บทที่ 476 ส่วนสูงของโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว
บทที่ 476 ส่วนสูงของโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว
เสี่ยวเป่าถูกพาไปทิ้งไว้ในกระโจมแห่งหนึ่ง
ด้านในเตาไฟถูกจุดเอาไว้ทำให้ค่อนข้างอบอุ่น
สิ่งที่กำลังลุกโชนในเตาไฟคือถ่านหิน เนื่องจากเตาไฟและถ่านหินเริ่มได้รับความนิยมอย่างมากที่เมืองหน้าด่านเมื่อปีก่อน ประโยชน์ที่ปรากฏออกมาของมันนับว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเผ่าเทียนกู่น่าที่อาศัยอยู่ในภูเขาหิมะ
ดังนั้นยามฤดูหนาวปีที่แล้ว แม้ว่าคนในเผ่าเทียนกู่น่าจะร่วมต่อสู้ไปกับหนานกงสือเยวียน แต่ก็ยังส่งข่าวกลับมาบอกให้จัดคนกลุ่มใหม่ไปยังเมืองหน้าด่านต้าเซี่ยเพื่อแลกเปลี่ยนสิ่งของ
สำหรับพวกเขา ถ่านหิน เสบียงอาหาร และนมผงคือสิ่งของหลักที่ต้องการแลกเปลี่ยน
ทว่าของที่สามารถขนกลับมาได้มีจำนวนจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับถ่านหินที่มีน้ำหนักมาก ด้วยเหตุนี้จึงมีเตาไฟจุดอยู่ในบางกระโจมเท่านั้น
กระโจมที่เสี่ยวเป่าอยู่ตอนนี้มีเตาไฟจุดอยู่ เสือทั้งสองนอนลงไปทันทีหลังเดินเข้ามา
เสี่ยวเป่าได้จัดเตรียมสิ่งของต่าง ๆ เอาไว้เพื่อเข้าสู่ภูเขาหิมะแล้ว
อีกทั้งนางยังพบประโยชน์อีกข้อของห้องสมุด
นั้นคือพื้นที่สำหรับเก็บของ
นางค้นพบเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนก่อนหน้านี้ เมื่อนางสามารถเข้าไปในห้องสมุดโดยนำพู่กัน หมึก กระดาษ และแท่งฝนหมึกติดกายเข้าไปด้วย
ไม่นานนางก็พบว่าสามารถเอาของกินเล่นเข้าไปได้
หลังจากนั้นเสี่ยวเป่าก็ใช้ห้องสมุดเป็นที่เก็บของในบางคราว
หนานกงสือเยวียนเองก็รู้เรื่องนี้ ทว่าการเก็บสิ่งของไม่ได้มีประโยชน์อันมากมายสำหรับเขานัก เมื่อเทียบกับการเอาพื้นที่ไปเก็บของ เขาสนใจเหล่าหนังสือด้านในเสียมากกว่า
เสี่ยวเป่าเตรียมเสื้อผ้า เตาอุ่นมือ แท่งจุดไฟ เกรียงเหล็ก เสียม และของสำรับตั้งกระโจมบรรจุลงไปด้วย
แน่นอนว่าสิ่งที่อยู่ด้านในเหล่านั้นเป็นการเตรียมเอาไว้สำรอง ของเหล่านี้นางเองก็ต้องเตรียมเอาไว้ด้านนอกบางส่วนด้วย
อันที่จริงนางได้เตรียมการเอาไว้นานแล้ว เนื่องจากรู้ว่าฉางเซิงเทียนอยู่ในภูเขาหิมะ ดังนั้นนางจึงได้เตรียมของเหล่านี้รวมทั้งกระโจมและถุงนอนเอาไว้ให้ท่านพ่อกับพี่ชาย
แต่ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายเป็นนางที่ใช้เสียเอง
“คุณหนูหนานกง สิ่งของเหล่านี้ให้นำไปเก็บที่ใด”
ของของเสี่ยวเป่าก็ถูกนำมาด้วย
“วางไว้ด้านในกระโจมเลย”
เมื่อเสี่ยวเป่าออกไปสนทนากับพวกเขาก็ได้พบกับเด็ก ๆ ที่ติดตามมาด้วย
ทั้งหมดล้วนสูงกว่านางเล็กน้อย สวมใส่เสื้อขนสัตว์ มีรอยแตกบนริมฝีปากและใบหน้า
มีทั้งชายและหญิง ทว่าล้วนมองดูเสี่ยวเป่าด้วยความสนใจ
เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นโบกทักทายพวกเขา
กู๋เหมิงเอ่ยแนะนำ “ทั้งหมดล้วนเป็นเด็กในเผ่าของพวกข้า เพราะนมผงของท่าน เมื่อปีก่อนเด็กจำนวนมากในเผ่าพวกข้าจึงมีชีวิตรอด”
อารมณ์ในใจเสี่ยวเป่าซับซ้อนเล็กน้อย นางเรียนวิชาแพทย์จากอาจารย์ ทั้งยังอ่านตำราการแพทย์อื่น ๆ ด้วยตนเองในห้องสมุด ได้เรียนรู้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับยุคสมัยนี้
นางรู้ว่าคนที่มีทักษะการแพทย์เช่นอาจารย์มีอยู่เพียงน้อยนิด คนจำนวนมากไม่ได้กินยา แต่กลับสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าแทน
ดังนั้นในหมู่ชาวบ้านจึงมีหมอผีจำนวนมากแอบอ้างหลอกลวง
มีหมอจำนวนน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยที่ใช้สมุนไพรรักษาคนจริง ๆ
จงหยวนยังเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงทางทุ่งหญ้าเลย
กระทั่งไข้หวัดยังสามารถคร่าชีวิตคนผู้หนึ่งได้ด้วยซ้ำ เด็กที่มีภูมิคุ้มกันต่ำมักเสียชีวิตตั้งแต่ยังเล็ก
อีกทั้งการใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนอากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ เหล่าเด็ก ๆ จะมีโอกาสป่วยมากขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อนำมาประกอบกับสถานการณ์ที่มารดามีน้ำนมไม่พอเลี้ยงบุตร เหล่าเด็กเล็กจะตายก็ไม่แปลก
“ในดินแดนเช่นนี้ทำให้เด็ก ๆ ป่วยง่าย เหตุใดพวกท่านจึงไม่ลองคิดย้ายไปอยู่ที่อบอุ่นปลอดภัยกว่านี้เล่า”
กู๋เหมิงตอบตามความจริง “เพราะพวกข้าอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน พวกข้าต้องพิทักษ์ฉางเซิงเทียน”
เขาเห็นเสี่ยวเป่ามองไปทางเด็ก ๆ ในเผ่า คาดเดาได้ว่าคุณหนูจากจงหยวนคิดสิ่งใดอยู่
กู๋เหมิงหัวเราะออกมา “แม้ว่าการตายของเด็กเหล่านั้นจะเป็นเรื่องน่าเศร้า ทว่าสำหรับพวกข้าแล้ว มีเพียงแค่ผู้ที่สามารถอยู่รอดในสภาพแวดล้อมเช่นนี้จึงจะเติบโตกลายเป็นนักรบเผ่าเทียนกู่น่าได้ กลายเป็นคนเผ่าเทียนกู่น่าที่แท้จริง”
ว่าจบก็ตบหน้าอกตนเอง “ท่านดูสิว่าร่างกายของพวกข้าแข็งแกร่งเพียงใด ล้วนเป็นเพราะการขัดเกลาจากสภาพแวดล้อมเช่นนี้ คนที่รอดชีวิตจนโตมักไม่ตายด้วยอาการเจ็บป่วย เว้นแต่จะได้รับบาดเจ็บและรักษาอย่างไม่เหมาะสม”
เสี่ยวเป่ามองร่างกายของเขา คิดดูแล้วสตรีที่นี่เองก็ล้วนแข็งแกร่งสูงกำยำไม่แพ้เหล่าบุรุษ
จะกล่าวเช่นไรได้ แม้จะโหดร้ายอย่างยิ่ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าร่างกายของพวกเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าผู้ใดในโลกภายนอก เกรงว่าต่อให้ออกไปเพียงลำพังก็ไม่ประสบเคราะห์โดยง่าย
ทว่าทุกสิ่งไม่อาจสมบูรณ์แบบ
สภาพแวดล้อมอันปลอดภัยทำให้คนสูญเสียความตื่นตัวระแวดระวังและความสามารถด้านการต่อสู้ สภาพแวดล้อมอันเลวร้ายจึงจะบ่มเพาะร่างกายอันแข็งแกร่งและจิตใจอันเด็ดเดี่ยวจากการต่อกรกับธรรมชาติ
คนเผ่าเทียนกู่น่า แม้จะเป็นสตรีเพียงลำพังผู้เดียวก็สามารถเทียบเคียงกับทหารต้าเซี่ยนับร้อยได้
คนที่นี่ล้วนแต่เป็นนักรบ
เสี่ยวเป่าเองก็ไม่ถามสิ่งใดมากมาย เพียงบอกให้เหล่าเด็ก ๆ เข้ามานั่งด้านในกระโจม
เดิมทีคิดว่าการสื่อสารน่าจะเป็นเรื่องยากลำบาก ทว่านางไม่คาดเลยว่ามีเด็กผู้หนึ่งสามารถพูดภาษาทุ่งหญ้าได้
เสี่ยวเป่าถามว่าพวกเขาอายุเท่าใด
เด็กหนุ่มตอบ “ปีนี้พวกข้าอายุสิบสองแล้ว”
เสี่ยวเป่ามองดูเขาที่ร่างกายสูงเกือบเท่าพี่ชายที่โตใกล้จะกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เสี่ยวเป่า : …
เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่หรือไม่ เหตุใดจึงเติบโตมากถึงเพียงนี้ เจ้าอายุมากกว่าข้าสองปี เหตุใดจึงสูงกว่าข้าสองเท่าเล่า!
ภายในใจนางเกิดความรู้สึกมากมาย จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางแม่นางน้อยที่สูงกว่าตนเอง
“นางเล่า?”
เด็กหนุ่มตอบ “เจ็ดขวบ”
เสี่ยวเป่า : …
นางสูงเท่าอกเด็กอายุเจ็ดขวบ
ก่อนหน้านี้นางยังพึงพอใจที่ตนเองสูงขึ้นกว่าเดิม ทว่าหลังมาถึงเผ่าเทียนกู่น่าแล้วความรู้สึกนั้นพลันถูกทุบทิ้งอย่างไร้ความปรานี
ส่วนสูงของโลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!
เสี่ยวเป่าถอนหายใจเล็กน้อย แล้วหยิบลูกอมและนมอัดเม็ดออกมายื่นให้พวกเขา
“นี่คือสิ่งใด”
เสี่ยวเป่าตอบ “ลูกกวาด ส่วนนี้เรียกว่านมอัดเม็ด เป็นขนมกินได้”
ลูกกวาดและนมอัดเม็ดเป็นของที่ทำออกมาใหม่ ปริมาณที่มีน้อยเกินไปจึงไม่ได้นำออกมาขาย ดังนั้นจึงไม่เพียงพวกเขาเท่านั้น กระทั่งพวกกู๋เหมิงก็ไม่รู้จัก