่านพ่อข้ามักจะบอกว่าข้าดุร้ายไม่เชื่อฟัง บอกว่าเจ้าสุภาพอ่อนโยน แต่ข้าว่าเจ้าทำตัวไร้เหตุผลยิ่งกว่าข้าเสียอีก”

“หากฝ่าบาทตำหนิ เจ้าต้องช่วยกล่าวคำพูดดี ๆ ให้ข้าเข้าใจหรือไม่?” ซ่งหานจือกระซิบข้างหูนาง

ผู้คนรอบ ๆ ต่างโห่ร้อง พวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา เหล่าบัณฑิตที่อยู่ด้านหลังยิ่งอิจฉาตาร้อน ค่ำคืนเข้าหออยู่แค่เอื้อม อีกทั้งชื่อยังอยู่ในป้ายทอง ดูสิ ซ่งหานจือต้องการสิ่งใดล้วนได้สิ่งนั้น แถมยังเป็นสิ่งที่ดีที่สุดด้วย!

[1] จ้วงหยวน คือ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับแรกในการสอบจิ้นซื่อ

[2] ทั่นฮวา คือ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับสามในการสอบจิ้นซื่อ

[3] ปั๋งเหยี่ยน คือ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดอันดับสองในการสอบจิ้นซื่อ

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย

Status: Ongoing
ใครกล้าทำร้ายวายร้ายตัวน้อยทั้งสอง ภรรยาตัวร้ายอย่างข้าไม่ปล่อยไว้แน่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท