ตอนที่ 127 ขอคำพยากรณ์
ไต้เจ๋อกระชากบังเหียนม้าจากมือคนงานมาได้ก็กระโดดขึ้นหลังม้าบึ่งทะยานออกไปทันที
คนงานสองคนไม่สนใจจะเอ่ยอันใดกันอีก รีบเร่งไล่ตามไปอย่างร้อนใจ
แต่ไรมาท้องถนนเมืองหลวงมีคนไปมาขวักไขว่ไม่ขาดสาย ยามนี้เห็นชายหนุ่มควบม้าตะบึงมา ผู้คนที่เดินไปมาตกใจรีบแหวกทางหลบ
“ผู้ใดควบม้า?” เจ้าหน้าที่ทางการที่ลาดตระเวนอยู่ตวาดถามคนที่ควบม้าผ่านมา แต่กลับได้ฝุ่นไปกินแทน
สหายร่วมงานข้างๆ ดึงเขาไว้ “เอาละๆ ดูท่าทางน่าจะเป็นคุณชายตระกูลใดสักตระกูล อย่าหาเรื่องใส่ตัวดีกว่า”
ความจริงไต้เจ๋อไม่ได้คิดมากอันใด เพียงแต่ในสมองยามนี้ย้อนนึกถึงคำของซินโย่วอยู่ จึงแทบจะพุ่งตรงไปร้านหนังสือชิงซง
“ระวัง!” เสียงร้องตกใจ
เด็กน้อยผู้หนึ่งยืนอยู่กลางถนน เห็นม้าตัวใหญ่พุ่งมาก็นิ่งอึ้งไร้ปฏิกิริยา
ไต้เจ๋อกระชากบังเหียนด้วยสัญชาตญาณ ความเร็วม้าไม่ได้ลดลงสักเท่าไร ดีที่มีเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมา รวบตัวเด็กน้อยไปได้ในเสี้ยววินาที
ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ม้าที่วิ่งตะบึงไปก็ยังไม่หยุด ยังคงวิ่งต่อไป
เด็กน้อยตั้งสติได้ก็แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น
มารดาเด็กวิ่งมาถึง รีบอุ้มเด็กน้อยปากก็กล่าวขอบคุณเฮ่อชิงเซียวไม่หยุด
“ท่านน้าดูแลลูกให้ดี” เฮ่อชิงเซียวเอ่ยน้ำเสียงอ่อนโยน
หญิงผู้นั้นขอบคุณไม่หยุด ก่อนจะอุ้มเด็กจากไป
เฮ่อชิงเซียวขมวดคิ้วมองทิศทางที่ไต้เจ๋อมุ่งไป
“ใต้เท้า ท่านไม่เป็นอันใดกระมัง” ลูกน้องถาม
“ผู้ที่เพิ่งผ่านไปก็คือซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อ?” เฮ่อชิงเซียวน้ำเสียงทุ้มต่ำ ไม่รู้ว่าพูดให้ตนเองฟังหรือว่าตรวจสอบความแน่ใจกับลูกน้อง
องครักษ์กองกำลังองครักษ์จิ่นหลินสองนายสบตากัน คนหนึ่งลังเลตอบรับว่าเหมือนจะใช่ อีกคนถึงกับบอกว่ามองไม่ชัด
ทิศทางนั้น…แม้ว่าไปร้านหนังสือชิงซง แต่ก็มิได้หมายความว่าเป้าหมายของซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อก็คือที่นั่น เฮ่อชิงเซียวลังเลเล็กน้อย สุดท้ายยังคงตัดสินใจไปดู
จวนกู้ชางป๋อไม่นับว่าห่างจากร้านหนังสือชิงซง ไม่นานไต้เจ๋อก็มาถึง กระโดดลงจากหลังม้าวิ่งเข้าไปทันที
มีคนผู้หนึ่งวิ่งเข้ามากะทันหัน หลิวโจวกับสือโถวย่อมเคลื่อนไหวเร็วกว่าความคิด เข้ามาขวางหน้าเขาไว้ ผู้ดูแลร้านหูคว้าลูกคิดขึ้นง้างรอด้วยสัญชาตญาณ
ไต้เจ๋อนิ่งอึ้งไปทันที “พวกเจ้าจะทำอันใดกัน”
เขาวิ่งมาเร็วไปสักหน่อย แต่เหตุใดทุกคนทำท่าเหมือนจะฟาดเขา นี่มันท่าทีควรกระทำต่อลูกค้าหรือ
ผู้ดูแลร้านหูค่อยๆ วางลูกคิดลง สือโถวแอบหลบออกด้านข้าง หลิวโจวยิ้มกว้าง “พอเห็นคุณชายไต้ ข้าน้อยมิกล้าเสียมารยาทแม้แต่น้อย ไม่คิดว่าสือโถวจะแย่งข้าน้อยมาต้อนรับคุณชายขอรับ”
คนในร้านหนังสือทั้งสามแอบบ่นในใจพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ก็เพราะท่านพุ่งเข้ามาเช่นนี้ ก็ต้องคิดว่ามาปล้น จะไม่ตั้งรับได้หรือ
ทำอย่างไรได้ เพิ่งรับกล่องบรรจุทองก้อนคำและของมีค่ามา ใจจึงระแวงอยู่
“เจ้าของร้านพวกเจ้าล่ะ” ไต้เจ๋อไม่คิดเสียเวลากับพวกเขา มองหาไปรอบๆ
“เจ้าของร้านเรากลับเรือนด้านหลังไปแล้วขอรับ” หลิวโจวตอบนอบน้อม
“ให้เจ้าของร้านพวกเจ้า…ไม่ เชิญเจ้าของร้านพวกเจ้าออกมา บอกว่าข้ามีธุระด้วย” ไต้เจ๋อคิดถึงคำพยากรณ์ของซินโย่ว ต่อหน้าพวกผู้ดูแลร้านหูก็อดเอ่ยด้วยความเกรงใจอย่างไม่รู้ตัว
หลิวโจวแอบสบตากับผู้ดูแลร้านหูอย่างตกใจ
เจ้าของร้านเป็นเทพพยากรณ์หรือ ถึงกับรู้ว่าวันนี้คุณชายไต้จะมาอีกครั้ง
ผู้ดูแลร้านหูตั้งสติได้ก่อน สั่งการสือโถว “ไปบอกท่านเจ้าของร้าน คุณชายไต้มา”
สือโถวรับคำรีบวิ่งเหยาะๆ ไปด้านหลัง
ไต้เจ๋อนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะเก็บเงินดังเดิม มองไปทางหน้าประตูที่เชื่อมไปทางด้านหลังเป็นระยะ แทบจะอยากพบซินโย่วให้ได้เสียเดี๋ยวนี้
ในที่สุดบ่าวติดตามสองคนก็หอบหายใจไล่ตามมาถึง
ไต้เจ๋อเคยชินกับการออกจากบ้านต้องมีบ่าวสองคนคอยรับใช้ แต่ยามนี้ไม่ได้เอ่ยอันใด
หนึ่งในบ่าวทนไม่ไหว ทำใจกล้าเตือนว่า “ซื่อจื่อ ท่านไม่เช็ดหน้าหรือ”
ไต้เจ๋อนิ่งอึ้งไปทันที สีหน้าแปรเปลี่ยน
แย่ละ ขี้นกยังรดอยู่บนใบหน้า!
“มัวยืนเซ่อกันอยู่ทำไม รีบเข้ามาเช็ดให้ข้าสิ!”
ควบม้ามาตลอดทาง ขี้นกถูกลมพัดแห้งจนเป็นคราบ ผู้ดูแลร้านหูกับหลิวโจวได้ยินก็มองใบหน้าไต้เจ๋อ ย่อมมองออกว่าคืออันใด
บ่าวหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดแล้วเช็ดอีก
หลิวโจวทนดูไม่ไหว กระแอมไอขึ้นมาทีหนึ่ง “ข้าน้อยไปยกน้ำมาให้สักกะละมังดีไหมขอรับ”
พอหลิวโจวยกกะละมังน้ำออกมา ไต้เจ๋อเช็ดหน้าสะอาดแล้ว ซินโย่วก็มาพอดี
“คุณชายไต้”
ไต้เจ๋อผลักบ่าวที่บังไว้ออก ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนทันที
“คุณหนูโค่ว!”
ปฏิกิริยาตื่นเต้นของเขาทำเอาผู้ดูแลร้านหูและหลิวโจวตกใจ แต่บ่าวรับใช้สองคนเตรียมใจไว้ตั้งแต่ควบม้ามาแล้ว
ก่อนหน้านี้เพิ่งคิดว่ามีคนมาปล้น เห็นว่าเป็นคุณชายไต้ก็วางใจ ตอนนี้ดูคล้ายว่าวางใจเร็วเกินไป คุณชายไต้คงไม่ได้มาบังคับใจหญิงสาวกระมัง
การคาดเดานี้ทำให้ผู้ดูแลร้านแอบคว้าลูกคิดไว้เงียบๆ
พอซินโย่วเห็นปฏิกิริยาไต้เจ๋อก็รู้ว่าเกิดอันใดขึ้น สงบจิตใจให้นิ่งลงเอยว่า “คุณชายไต้ไปคุยกันในห้องรับรองเถิดเจ้าค่ะ”
แต่เล็กจนโต ยามได้พบคนจำนวนมาก เพียงนางมองเล็กน้อย ก็จะ ‘ได้เห็น’ เคราะห์ร้ายของคนที่นางมองได้ แต่ส่วนใหญ่นางไม่ได้มองให้เหมือนเช่นที่มองให้ไต้เจ๋อในวันนี้ หากมิใช่ว่าต้องการทำให้เขาเชื่อว่านางดูนรลักษณ์เป็น นางย่อมไม่คิดเอ่ยแม้แต่คำเดียว
ไม่ใช่นางเย็นชา แต่นำความสามารถนี้มาใช้ทั่วไป นางเกรงว่าอาจต้องสูญเสียบางสิ่งทดแทนไปโดยไม่ทันตั้งตัว
หรือบางทีนางก็ได้สูญเสียบางสิ่งทดแทนไปแล้ว
ซินโย่วคิดถึงการตายของมารดาแล้วก็รู้สึกเศร้าใจอย่างที่สุด
ช่างน่าขันหรือไม่ นางมองเห็นความเคราะห์ร้ายของคนคนหนึ่งล่วงหน้าได้แท้ๆ แต่กลับมีครั้งนั้นที่ออกจากบ้านนานเกินไป จึงไม่เห็นอันใดทั้งสิ้น
ซินโย่วไม่กล้าปล่อยให้ตนเองจมดิ่งอยู่กับความรู้สึกผิดนี้นานเกินไป เพราะจะทำให้นางสูญเสียความกล้าหาญที่จะหยัดยืนอยู่ในตอนนี้ไป
เผชิญหน้ากับบุตรชายของคนที่แน่ใจว่าสังหารมารดานาง นางรินน้ำชาด้วยท่าทีสบายๆ ส่งไปตรงหน้าเขา
“คุณชายไต้ดื่มน้ำชาให้ชุ่มคอก่อนเจ้าค่ะ”
ไต้เจ๋อคว้าแก้วน้ำชามาดื่มพรวดเดียวหมด
การที่ดื่มพรวดเดียวนี้ ก็เพราะกระหายน้ำมากจริงๆ และเพราะยังตื่นเต้นกับคำพูดของซินโย่วก่อนหน้านี้ จึงยอมฟังคำสั่งทันทีด้วยสัญชาตญาณ
“คุณชายไต้มาอีกครั้ง มีธุระหรือเจ้าคะ”
“คุณหนูโค่ว…” ไต้เจ๋อยื่นมือไปจะคว้าข้อมือซินโย่ว
ซินโย่วแอบชักมือหลบ มองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ไต้เจ๋อคว้าได้แต่ความว่างเปล่า ยกมือแข็งทื่อขึ้นเกาศีรษะแทน แววตาทั้งสองจับจ้องใบหน้าซินโย่วไม่วางตา “คุณหนูโค่ว ที่เจ้าพูดมาเกิดขึ้นจริงด้วย!”
“คุณชายไต้หมายถึงวิหค…”
“ใช่ ใช่ ใช่ พอข้ากลับถึงบ้าน พอเงยหน้าก็เห็นนกยูงที่เลี้ยงไว้…” ไต้เจ๋อปฏิกิริยาว่องไว้ เรื่องนี้น่าขายหน้ามาก น่าขยะแขยงมาก จึงรีบหุบปากทันที
ซินโย่วเลิกคิ้ว
คล้ายว่าไม่ค่อยเหมือนกับที่นาง ‘มองออก’ สักเท่าไร
ในภาพที่นางเห็น นกขี้รดศีรษะไต้เจ๋อ ทำเอาเขาโมโหถีบใส่สาวใช้คนหนึ่ง แต่จากคำพูดของไต้เจ๋อ สรุปได้ว่าเขาแหงนหน้าขึ้น อืม แหงนหน้าขึ้น…
ซินโย่วเกือบจะหลุดขำออกมาอย่างไม่อาจระงับ รีบจิบน้ำชากลบเกลื่อน
“สรุปว่า คุณหนูโค่วทำนายได้แม่นยำ…” ไต้เจ๋อแววตาร้อนแรง “คุณหนูโค่วถึงกับดูนรลักษณ์เป็นจริงๆ!”
“ใช่สิเจ้าคะ” ซินโย่วเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“เจ้าร้ายกาจกว่านักพรตชิงเฟิงเสียอีก!”
“นักพรตชิงเฟิง?”
“นักพรตชิงเฟิงก็คือเจ้าสำนักอารามชิงเฟิง จ่ายทองคำมากมายจึงขอคำพยากรณ์จากเขาได้…” ไต้เจ๋อเอ่ยไม่หยุด
ซินโย่วสีหน้ายิ่งประหลาดใจ “คุณชายไต้กล่าวมากมายเช่นนี้คิดให้ข้าเปิดแผงพยากรณ์หาเงินหรือ”
ไต้เจ๋อตั้งสติได้ว่าออกนอกประเด็นไปแล้ว กระแอมไอเบาๆ ทีหนึ่ง “ไม่ใช่ ข้าอยากขอให้คุณหนูโค่วดูให้ข้าอีก เหตุใดระยะนี้มีแต่เคราะห์ร้าย ก่อนหน้านี้ข้าก็ถูกหมูป่าไล่กวดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ยังถูกโบยยี่สิบไม้ ท่านแม่ข้าเชิญนักพรตชิงเฟิงมาตรวจดวงชะตาให้ข้าโดยเฉพาะ นักพรตชิงเฟิงบอกว่าปีนี้ข้าปีชง พูดนี่นั่นมากมายเป็นกระบุง ก็ไม่ได้แม่นยำเจาะจงเรื่องเคราะห์ร้ายได้เหมือนคุณหนูโค่วเอ่ยในวันนี้…”
ซินโย่วนั่งฟังเงียบๆ มุมปากกระตุกยิ้ม
หากให้นางบอก ไม่จำเป็นต้องพยากรณ์แล้ว ความเคราะห์ร้ายของคุณชายเสเพลผู้นี้เห็นได้ชัดว่าล้วนมาจากตนเองทั้งสิ้น
มาถึงตอนนี้กลับยังรู้สึกว่าถูกหมูป่าไล่กวดไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หมูป่าที่ตายอนาถตัวนั้นหากอยู่ในปรภพได้รู้ จะต้องโมโหมาเกิดใหม่แก้แค้นเป็นแน่
“คุณหนูโค่ว?”
“เจ้าคะ”
ไต้เจ๋อจ้องมองตาปริบๆ “ดังนั้นดูให้ข้าหน่อย เหตุใดระยะนี้ข้าเคราะห์ร้ายเช่นนี้”
เพราะรนหาที่ตายอย่างไรเล่า
ซินโย่วแอบตอบเช่นนี้ในใจ แต่ใบหน้ายังคงรักษาสีหน้าเคร่งเครียด จ้องมองคนตรงหน้าตาไม่กะพริบ
ไต้เจ๋อใจสั่น “คุณหนูโค่ว ว่ามา ข้าทนรับได้”