บทที่ 1301 เหตุการณ์พลิกผันที่ไม่คาดฝัน
บทที่ 1301 เหตุการณ์พลิกผันที่ไม่คาดฝัน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความห่างชั้น มันก็ยากที่จะก้าวข้ามไปได้
ตัวอย่างเช่นการต่อสู้ที่เกิดขึ้นบนสนามประลองในขณะนี้ ไม่ว่าเจตจำนงในเต๋าแห่งกระบี่ของจ้าวไท่ซิงจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่สุดท้ายก็อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าว่านเจี้ยนเซิงอยู่ดี สำหรับเขาแล้ว ว่านเจี้ยนเชิงเป็นเหมือนความห่างชั้นที่เขาไม่มีทางชนะ
“เต๋ารู้แจ้งแห่งกระบี่ของเจ้ากระจัดกระจายเกินไป!”
“รัศมีกระบี่ของเจ้าบางเกินไป!”
“อ่อนแอเสียจริง!”
บนสนามประลอง เสียงหนักแน่นอันไร้อารมณ์ของว่านเจี้ยนเซิงดังออกมาเป็นระยะ ทุกครั้งที่เสียงแผดดัง สิ่งที่ตามมาก็คือการโจมตีของจ้าวไท่ซิงที่ถูกทำลายจนย่อยยับ
จ้าวไท่ซิงถูกต้อนจนต้องถอยกรูดคราวแล้วคราวเล่า เขากระอักเลือดออกมาเปรอะเปื้อนดวงหน้าอันซีดเผือด
ฝูงชนที่อยู่โดยรอบสนามประลองเบิกตากว้างด้วยรู้สึกตกตะลึง
แน่นอน พวกเขาตกตะลึงให้กับความแข็งแกร่งที่น่าสะพรึงกลัวของว่านเจี้ยนเซิง
และตกตะลึงให้กับความมุ่งมั่นอันแรงกล้าของจ้าวไท่ซิงเช่นกัน
ตึง!
ท้ายที่สุด จ้าวไท่ซิงก็ทรุดตัวลงไปอยู่ที่พื้นโดยไม่อาจหยัดยืนได้ต่อไป ยามนี้ทั่วร่างชโลมไปด้วยเลือดตัดกับความซีดขาวบนใบหน้าอย่างเด่นชัด คล้ายกายเนื้อนี้จวนจะแหลกสลายเต็มที ช่างเป็นสภาพที่น่าสังเวชและหดหู่ไม่น้อย
แต่ถึงอย่างนั้น กริยาของจ้าวไท่ซิงก็ยังสงวนไว้ซึ่งความแข็งแกร่ง ริมฝีปากฉีกกว้างเผยให้เห็นรอยยิ้มที่แสนจริงใจ “ขอบคุณศิษย์พี่ว่านที่ชี้แนะ”
เขาพูดพลางดึงพลังที่เหลืออยู่เพื่อพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น ก่อนจะเดินโซเซลงจากสนามประลองอย่างยากเย็น
ภาพเหตุการณ์เบื้องหน้าทำเอาผู้คนเงียบสนิท ทุกคนจ้องมองจ้าวไท่ซิงอย่างไม่คิดเย้ยหยันหรือเวทนาแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่พวกเขามีให้อีกฝ่ายคือความเคารพนับถือหัวใจเท่านั้น
ม่านการต่อสู้ปิดฉากลงเช่นนี้
จริงอยู่ที่มันไม่ได้สมบูรณ์แบบหรืองดงาม หากก็กินใจผู้คนที่ได้เห็นไม่น้อย
มีเพียงผู้เดียวที่ไม่นึกยี่หระต่อเรื่องนี้นั่นก็คือเซียวเชียนซุ่ย เขาอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันว่านเจี้ยนเซิงในใจว่าช่างเป็นคนโง่เขลาสิ้นดี เห็นได้ชัดว่าการต่อสู้เมื่อครู่นี้ เพียงว่านเจี้ยนเซิงลงมือในกระบี่เดียวก็สามารถจบการต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย ทว่ากลับลากการต่อสู้ให้ยืดยาวออกไป นี่ไม่เรียกว่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์แล้วจะเรียกว่าอะไรได้?
…
“สิ่งนี้คือเจตจำนงในการแสวงหาปัญญา ถึงมหาเต๋าทั้งหลายจะแตกต่างกัน ทว่าก็มีเจตจำนงในการแสวงหาปัญญาไม่ต่าง” เยี่ยถังเงยหน้าขึ้นและดื่มสุราที่ค้างอยู่ในน้ำเต้าจนหมด เขาหยัดตัวขึ้นอย่างสบายๆ ก่อนจะจัดเสื้อผ้าของตนและก้าวไปยังเบื้องหน้าสนามประลองพร้อมกับกระบี่สีเขียวที่พาดอยู่บนไหล่
ถึงคราวที่เขาจะได้แสดงความสามารถแล้ว!
เมื่อร่างของเยี่ยถังปรากฏขึ้นบนลานประลอง บรรยากาศที่เคยเงียบเชียบบัดนี้กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง โดยเฉพาะกับศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า พวกเขาตะโกนและส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น มันดังเสียจนแม้แต่สวรรค์ทั้งเก้าชั้นยังต้องสั่นสะเทือน
เยี่ยถัง!
เขาเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรง เป็นชายผู้ไร้ซึ่งความเกรงกลัว ดุดัน ใจกว้าง และเหี้ยมหาญ นิสัยไม่ต่างจากเมฆผู้หลงรักในอิสรเสรี ชายผู้นี้ไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามแค่เฉพาะในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าเท่านั้น หากแต่ยังเป็นที่ชื่นชมจากที่อื่น ๆ ทั่วทั้งภพเซียนอีกด้วย
คราวนี้คู่ต่อสู้ของเขาคือฉีว่านโหว ศิษย์จากสำนักศึกษากระแสวาตะ
เฉินซีไม่ได้สนใจการต่อสู้ในครั้งนี้เท่าใดนัก ไม่ว่าจะเป็นเสียงโห่ร้องที่ดังสะเทือนไปทั้งสวรรค์หรือบรรยากาศที่คึกคักไปด้วยความตื่นเต้นก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจของเขาได้แม้แต่เศษเสี้ยว
นั่นเพราะเขารู้ดี อย่างไรศิษย์พี่เยี่ยถังจะต้องคว้าชัยชนะกลับมาแน่นอน
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ หลังจากได้ชมการต่อสู้ระหว่างจ้าวไท่ซิงและว่านเจี้ยนเซิง ความรู้สึกประทับใจก็พลันก่อเกิดในห้วงคำนึงอย่างลึกซึ้ง เหตุการณ์เหล่านั้นทำให้เขาบังเกิดความเข้าใจในบางสิ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ
ความเข้าใจดังกล่าวนี้หาใช่การรู้แจ้งอย่างฉับพลันไม่ หากเป็นความเข้าใจต่อเต๋าแห่งกระบี่ของตน ความปรารถนาที่จะแสวงปัญญา ความมุ่งมั่น ชีวิต และเส้นทางสู่เต๋าที่ตนได้เลือกเดิน
อำนาจเซียนกระบี่นั้นยากจะขัดขืน
ขอบเขตเซียนกระบี่นั้นทำให้กระบี่ทั้งหลายยอมจำนน ไม่มีกระบี่ใดที่รอดพ้นจากอำนาจของมันได้
สิ่งนี้ถือเป็นเต๋าแห่งกระบี่ขั้นสูง แม้เฉินซีจะดำรงอยู่ในขอบเขตเซียนกระบี่มานานแล้ว แต่เขาก็ไม่เคยเข้าใจมันได้ชัดเจนจนกระทั่งตอนนี้
เซียนกระบี่คือสิ่งใด?
มันไม่ได้โหดเหี้ยมหรือสูงส่ง หากแต่เป็นเจตจำนงประเภทหนึ่ง เป็นความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่จะขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดโดยไม่มองลงไปยังเบื้องล่าง ทว่ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่สูงยิ่งกว่า!
จุดสูงสุดนั้นหาใช่จุดสิ้นสุดไม่
บางที ความลึกล้ำขั้นสูงสุดอาจจะเร้นกายท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ในขณะที่เจตจำนงแห่งการแสวงปัญญานั้นเป็นเส้นทางในการสำรวจยังท้องฟ้าทั้งหลาย
จุดสูงสุดของเต๋าแห่งกระบี่คือขอบเขตยอดปราชญ์ ในขณะที่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวคือดินแดนของเซียนกระบี่ ดังนั้นเจตจำนงแห่งการแสวงปัญญาจึงเป็นหนทางเดียวในการเข้าสู่ขอบเขตเซียนกระบี่!
ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวนั้นไร้ขอบเขต ยอดเขายิ่งใหญ่ไม่อาจทัดเทียม
นี่แหละคือขอบเขตเซียนกระบี่ มันทำให้กระบี่ทั้งหลายยอมจำนน พวกมันได้เพียงแต่มองขึ้นไปหากไม่อาจประมือด้วยได้
การหยั่งรู้เหล่านี้ก่อเกิดในจิตใจของเฉินซีซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนั้นเอง หัวใจพลันโปร่งแสงด้วยความบริสุทธิ์ มันสะอาด ไร้มลทิน และเด่นชัดด้วยรัศมีสงบนิ่งอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
โอ้? คล้ายว่าหวังต้าวหลูจะสังเกตเห็นบางอย่าง เขาถอนสายตาจากสนามประลองไปยังเฉินซี หลังจากนั้น ความงดงามอันเลิศล้ำก็ปะทุขึ้นในส่วนลึกของดวงตา
ภายในดวงตานั้น ไม่ว่าจะเสียงอึกทึกครึกโครม ภาพการต่อสู้ หรือแม้แต่มวลเมฆบนท้องฟ้าก็ล้วนแต่เคลื่อนห่างจากเฉินซีทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใดอาจหาญเข้าใกล้เขาได้
หรือว่าเจ้าหนุ่มนี้จะพัฒนาไปอีกขั้นแล้ว? ตอนนั้นเอง หวังต้าวหลูอดไม่ได้ที่จะนึกอิจฉาในใจ เจ้าหนูนี่สามารถบรรลุและก้าวหน้าไปได้ผ่านการชมการถกวิถีเต๋าอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นคนที่ประหลาดเสียจริง
แม้ว่าหวังต้าวหลูจะนึกอิจฉาเพียงใด ทว่าเขาก็เลือกปล่อยคลื่นพลังอันไร้รูปร่างออกมาอย่างเงียบ ๆ เพื่อห่อหุ้มตัวเฉินซีไว้ ไม่ให้ถูกสิ่งใดรบกวนความคิดในระหว่างนี้
…
กาลเวลาผันผ่าน การต่อสู้เปลี่ยนผันคราแล้วคราเล่า มันรุนแรง นุ่มนวล และเดือดพล่านไปตามแต่ละคู่ต่อสู้ที่ขึ้นมาบนสนามประลอง ทำเอาผู้ชมตกอยู่ในภวังค์เพลิดเพลินจนยากจะถอนสายตาไปจากฉากเหล่านั้น
เยี่ยถังได้รับชัยชนะตามที่คาดไว้
เจิ่นลู่เองก็เอาชนะคู่ต่อสู้ได้เช่นเดียวกัน
ทว่าเมื่อถึงคราวของจ้าวเมิ่งหลี นางเกือบจะกลายเป็นฝ่ายปราชัยไปเสียแล้ว
คู่ต่อสู้ของนางคือชายหนุ่มจากสำนักศึกษามหาเดียวดาย นามว่าซ่งอวิ๋นซง เขาไม่ใช่ศิษย์ที่เก่งที่สุดของสำนักศึกษามหาเดียวดาย แต่ในระหว่างต่อสู้กับจ้าวเมิ่งหลี อีกฝ่ายกลับสามารถระเบิดพลังการต่อสู้ออกมาได้อย่างน่าประทับใจ ส่งผลให้คลื่นเสียงที่โห่ร้องด้วยความตื่นเต้นกระหึ่มไปทั่วบริเวณ
แม้จ้าวเมิ่งหลีจะสามารถอาศัยพลังต้นอ่อนเงาทมิฬของเฉินซีในการบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงได้ในคราวเดียว อีกทั้งยังมีเคล็ดวิชาลับสุดยอดจากเผ่าวิหคเพลิงซึ่งทำให้ความแข็งแกร่งของนางแทบจะเป็นที่หนึ่งในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า แต่หญิงสาวก็ยังเกือบพ่ายแพ้ให้กับการต่อสู้ครั้งนี้ ผู้ชมที่อยู่โดยรอบจึงอดไม่ได้ที่แสดงความตกใจออกมาขนานใหญ่
แม้แต่หวังต้าวหลูเองก็ต้องขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นเช่นนั้น มันค่อนข้างจะเกินความคาดหมายของเขาไปเล็กน้อย ผู้เป็นอาจารย์อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าข้อมูลที่ถืออยู่ในมือนี้ไม่คล้ายจะถูกต้องนัก
จากข้อมูลที่เขามี ซ่งอวิ๋นซงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะต่อกรกับศิษย์ที่อยู่ในสามสิบอันดับแรกของเทียบอันดับทองคำตราดาราม่วงได้ ทว่าความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่อีกฝ่ายได้เปิดเผยออกมานั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่คาดคิดไว้ไปพอสมควร
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หวังต้าวหลูรู้สึกสังหรณ์ใจประหลาด
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่การต่อสู้ของจี้เซวียนปิงได้เริ่มต้นขึ้น ใบหน้าของหวังต้าวหลูก็พลันย่ำแย่ลงในทันที เขามีความรู้สึกที่ชัดเจนขึ้นไปอีกว่าการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักในคราวนี้ดูเหมือนจะผิดแผกไปจากสถานการณ์ที่คาดไว้นัก
เหตุผลนั้นง่ายมาก คู่ต่อสู้ของจี้เซวียนปิงคือหวังเซวี่ยชง ซึ่งเป็นศิษย์จากสำนักศึกษาระทมสันต์ ระดับความสามารถอาจเรียกได้ว่าเท่ากับซ่งอวิ๋นซงด้วยซ้ำ
ทว่าคนผู้นี้กลับสามารถไล่ต้อนจี้เซวียนปิงจนอยู่ในจุดที่เป็นต่ออีกฝ่ายทุกด้าน!
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
ไม่ได้มีเพียงหวังต้าวหลูที่รู้สึกประหลาดใจ แม้แต่อาจารย์และศิษย์จำนวนมากของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่อยู่โดยรอบบริเวณนั้นต่างก็ไม่เคยคาดคิดว่าเรื่องดังกล่าวจะเกิดขึ้น
บรรยากาศรอบสนามประลองเริ่มตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน เสียงครึกครื้นที่มีอยู่แต่เดิมเงียบลงถนัดตา
อีกด้านหนึ่ง กลุ่มของอาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษาระทมสันต์ทุกคนดูเหมือนจะมีสีหน้าผ่อนคลายอย่างมาก คล้ายคาดคะเนสิ่งนี้ไว้ตั้งแต่ต้น
หรือนี่จะเป็นแผนที่วางไว้? ดวงตาของหวังต้าวหลูกวาดมองหวังเซวี่ยชง ซ่งอวิ๋นซง เซียวเชียนซุ่ย ว่านเจี้ยนเซิง และศิษย์คนอื่น ๆ จากสำนักศึกษาทั้งหก ก่อนจะสังเกตเห็นบางอย่างได้ด้วยความรวดเร็ว
เซียวเชียนซุ่ยและหวังเซวี่ยชงมาจากสำนักศึกษาระทมสันต์
ซ่งอวิ๋นซงมาจากสำนักศึกษามหาเดียวดาย
ว่านเจี้ยนเซิงมาจากสำนักศึกษานภาไพศาล
แม้ว่าเซียวเชียนซุ่ยจะยังไม่ลงสนามประลอง แต่ก็ไม่ต้องสงสัยว่าว่าเขาเป็นบุคคลที่น่าเกรงขามพอ ๆ กับว่านเจี้ยนเซิงอย่างแน่นอน
ในทางกลับกัน แม้ว่าว่านเจี้ยนเซิงจะไม่ได้เผชิญหน้ากับศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าในยามนี้ แต่พวกเขาจะต้องได้ต่อสู้กันในการถกวิถีเต๋ารอบถัดไปแน่
จริงอยู่ที่จ้าวเมิ่งหลีสามารถเอาชนะซ่งอวิ๋นซงได้อย่างหืดขึ้นคอ แต่เขาก็แสดงให้เห็นถึงพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งเกินกว่าใครจะคาดคิด และตอนนี้หวังเซวี่ยชงก็กำลังทำอย่างเดียวกัน เขาสามารถไล่ต้อนจี้เซวียนปิงให้จนมุมจนยากจะหาช่องพลิกสถานการณ์ขึ้นมาเป็นต่อ
นี่มันไม่ปกติสักนิด!
“ทั้งเซียวเชียนซุ่ย ซ่งอวิ๋นซง และหวังเซวี่ยชงต่างก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงธรรมดา ทั้งยังมาจากสำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษานภาไพศาล และสำนักศึกษามหาเดียวดาย เป็นเรื่องที่แปลกมากหากไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้จริง ๆ” ตอนนั้นเอง เฉินซีซึ่งกำลังทำสมาธิมาโดยตลอดพลันพูดขึ้น ดวงตาทอประกายเยือกเย็น “ข้าสงสัยว่าเรื่องนี้จะต้องมีนิกายอำนาจเทวะอยู่เบื้องหลังเป็นแน่”
ครั้นหวังต้าวหลูได้ยินเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ ทว่าไม่ทันได้ตอบสิ่งใด เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้น
จี้เซวียนปิงถูกกระบี่ของหวังเซวี่ยชงโจมตีเข้าอย่างแรง จนร่างกระเด็นออกจากสนามประลองในทันที!
เสียงอุทานด้วยความตกใจของผู้คนดังระงมเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ทั้งบรรดาศิษย์และคณาจารย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าต่างก็ลุกขึ้นพรวดอย่างไม่เชื่อสายตา
ในรอบแรกของการถกวิถีเต๋า จี้เซวียนปิงแห่งตระกูลจี้ ทายาทของหนึ่งให้เจ็ดตระกูลเก่าแก่ พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือจากศิษย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์! นี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในการถกวิถีเต๋ามาก่อน!
อย่างไรแล้ว การถกวิถีเต๋าที่ผ่านมา ไม่เคยมีศิษย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าคนใดที่ถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรก ไม่เคยเลยสักครั้ง!
ฟึ่บ!
หวังต้าวหลูเคลื่อนที่ดังลำแสงพราว เขาคว้าร่างของจี้เซวียนปิงเอาไว้และพาอีกฝ่ายกลับไปยังเมฆมงคล เมื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บของจี้เซวียนปิงอย่างถี่ถ้วน ใบหน้าของเขาก็มืดหม่นลงในทันที
จี้เซวียนปิงได้รับบาดเจ็บสาหัส!
พลังชีวิตของจี้เซวียนปิงกะพริบพร่าอ่อนแสง สีหน้าซีดเซียวไม่ต่างแผ่นกระดาษ กระดูกซี่โครงที่ปกป้องหน้าอกเอาไว้แตกยับเยิน ทั้งร่างอาบย้อมไปด้วยโลหิตแดงฉาน เรียกได้ว่าตอนนี้อยู่ในสภาพที่น่าสังเวชเกินกว่าที่ใครจะทนมองได้
ตอนนั้นเอง สีหน้าของเฉินซี เยี่ยถัง จ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่พลันถูกแต่งแต้มด้วยความมืดมน ดวงตาฉายประกายเยือกเย็น โหดเหี้ยมเหลือคณา! “ข้า… ข้า… พยายามสุดกำลังแล้ว ตะ… แต่ไม่คิดเลยว่า… เขา… จะแข็งแกร่ง… ถึงพะ… เพียงนี้… ข้า… ทำให้พวกเจ้า… ต้องลำ… ลำบากแล้ว…” เสียงที่โศกเศร้าและแหบพร่าเล็ดลอดจากปากที่ท่วมไปด้วยเลือดอย่างยากเย็น
เฉินซีจับมือของจี้เซวียนปิงแน่น ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะค่อย ๆ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เชื่อข้าเถอะ ข้าจะทำให้พวกมันได้ชดใช้!”
จี้เซวียนปิงเผยยิ้มเศร้า ยังไม่ทันที่จะได้เปิดปากเพื่อพูดสิ่งใดต่อ เฉินซีก็ใช้กระบวนท่าลับทำให้เขาหลับสนิท จี้เซวียนปิงบาดเจ็บหนักเกินไป จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
“ฮ่า ๆ ๆ! ข้าก็บอกตั้งแต่แรกแล้ว! สถานการณ์การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักในอดีตถึงเวลาพลิกผัน สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะต้องพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถ! ตอนนี้น่ะ มันก็แค่เริ่มต้นเท่านั้น” เสียงหัวเราะร่าอันเหี้ยมเกรียมของเซียวเชียนซุ่ยดังก้องขึ้นมาจากระยะไกล
สิ้นคำพูดเหยียดหยัน ศิษย์และอาจารย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ต่างตกอยู่ภายใต้กองเพลิงแห่งโทสะ!