ตอนที่ 106 โต้รุ่ง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จ้องมองครู่หนึ่ง “นี่คือนิยายนอกวัง?”
พระสนมซูเฟยสะดุ้ง แต่ยังรักษาท่าทีสงบนิ่ง “เพคะ…หม่อมฉันได้ยินว่านิยายนี้ขายดีมากในเมืองหลวง จึงรู้สึกอยากรู้ ให้เสี่ยวหมิงจื่อไปซื้อมาอ่านสักหน่อยเพคะ”
หลายปีมานี้พระสนมซูเฟยดูแลวังหลัง ในสายตาหลายคนก็เป็นดังฮองเฮา แต่มีเพียงพระสนมซูเฟยที่รู้กระจ่างที่สุด ต่อหน้าฮ่องเต้ แต่ไรมาไม่เคยอยู่ร่วมกันแบบคู่สามีภรรยาทั่วไปแม้สักครั้ง
ไม่ว่านางหรือหญิงอื่นในวัง ท่าทีฮ่องเต้ต่อพวกนางล้วนดำรงสถานะไว้เหนือกว่า
เพียงแต่หลายคนก็พอเข้าใจ แต่ก็ยังมีคนโง่เขลา คิดเพ้อไปว่าจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้
เพราะรู้กระจ่างใจ ยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ พระสนมซูเฟยจึงต้องระมัดระวังตนเอง
“ที่แท้เป็นเช่นนี้” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้วันนี้มาก็คิดจะหารือกับพระสนมซูเฟยเรื่องหลานชายไม่ได้ความของนางสักหน่อย แต่ขันทีตกใจหวาดกลัว รอยคราบโลหิตบนพื้น ทุกอย่างทำให้เขาไม่คิดอยากอยู่ต่อ
“ซูเฟยอย่าได้โมโหกับเรื่องหลานชายเลย สุขภาพสำคัญที่สุด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์ก่อนจะหันหลังจากไป
ขันทีที่ถือหนังสือไว้ลังเลเล็กน้อย เพราะฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้ตรัสจึงไม่กล้าคิดเองเออเอง ได้แต่นำ ‘วาดหนัง’ ติดมือไปด้วยเงียบๆ
พระสนมซูเฟยมองไปที่ประตูด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ฮ่องเต้รับสั่งให้กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินโบยหลานชายนางต่อหน้าสาธารณชน ถือเป็นการการกระทำดังตบใบหน้านาง วันนี้เสด็จมาตรัสเล็กน้อยไม่กี่คำก็เสด็จกลับ
หากว่า…ในห้วงความคิดพระสนมซูเฟยมีภาพใบหน้างามกระจ่างหนึ่งผุดขึ้นมา สีหน้าคับแค้นยิ่งขึ้น
ช่างเป็นบุคคลดังเงามืดดำในใจของพวกนางทุกคนเสียจริง ยังดีที่บุคคลผู้นี้ไม่มีวันได้กลับมาอีกแล้ว
พระสนมซูเฟยแสดงท่าทีโล่งอก กวาดตามองเสี่ยวหมิงจื่อที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ไสหัวออกไป!”
เสี่ยวหมิงจื่อไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าก็รีบถอยหลังออกไปทันที
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับถึงตำหนัก เรียวเนตรหงส์ก็กวาดไปเห็นนิยายที่ขันทีนำกลับมาด้วย
“เอามาให้เราอ่าน”
ขันทีผู้นี้มีนามว่าซุนเหยียน เป็นขันทีคนสำคัญอันดับต้นๆ ในวัง แน่นอนว่าต่อหน้าเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ ย่อมดำรงตนต้อยต่ำ
“พ่ะย่ะค่ะ” ซุนเหยียนดึงหนังสือออกจากเอว รีบพลิกหนังสือตรวจสอบก่อนจะส่งมอบให้ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้รับนิยายมาแล้วก็เปิดอ่าน
ซุนเหยียนรออยู่ข้างๆ ไม่กล้ารบกวน ส่งสายตาให้ขันทีน้อย
ขันทีที่มาทำงานรับใช้ในนี้ได้ล้วนเป็นคนฉลาด จึงรีบยกแท่นเทียนมาทางนี้
แสงยิ่งสว่าง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็ยิ่งอ่านอย่างตั้งใจมากขึ้น
เวลาค่อยๆ พ้นผ่านไป ซุนเหยียนอดทูลเตือนไม่ได้ “ฝ่าบาท ได้เวลาบรรทมแล้ว ระวังพระเนตรพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กลับไม่ละสายพระเนตรจากหนังสือ เสวยน้ำไปคำหนึ่ง
ซุนเหยียนยื่นมือไปคิดจะรับหนังสือ ถูกฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กดเอาไว้ “เราจะอ่านอีกหนึ่งเค่อ”
หนึ่งเค่อ?
ซุนเหยียนคิดๆ แล้วก็ยังดี เติมน้ำร้อนใส่แก้วที่เหลือครึ่งถ้วย
หนึ่งเค่อผ่านไป
“ฝ่าบาท ได้เวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่เงยพระพักตร์ขึ้นมอง “อ่านอีกหนึ่งเค่อ ไม่ อีกสองเค่อ”
ซุนเหยียนมุมปากกระตุก ในใจคิดถึงพระอารมณ์ฮ่องเต้ จึงไม่เตือนอีก
สองเค่อผ่านไป
“ฝ่าบาท ควรบรรทมแล้วจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้ยังมีประชุมท้องพระโรง…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตบหนังสือทีหนึ่ง สีพระพักตร์เคร่งเครียด “ในเวลานี้เรามักจะต้องอนุมัติฎีกาอยู่ เหตุใดจึงอ่านนิยายไม่ได้”
ซุนเหยียนก้มหน้าลง ไม่กล้าเอ่ยอีก
“อย่าพูดมาก รอให้เราอ่านจบก่อน”
ซุนเหยียน “…”
ค่ำคืนค่อยๆ ล่วงผ่าน แท่นเทียนเต็มไปด้วยน้ำตาเทียน ในที่สุดฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็วางหนังสือลง ลุกขึ้นขยี้ตา
ซุนกงกงออกอาการแขนขาชา
“ท่านซงหลิงมีที่มาที่ไปอย่างไร”
พออ่านหนังสือจบ ก็จะคิดสนใจไปถึงนักเขียน ถือเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไป
ซุนเหยียนถูกถามเช่นนี้ก็อึ้งไป “บ่าวไม่รู้เรื่องนอกวังพ่ะย่ะค่ะ”
บางทีเขาควรหาเวลาไปดูที่ร้านหนังสือชิงซงแล้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่ได้รู้สึกกริ้วที่ซุนเหยียนไม่รู้เรื่องพวกนี้ รับสั่งว่า “พรุ่งนี้หลังประชุมเสร็จ เรียกตัวฉางเล่อโหวมาเข้าเฝ้า”
“พ่ะย่ะค่ะ”
วันต่อมาประชุมท้องพระโรง บรรดาขุนนางก็พบว่าขอบพระเนตรฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ดำคล้ำ ก็พากันงุนงง
ระยะนี้บ้านเมืองก็ราบรื่นเป็นปกติดี แต่ละพื้นที่ก็มิได้มีเหตุเภทภัย ฮ่องเต้ถึงกับจัดการราชกิจจนไม่ได้บรรทมทั้งคืนหรือ
เรื่องนี้ทำให้บรรดาขุนนางต่างรู้สึกละอายใจยิ่ง!
ดังนั้นฮ่องเต้ซิงหยวนตี้จึงรู้สึกได้ถึงความขันแข็งของบรรดาขุนนาง การประชุมท้องพระโรงใช้เวลามากกว่าปกติไปครึ่งชั่วยามจึงได้จบลง
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระพักตร์มืดพระเนตรลาย เกือบจะยืนหยัดต่อไปไม่ไหว กว่าจะอดทนจนเลิกประชุมได้ ยามนี้กำลังหลับพระเนตร
ซุนเหยียนไม่กล้ารบกวน รอคอยอยู่ด้านข้างเงียบๆ
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ก็มีเสียงถามขึ้นว่า “ฉางเล่อโหวมาแล้วหรือยัง”
ซุนเหยียนรีบเอ่ยว่า “ฉางเล่อโหวมารออยู่ด้านนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ให้เขาเข้ามา”
ไม่นานเฮ่อชิงเซียวเดินเข้ามา
“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พระพักตร์มีรอยยิ้มอยู่ไม่น้อย “ชิงเซียว บอกกี่ครั้งแล้ว เราเป็นอาของเจ้า ทำตัวตามสบายหน่อย”
คุยสัพเพเหระกันได้ครู่หนึ่ง ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ก็มอบหมายให้เฮ่อชิงเซียวไปจัดการเรื่องหนึ่ง “เราอยากรู้ว่าท่านซงหลิงที่เขียนเรื่อง ‘วาดหนัง’ เป็นคนเช่นไร เจ้าไปสืบมาหน่อย”
เฮ่อชิงเซียวรับคำอย่างไร้พิรุธ เดินออกจากวังมาได้จึงค่อยขมวดคิ้ว
เรื่องที่ฮ่องเต้รับสั่งให้เขาดำเนินการนั้นไม่เกี่ยวข้องกับขุนนางหรือชนชั้นสูง แต่เป็นครั้งแรกที่ตรวจสอบชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง
แต่ไม่ว่าภารกิจสมเหตุสมผลหรือไม่ รับสั่งฮ่องเต้ล้วนต้องปฏิบัติตาม
เดิมเรื่องพวกนี้สั่งการให้ลูกน้องไปจัดการตรวจสอบมาก็ได้ แต่เฮ่อชิงเซียวคิดแล้วก็เปลี่ยนชุดลำลองตรงไปร้านหนังสือชิงซงด้วยตนเอง
ร้านหนังสือในตอนนี้คนกำลังเยอะ
ผู้ดูแลร้านหูมองชั้นหนังสือที่หนังสือร่อยหรอลงเรื่อยๆ ก็รู้สึกปวดใจ
อีกไม่กี่วันก็คงขายหมดแล้ว ถึงตอนนั้นลูกค้าที่มาแล้วต้องกลับไปมือเปล่า ก็หมายถึงเงินทองที่ติดปีกบินไป
“ผู้ดูแลร้าน”
“อ่า?” ผู้ดูแลร้านหูได้สติคืนมา ก็เห็นใต้เท้าเฮ่อในเครื่องแต่งกายลำลอง ลังเลอยู่ว่าควรทักทายเช่นไร
เฮ่อชิงเซียวถามขึ้นเบาๆ ว่า “เจ้าของร้านท่านอยู่ไหม ข้ามีเรื่องต้องการพบนาง”
“ท่านรอสักครู่”
ผู้ดูแลร้านหูรีบให้สือโถวไปรายงานซินโย่ว
ไม่นานสือโถวก็วิ่งกลับมา ไปยืนข้างเฮ่อชิงเซียวกระซิบเสียงเบายิ่งว่า “ท่านเจ้าของร้านบอกว่าโถงร้านคนเยอะ หากท่านมีเรื่องสำคัญ ให้ข้าน้อยนำท่านไปเรือนตะวันออกขอรับ”
“ใต้เท้าเฮ่อมาพบข้าด้วยเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” พอนั่งลงแล้ว ซินโย่วก็ยกกาน้ำชารินให้เฮ่อชิงเซียว
เฮ่อชิงเซียวมองสาวน้อยสีหน้านิ่งสงบตรงหน้าก็เอ่ยว่า “คุณหนูโค่วพอจะบอกเรื่องท่านซงหลิงสักหน่อยได้หรือไม่”
มือซินโย่วที่ยกกาน้ำชาอยู่ชะงักกึก แววตาสงสัย “เหตุใดใต้เท้าเฮ่อจึงถามถึงท่านซงหลิง”
“ฝ่าบาทได้อ่าน ‘วาดหนัง’ แล้วตรัสถามถึงท่านซงหลิง”
เดิมเรื่องที่ฮ่องเต้รับสั่งให้ดำเนินการไม่ควรบอกแก่ผู้อื่น เฮ่อชิงเซียวกลับเอ่ยออกมาอย่างง่ายดาย ง่ายดายจนกระทั่งเอ่ยออกมาแล้วตนเองยังตกใจอยู่บ้าง แต่จากนั้นก็ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
จะว่าไปแล้ว ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักเจิ้นฝู่ซือสังกัดกองกำลังองครักษ์จิ่นหลินนี้เขาก็ไม่อยากเป็นเท่าไร และการที่เขายอมอยู่ใต้บังคับบัญชาเพราะพระราชอำนาจแห่งฮ่องเต้เท่านั้น
ตอนอยู่ในจวนโหวที่เต็มไปด้วยบ่าวพระราชทาน เขารู้สึกเบื่อหน่ายมาก เฮ่อชิงเซียวรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะยินยอมอยู่ในกฎระเบียบแต่อย่างใด
และคุณหนูโค่วก็เป็นคนเช่นนี้