ตอนที่ 119 มีเหตุผล
เผชิญหน้ากับไม้เรียวที่กำลังจะฟาดใส่ เมิ่งเฝ่ยหลบหลีกว่องไว
“หลานไม่ได้ปล่อยข่าว ท่านปู่ไปร้านหนังสือชิงซง หรือว่าไม่ได้ไปซื้อ ‘วาดหนัง’”
“ข้าอ่าน ‘วาดหนัง’ อะไรนั่นไปแล้ว ยังต้องไปซื้อมาอ่านหรือ เงินมากไม่มีที่ใช้หรือ” เมิ่งจี้จิ่วโมโหหนวดกระดิก
เมิ่งเฝ่ยนึกได้แล้ว วันที่หน้าประตูสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนมีศพ ท่านปู่ก็ยึด ‘วาดหนัง’ ของเขาไปทันที
ที่แท้ตาแก่แอบอ่านจบแล้ว
“เช่นนั้นท่านไปร้านหนังสือชิงซงทำอันใด”
เมิ่งจี้จิ่วเข้าใจนิสัยหลานชายดี หากไม่พูดกันให้กระจ่าง ก็ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่จะหาเรื่องยุ่งยากใดมาให้เขาอีก “ไปขอพบท่านซงหลิง”
เรียวตาหงส์เมิ่งเฝ่ยเบิกโพลง ไม่เข้าใจอย่างยิ่ง “ท่านไปขอพบนักเขียนนิยาย?”
กระแสคนชอบอ่านนิยายในเมืองหลวงรุนแรงมาก นักเขียนดีๆ ได้รับความยกย่องย่อมเป็นเรื่องจริง พากันไล่ติดตามชื่นชม แต่การติดตามชื่นชมเหล่านี้สำหรับวงการขุนนางชนชั้นสูงแล้ว ไม่ต่างอันใดกับการไปติดพวกร้องรำทำเพลง ไม่เป็นเรื่องมีเกียรติเหมือนการเลื่อมใสในคำสอนปรัชญาเมธีเช่นนั้น
ในสายตาผู้คนทั่วไปเมิ่งเฝ่ยเป็นหนุ่มน้อยที่แหกกฎระเบียบ แม้ว่ามีความคิดเช่นนี้ แต่คนเฉลียวฉลาดเช่นเขาย่อมเข้าใจความแตกต่างนี้ดี
“ท่านซงหลิงเป็นคนมีความสามารถยิ่ง” เมิ่งจี้จิ่วไม่ได้อธิบายมาก สีหน้ากลับจริงจังยิ่ง
เมิ่งเฝ่ยรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา “เช่นนั้นท่านปู่ได้พบท่านซงหลิงแล้วหรือยัง”
เห็นท่านปู่เขายกไม้เรียวขึ้น หนุ่มน้อยเข้าใจทันที ไม่ได้พบ
“โอ๊ย โอ๊ย ท่านปู่ วางไม้ลงเถอะ อย่าได้เหนื่อยเกินไป ข้ามีสหายสนิทเป็นพี่ชายเจ้าของร้านหนังสือชิงซง ไม่แน่เขาอาจเคยพบ ข้าจะไปถามดูให้…”
เมิ่งเฝ่ยฉวยจังหวะตอนเมิ่งจี้จิ่วกำลังตกในภวังค์ความคิด รีบวิ่งหนีออกไปรวดเร็ว
ต้วนอวิ๋นหลางกำลังเตรียมตัวออกไป ได้ยินเมิ่งเฝ่ยก็ส่ายหน้า “ข้าไม่เคยพบ”
“เจ้าไม่อยากรู้หรือ”
ต้วนอวิ๋นหลางตั้งใจคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่อยากรู้”
สำหรับเขาแล้ว นิยายสนุกก็พอแล้ว ความทุกข์ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาก็คือไม่เงินค่าขนมมากมายมาซื้อหนังสือ
สำหรับตัวผู้เขียนนิยาย ก็มิได้นำมาอ่านได้ จะอยากรู้ไปทำไมกัน
“แต่หากเจ้าอยากรู้ ข้าจะไปถามน้องชิงให้” ต้วนอวิ๋นหลางเอ่ยอย่างมีน้ำใจ
“ขอบคุณมาก”
“ไม่มีอันใด เดิมข้าก็ว่าจะไปหาน้องชิงพอดี”
ตั้งแต่เกิดเหตุน่าสะพรึงมีศพมานอนตายหน้าประตูสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยน สำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนก็ไม่อนุญาตให้พวกเขาออกไปข้างนอก ตอนเริ่มแรกก็ว่าเพื่อตรวจสอบสถานะผู้ตาย ต่อมาคำนึงถึงความปลอดภัย ถึงวันนี้ก็ยังไม่ยกเลิกคำสั่งห้าม
หลายวันนี้ต้วนอวิ๋นหลางเป็นห่วงมาตลอดว่าน้องชิงจะได้รับผลกระทบไปด้วย
เมิ่งเฝ่ยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าไปสายสักหน่อยได้ ตอนนี้น้องสาวเจ้าคงไม่มีเวลา”
“ไม่มีเวลา?”
“ใช่ วันนี้คนไปซื้อหนังสือกันมากอยู่”
เขาก็แค่เอ่ยไปอย่างนั้น ผู้ใดจะรู้ว่าคนที่แต่ไรมาไม่อ่านนิยายก็ไปร่วมวงครึกครื้นกันหมด
เรียกว่าอันใดนะ ‘เบื้องบนทำอย่างไร เบื้องล่างก็เลียนแบบตาม’
ยามนี้หน้าประตูร้านหนังสือชิงซงมีประกาศแผ่นหนึ่งเขียนว่า ‘วาดหนัง’ ไม่มีเก็บไว้ในคลัง แถวที่ยาวเหยียดในที่สุดก็เลิกแถวไป
ข่งรุ่ยจึงได้เดินเข้ามา
“ท่านลูกค้ามาซื้อหนังสืออันใดหรือขอรับ” หลิวโจวเข้ามาต้อนรับ
ประกาศใหญ่เพียงนั้นปิดขึ้นไปแล้ว น่าจะไม่มีคนมาซื้อ ‘วาดหนัง’ แล้ว
“ซื้อ ‘วาดหนัง’ หนึ่งร้อยชุด”
“เท่าไรนะ” คนงานหลุดเสียงดังขึ้น
หน้าประตู เฮ่อชิงเซียวชะงักกึก สีหน้าที่แต่ไรมานิ่งสงบ ยามนี้กลับตื่นตะลึง
เขารู้จักหนุ่มน้อยในโถงร้านหนังสือ เป็นบุตรชายองค์หญิงใหญ่เจาหยาง จิ้งอันโหวข่งรุ่ย
ที่แท้คนพวกนี้ซื้อหนังสือกันเช่นนี้หรือ
ในนั้นมีเสียงทักคุ้นเคยดังขึ้น “คุณชายข่ง”
เฮ่อชิงเซียวหันหลังเดินกลับไปเงียบๆ
ซินโย่วเดินออกมาจากห้องรับรองมาทักทายข่งรุ่ย
ข่งรุ่ยประสานมือตอบ “คุณหนูโค่ว ข้าเพิ่งได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นพวกนั้น ไม่ได้มาช่วยเหลือ รู้สึกละอายใจยิ่ง”
“คุณชายข่งเกรงใจไปแล้ว เป็นเพียงเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย ไม่ได้ส่งผลอันใดต่อร้านหนังสือเราเจ้าค่ะ”
ข่งรุ่ยคิดถึงแถวยาวเหยียดเมื่อครู่ ก็รู้ว่าคำพูดคุณหนูโค่วนั้นมิใช่ความเท็จ
“คุณหนูโค่ว ‘วาดหนัง’ ยังจะตีพิมพ์เพิ่มหรือไม่”
พอถามออกไป แววตาผู้ดูแลร้านหูก็มองมาทันที
เจ้าของร้านบอกว่าไม่พิมพ์แล้ว มองดูเงินติดปีกบินหนีไปมากมายเช่นนี้ เขาปวดใจนะ!
คุณชายหน้าตาดีไม่ธรรมดาผู้นี้จะทำให้นางเปลี่ยนความคิดได้หรือไม่
“พวกเราได้เตรียมหนังสือใหม่แล้ว ‘วาดหนัง’ หยุดพิมพ์ชั่วคราวเจ้าค่ะ”
ซินโย่วไม่ใช่คนไม่สนใจหาเงินทำกำไร แต่ก่อนหน้านี้ ‘วาดหนัง’ ขายได้เกินกำลังซื้อของคนในแวดวงนี้แล้ว หลายคนที่ไม่อ่านนิยายก็มาซื้อตามกระแสไปแล้วด้วย
ตอนนี้กระแสเพิ่งหยุด กระทำการใดล้วนควรกระทำแต่พอดี
ข่งรุ่ยได้ยินก็มิได้ผิดหวัง ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “เช่นนั้นก็รอหนังสือใหม่ออกวางขาย ขอคุณหนูโค่วเก็บไว้ให้ข้าหนึ่งร้อยชุด”
“ได้เจ้าค่ะ” ซินโย่วตอบรับทันที ไม่ได้ปฏิเสธตามมารยาท
ข่งรุ่ยรู้สึกโล่งอก เขาไม่ค่อยถนัดเรื่องวาจาตามมารยาทพวกนั้น คุณหนูโค่วเป็นคนเช่นนี้ย่อมดีมาก
พอข่งรุ่ยไปแล้ว หลิวโจวก็เข้ามาเอ่ยใกล้ๆ ว่า “ท่านเจ้าของร้าน คุณชายข่งท่านนี้คือผู้ใดหรือ เป็นคหบดีร่ำรวยจริงหรือขอรับ”
หนึ่งร้อยชุด ต้องใช้เงินทองเท่าไรกัน!
“เขาคือบุตรชายองค์หญิงใหญ่เจาหยาง”
หลิวโจวสูดลมหายใจเฮือก “โอโฮ มิน่าเล่า ลูกหลานชนนั้นสูงมีเงินจริงๆ”
เอ่ยถึงตรงนี้ คนงานก็พลันนึกถึงใต้เท้าเฮ่อ เขาคล้ายว่าก็เป็นชนชั้นสูงเหมือนกันไหม
ผู้ดูแลร้านหูให้ความสำคัญคนละประเด็นกับคนงาน “ท่านซงหลิงเขียนหนังสือใหม่หรือ”
เห็นท่าทางตื่นเต้นของผู้ดูแล ซินโย่วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ท่านซงหลิงเขียนนิยายยังชีพ ย่อมต้องออกหนังสือใหม่”
“ออกหนังสือใหม่ย่อมดีๆ” ผู้ดูแลร้านหูถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น “ท่านเจ้าของร้าน หนังสือใหม่ของท่านซงหลิงเกี่ยวกับเรื่องอันใดหรือ”
“ไว้รออ่านต้นฉบับก็รู้แล้ว”
ผู้ดูแลร้านหูรู้ความไม่ถามต่อ
ซินโย่วกลับถึงเรือนตะวันออก กำชับเสี่ยวเหลียนให้เฝ้าประตูให้ดี ยกพู่กันขึ้นจรด
เดิมเรื่องถัดไปยังคงเลือกจากเรื่องของท่านซงหลิง แต่วันนั้นข่าวจากใต้เท้าเฮ่อ ทำให้นางเปลี่ยนความคิด
ในเมื่อเรื่องที่เขียนทำให้บิดาผู้นั้นของนางได้อ่านได้ เช่นนั้นก็เขียน ‘บันทึกการเดินทางไปยังแดนตะวันตก’ ก็แล้วกัน
คำนึงถึง ‘บันทึกการเดินทางไปยังแดนตะวันตก’ ไม่ได้เขียนโดยท่านซงหลิง แต่หนังสือใหม่ต้องอาศัยชื่อท่านซงหลิง ซินโย่วตัดสินใจตัดบางคำออก ชื่อหนังสือใหม่ก็คือ ‘บันทึกแดนตะวันตก’
ยามคนเราตั้งใจขึ้นมา เวลาก็ผ่านไปรวดเร็ว ไม่รู้ตัวแสงสายัณห์ก็ครอบคลุมทั่วท้องฟ้า
เสี่ยวเหลียนยืนอยู่หน้าประตูเอ่ยขึ้นเบาๆ “คุณหนู สือโถวมารายงานว่าคุณชายรองมาเจ้าค่ะ”
ซินโย่ววางพู่กันลง สั่งให้เสี่ยวเหลียนเฝ้าต้นฉบับให้ดี ล้างมือเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ออกไปโถงหน้าร้านหนังสือ
ยามนี้ในร้านหนังสือไม่มีลูกค้า ต้วนอวิ๋นหลางดื่มน้ำชาอยู่ที่โต๊ะเก็บเงิน ไม่รู้สึกว่าตนเป็นคนนอกแม้สักนิด
ซินโย่วเดินเข้ามา “พี่รอง”
ต้วนอวิ๋นหลางเห็นผู้ดูแลร้านหูก็ชี้ไปยังประตูห้องรับรอง “น้องชิง ไปคุยข้างในกัน”
ทั้งสองคนเดินตามกันเข้าไป ต้วนอวิ๋นหลางถามขึ้นตรงๆ “น้องชิง ท่านซงหลิงมีที่มาที่ไปอย่างไรหรือ”
“เหตุใดพี่รองถามเช่นนี้”
“ก็แค่อยากรู้ขึ้นมา ท่านซงหลิงเขียน ‘วาดหนัง’ ได้สนุกเช่นนี้ ย่อมต้องมีคนมากมายอยากรู้เรื่องของเขา”
“แน่นอน แต่ท่านซงหลิงไม่ชอบเป็นที่สนใจของผู้คน ไม่อยากให้คนรู้สถานะเขา”
“อย่างนั้นหรือ…”
เห็นต้วนอวิ๋นหลางท่าทางผิดหวัง ซินโย่วก็ยิ้มปลอบใจว่า “ไข่ไก่อร่อย ไยต้องดูไก่ที่ออกไข่ว่าสีอันใด พี่รองว่าจริงหรือไม่”
ต้วนอวิ๋นหลางฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที
วาจานี้มีเหตุผลมาก!