ตอนที่ 105 เตรียมพร้อมไว้ก่อน
เฮ่อชิงเซียวเอ่ยขึ้น “คิดเงิน”
หลิวโจวเหมือนตื่นจากฝัน สีหน้าพลันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านรอสักครู่”
คนงานรับก้อนเงินเล็กๆ มากมาประเมินน้ำหนักแล้วก็ไม่ได้นำขึ้นชั่ง ทอนเหรียญเหรียญทองแดงให้เฮ่อชิงเซียวว่องไว
เฮ่อชิงเซียวรับเงินทอนแล้ว ก็มองไปทางซินโย่วที่ตั้งสติได้แล้ว “คุณหนูโค่ว ข้าขอตัวก่อน”
ซินโย่วมองไปที่บันทึกการเดินทางในอ้อมแขนของเฮ่อชิงเซียว ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ใต้เท้าเฮ่อชอบบันทึกการเดินทางเล่มนี้มากหรือ”
เฮ่อชิงเซียวนึกถึงบันทึกการเดินทางที่ถูกย้ายตำแหน่งก็พยักหน้า “ใช่ ชอบมาก”
ซินโย่วเอ่ยเตือนอย่างใส่ใจ “นี่เป็นชุดบันทึกการเดินทาง ยังมีอีกแปดเก้าเล่มในคลังเก็บหนังสือ”
เฮ่อชิงเซียว “…”
พอเฮ่อชิงเซียวจากไป หลิวโจวก็ทอดถอนใจ “ใต้เท้าเฮ่อเปลี่ยนไปแล้ว”
พอเห็นสายตาสงสัยของซินโย่ว ผู้ดูแลร้านหูก็ฟาดหลิวโจวทีหนึ่ง “ไปจัดชั้นหนังสือ”
ในห้องโถงพลันเงียบลง ก่อนจะมีเสียงดีดลูกคิดกระทบกันดังขึ้นอีกครั้ง
ซินโย่วพิงโต๊ะเก็บเงินพลางเริ่มครุ่นคิด
เดิมขันทีรับคำสั่งให้ออกจากวังมาซื้อหนังสือ หากพระสนมซูเฟยโมโหด้วยเรื่องอื่น รอให้ขันทีซื้อของกลับไปเช่นนี้แล้วจึงค่อยโมโหเดือดขึ้นมา ก็เหมือนจะไร้เหตุผลอยู่สักหน่อย
ในภาพที่เห็นพระสนมซูเฟย เหมือนว่าจะโมโหเพราะคำพูดของขันที
คำพูดขันทีย่อมต้องเกี่ยวข้องกับการออกมานอกวังในครั้งนี้…ซินโย่วเหลือบตาขึ้นมอง ‘วาดหนัง’ วางแน่นเต็มชั้นหนังสือ แววตากระตุกวาบพอคาดเดาได้บ้างแล้ว
‘วาดหนัง’ อยู่ๆ พลันกลายเป็นชื่นชอบของแวดวงนักอ่านนิยาย และเป็นกระแสนิยมไปทั่วเมืองหลวง ได้อย่างไร
เพราะร้านหนังสือชิงซงเลือกวิธีมุ่งเป้าไปที่นักอ่านหญิง และมีหญิงสาวได้ยินผลที่ได้รับจากการอ่านนี้
ผู้ชายที่เห็นสาวงามเป็นไม่ได้ล้วนไม่มีจุดจบที่ดี พวกที่เลี้ยงดูภรรยาน้อยไว้นอกบ้านก็ยิ่งไร้จุดจบที่ดี
หากขันทีนำเรื่องพวกนี้ไปบอกเล่าให้พระสนมซูเฟยฟัง เสียดแทงจุดเจ็บปวดในพระทัยพระสนมซูเฟยก็ไม่แปลก
ตอนนั้นบิดาผู้นั้นทรยศต่อมารดานาง แอบชุบเลี้ยงพวกพระสนมซูเฟยไว้ที่อี๋หยวน หากเป็นสามัญชนก็มิใช่เลี้ยงดูภรรยาน้อยไว้นอกบ้านหรือ ก็แค่มีคำว่าเรื่องส่วนพระองค์กลบเกลื่อนเรื่องน่าอายเหล่านี้เท่านั้น
หากเป็นเช่นนี้ พระสนมซูเฟยเกรงว่าไม่เพียงแต่ระบายโทสะใส่ขันที ยังอาจโมโหลามมาถึงนางด้วย
“ท่านเจ้าของร้าน!” ผู้ดูแลร้านหูที่คิดบัญชีเสร็จ สีหน้าแดงตะโกนเรียกดังลั่น
ซินโย่วมองไป
ผู้ดูแลร้านหูตบสมุดบัญชี แววตาส่องประกาย “เพียงแค่วันนี้ ‘วาดหนัง’ ขายออกไปทั้งชุดได้สองร้อยกว่าชุด เล่มสองขายไปหนึ่งร้อยเก้าเล่ม!”
เดิมปริมาณการขายเริ่มลดลงแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าจะขายดีอีกเพราะเจ้าของร้านช่วยบุตรีองค์หญิงใหญ่ไว้!
ผู้ดูแลร้านหูมองดูสาวน้อยสีหน้านิ่งสงบราวกับมองเทพเจ้าเงินตรา
เทพเจ้าเงินตราเรา อา ไม่สิ ท่านเจ้าของร้านเรามีความสามารถแท้จริง
“ผู้ดูแลร้าน ตอนนี้ ‘วาดหนัง’ ยังมีเก็บไว้อีกเท่าไร”
ผู้ดูแลร้านหูพลิกสมุดบัญชีดูแล้วก็ดีดลูกคิด “ทั้งชุดยังมีหนึ่งร้อยยี่สิบชุด เล่มสองเหลือแค่หนึ่งร้อย โรงพิมพ์ทางนั้นเร่งพิมพ์ทั้งวันทั้งคืน กำลังตีพิมพ์เย็บเล่มอีกสามร้อยเล่มได้…”
“ให้โรงพิมพ์หยุดพิมพ์ก่อน”
ผู้ดูแลร้านหูคิดว่าฟังผิด “หยุดพิมพ์?”
ซินโย่วพยักหน้า “ใช่ ให้โรงพิมพ์หยุดพิมพ์ก่อน”
ผู้ดูแลร้านหูได้ยินก็ร้อนใจ “ท่านเจ้าของร้าน หยุดไม่ได้นะขอรับ หลายร้อยเล่มฟังแล้วมาก ความจริงขายไม่กี่วัน คนมากมายปกติไม่อ่านนิยาย ครั้งนี้ก็หันมาอ่านกันตามกระแสด้วย อีกสองสามวันกระแสผ่านไปก็ไม่คิดอยากซื้อแล้ว…ท่านวางใจ ทางช่างพิมพ์นั้นข้าน้อยได้บอกพวกเขาไปแล้ว เดือนนี้นอกจากเงินเดือนยังมีเงินพิเศษ เงินพิเศษล้วนขึ้นกับกำไรของร้านหนังสือ บรรดาช่างพิมพ์ต่างขยันขันแข็งเต็มที่”
เหน็ดเหนื่อยแค่เดือนเดียว หาเงินได้มากอีกหน่อย มีคนมากมายล้วนต้องการแต่ไม่อาจได้
“ข้าเข้าใจท่าน แต่ข้าก็มีแผนการของข้า ให้โรงพิมพ์หยุดก่อน ขายของที่เก็บไว้หมดค่อยว่ากัน”
เห็นซินโย่วไม่เหมือนล้อเล่น แม้ในใจผู้ดูแลร้านหูเต็มไปด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่ได้เอ่ยค้านอันใดอีก รีบไปบอกหัวหน้าจ้าวที่ดูแลโรงพิมพ์ หัวหน้าจ้าวได้ฟังก็ร้อนใจ
“จะหยุดได้อย่างไร! ท่านผู้ดูแลร้าน ร้านหนังสือเราเดือนนี้หาเงินเกือบได้เท่าหลายปีที่ผ่านมารวมกันแล้ว หากหยุดตอนนี้ ไม่ใช่โยนเงินทิ้งหรือ”
เขาแอบคาดเดาว่าเงินพิเศษที่จะได้ในเดือนนี้ อาจพอทำกำไลเงินคู่หนึ่งให้ภรรยาคู่ทุกข์ที่บ้านได้แล้ว
ต่อหน้าคนอื่น ผู้ดูแลร้านหูไม่ทำให้เจ้าของร้านเสียหายแม้แต่น้อย เอ่ยน้ำเสียงเข้มงวดว่า “ท่านเจ้าของร้านรับช่วงต่อร้านหนังสือมาเคยตัดสินใจผิดพลาดด้วยหรือ”
หัวหน้าจ้าวส่ายหน้า
“งั้นก็ถูกต้องแล้ว ฟังการจัดการของนางก็พอ”
ดังนั้นร้านหนังสือชิงซงยากจะมีค่ำคืนที่ผ่อนคลายสักคืน
อีกทางหนึ่ง เสี่ยวหมิงจื่อเร่งนำนิยายเข้าวังไปเข้าเฝ้าพระสนมซูเฟย
เรื่องคุณหนูโค่วช่วยบุตรีองค์หญิงใหญ่ พระสนมซูเฟยก็ได้ยินมาแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นก่อนว่า “ได้พบคุณหนูโค่วท่านนั้นหรือไม่ เป็นคนเช่นไร”
“ทูลพระสนม ได้พบคุณหนูโค่วแล้ว เหมือนกับในข่าวลือ ใบหน้าละม้ายคล้ายองค์หญิงใหญ่อยู่มากจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“หึ” พระสนมซูเฟยหัวเราะน้ำเสียงประหลาด “นิยายล่ะ”
เสี่ยวหมิงจื่อประคองสองมือส่งให้
พระสนมซูเฟยรับ ‘วาดหนัง’ มาแล้วก็มองหน้าปก ถามขึ้นอย่างไม่สนใจนักว่า “มีคนซื้อนิยายนี่อ่านกันเยอะจริงหรือ”
“จริงพ่ะย่ะค่ะ บ่าวไปเย็น จึงไม่มีคนแล้ว ได้ยินว่าตอนกลางวันเข้าแถวยาวไปถึงหน้าถนน”
“นิยายเล่มเดียวสนุกเพียงนี้เชียวหรือ”
“บ่าวได้ยินว่าเกี่ยวข้องกับข่าวลือหนึ่ง” เสี่ยวหมิงจื่อแอบดีใจที่ตนเองเตรียมสืบข่าวมาดี
พระสนมซูเฟยเลิกคิ้ว “ข่าวลืออันใด”
“บอกว่าพอได้อ่าน ‘วาดหนัง’ จะทำให้ชายหลายใจกลับตัวกลับใจ ผู้ชายที่เห็นสาวงามเป็นไม่ได้ล้วนมีจุดจบอนาถ เลี้ยงดูภรรยาน้อยล้วนมีจุดจบอนาถ ผู้ใดล้วนไม่เหมือนภรรยาร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา…”
พระสนมซูเฟยสีหน้าแปรเปลี่ยน ยกมือปาหนังสือใส่หน้าทันที
เสี่ยวหมิงจื่อไม่ทันตั้งตัว ถูกหนังสือทั้งชุดปาใส่หน้า
เขากุมใบหน้าทันทีด้วยสัญชาตญาณ โลหิตทะลักออกจากจมูก ไหลซึมออกมาจากหว่างนิ้ว
แม้ว่าไม่รู้ทำให้พระสนมซูเฟยโมโหด้วยเรื่องใด แต่ปฏิกิริยาแรกของเสี่ยวหมิงจื่อก็คือคุกเข่าขออภัยโทษ “บ่าวควรตาย บ่าวควรตาย”
พระสนมซูเฟยโมโหจนยากระงับ มองจมูกที่โลหิตไหลหยดลงพื้นของเสี่ยวหมิงจื่อ ก็ยิ่งรังเกียจ
ในตอนนั้นเอง ในตำหนักก็มีเสียงรายงานดังขึ้น
ไม่ทันที่ทุกคนจะตั้งสติได้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็เสด็จเข้ามาแล้ว
พอเห็นภาพในตำหนักเช่นนี้ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงนิ่งอึ้งไป “เกิดอันใดขึ้นหรือ”
พระสนมซูเฟยเข้ามารับเสด็จ “ถวายบังคมเพคะฝ่าบาท”
โลหิตที่หยดลงบนพื้นทำให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ขมวดคิ้ว “ขันทีนี่ทำให้ซูเฟยโมโหหรือ”
เสี่ยวหมิงจื่อที่ถูกระบุชื่อรีบก้มหน้าลง ไม่กล้าส่งเสียง
การเสด็จมาอย่างกะทันหันของฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เหนือความคาดหมายของพระสนมซูเฟย ทำให้นางหาคำพูดกล่าวอ้างสวยหรูไม่ทัน “หม่อมฉันเสียกิริยาแล้ว วันนี้เสี่ยวหมิงจื่อออกไปนอกวัง ได้ยินเรื่องราวข่าวลือเกี่ยวกับเจ๋อเอ๋อร์มาไม่น้อย หม่อมฉันได้ยินแล้วก็ปาของไป ผู้ใดจะรู้ว่าบ่าวนี่ไม่หลบ โดนใบหน้าเขาเข้าพอดี”
เสี่ยวหมิงจื่อรีบเอ่ยว่า “เพราะบ่าวงุ่มง่ามเองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทโปรดอภัยโทษด้วย พระสนมโปรดละเว้นโทษด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมซูเฟยเอ่ยถึง ‘เจ๋อเอ๋อร์’ ก็คือไต้เจ๋อหลานชายของนาง
ในพระทัยฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รู้ดีว่าไต้เจ๋อถูกกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินนำตัวไปโบยหน้าจวนจะเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว จึงไม่ได้คิดสงสัยในคำแก้ตัวของพระสนมซูเฟย
แม้ว่าเสี่ยวหมิงจื่อถูกหนังสือกระแทกจมูกจนโลหิตไหลริน แต่ไม่เปื้อนโดนหนังสือ ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทอดพระเนตรไป ขันทีที่ติดตามมาก็รีบเข้าไปเก็บหนังสือขึ้นมา ปัดฝุ่นไปมาก่อนจะส่งไปยังเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้