ตอนที่ 136 ตรวจทานบัญชี
นายหญิงผู้เฒ่าได้ยินสาวใช้รายงาน พลันคิดว่าฟังผิด “นายท่านใหญ่กับคุณหนูนอก?”
“เจ้าค่ะ”
นายหญิงผู้เฒ่าอดขมวดคิ้วไม่ได้
ชิงชิงกับบุตรชายคนโตนางมาด้วยกันได้อย่างไร
คงมิใช่เกิดเรื่องอีกกระมัง
ในความคิดนายหญิงผู้เฒ่า หลานสาวไม่ใช่แกะน้อยที่อ่อนโยนเชื่อฟังอีกแล้ว แต่เปลี่ยนเป็นเม่นขนแหลมรอบตัว ยามที่ไม่ได้ดังใจก็จะทิ่มแทงใส่
“เชิญเข้ามา”
ไม่นานม่านประตูผ้าฝ้ายก็เลิกขึ้น รองเจ้ากรมต้วนกับซินโย่วก็เดินเข้ามา
รองเจ้ากรมต้วนเดินนำหน้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ซินโย่วที่ตามด้านหลังกลับไม่ได้แสดงสีหน้าใด
“ท่านแม่ ข้ากับชิงชิงมาหารือกับท่านแม่เรื่องหนึ่ง”
รองเจ้ากรมต้วนเอ่ยน้ำเสียงปกติยิ่ง แต่สีหน้าไม่ดีนัก ในใจนายหญิงผู้เฒ่าก็รู้ว่าไม่ธรรมดาแล้ว แสดงท่าทีให้บ่าวในห้องถอยออกไป
“เรื่องอันใด” นายหญิงผู้เฒ่าดึงพรมผืนบางข้างๆ มาคลุมขา
รองเจ้ากรมต้วนมองซินโย่วทีหนึ่ง เอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ชิงชิงบอกว่านางโตแล้ว คิดอยากนำสมบัติบิดามารดานางกลับคืนไปดูแลเองขอรับ”
ได้ยินรองเจ้ากรมต้วนพูดจบ นายหญิงผู้เฒ่าสีหน้าแปรเปลี่ยน จ้องมองซินโย่วเขม็ง ถามขึ้นว่า “ชิงชิง เจ้าบอกกับลุงเจ้าเช่นนี้หรือ”
ซินโย่วพยักหน้า “เจ้าค่ะ”
นายหญิงผู้เฒ่าสูดลมหายใจเฮือกหนึ่ง สะกดโทสะในใจที่พวยพุ่งขึ้นมาลงไป “ชิงชิง เหตุใดอยู่ๆ เจ้าคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ท่านลุงเจ้าพูดอันใดให้เจ้าไม่พอใจหรือ”
จริงๆ ควรตรงมาหานางก่อน แต่ตรงไปพบบุตรชายนางก่อน เป็นไปได้ว่าบุตรชายทำให้นางไม่พอใจ จึงคิดอาศัยเรียกสมบัติกลับคืนระบายอารมณ์
“ท่านลุงดีมากเจ้าค่ะ” ซินโย่วคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ชิงชิง ไม่ไปนั่งข้างนอกสักครู่ ข้าคุยกับท่านยายเจ้าสักสองสามคำ” รองเจ้ากรมต้วนเห็นนายหญิงผู้เฒ่ายังอยู่ในห้วงความคิดเพ้อฝันอยู่ ตัดสินใจบอกมารดาตนให้รู้คร่าวๆ ก่อน
การจะมาคาดเดาความคิดหลานสาว มิสู้หารือว่าจะนำออกมาเท่าไรให้หลานสาวยอมสงบลงจะดีกว่า
“เจ้าค่ะ” ซินโย่วรับปากทันที
เห็นนางออกไปแล้ว รองเจ้ากรมต้วนก็เอ่ยว่า “วางต้นฉบับนิยายนั่นไว้”
ซินโย่วชะงักฝีเท้า วางกล่องต้นฉบับนิยายใส่มือรองเจ้ากรมต้วน ก่อนจะเปิดม่านเดินออกไป
ม่านประตูผืนหนักส่ายไปมาเล็กน้อย ไม่นานก็นิ่งลง
เผชิญหน้ากับบุตรชาย นายหญิงผู้เฒ่าพูดตรงไปตรงมากขึ้น “เกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าทำให้ชิงชิงไม่พอใจหรือ”
รองเจ้ากรมต้วนยิ้มเฝื่อน หยิบต้นฉบับนิยายส่งให้มารดาตน “ท่านแม่อ่านอันนี้ก่อนเถอะขอรับ”
นายหญิงผู้เฒ่ารับต้นฉบับมาอ่านด้วยสีหน้าสงสัย ยิ่งอ่านสีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่
“เอามาจากไหน” นายหญิงผู้เฒ่าอ่านจบก็ปาต้นฉบับลงบนโต๊ะ
รองเจ้ากรมต้วนมองไปทางประตูทีหนึ่ง “ยังจะมาจากไหนอีก ชิงชิงเขียน”
“นางเขียนเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
รองเจ้ากรมต้วนถอนหายใจ “ท่านแม่ หรือว่าท่านคิดไม่ออก นางกำลังใช้นิยายนี่มาข่มขู่พวกเรา นำสมบัติพวกนั้นกลับคืนไป”
นายหญิงผู้เฒ่าไม่ยินดีรับฟังคำว่า ‘พวกเรา’ เดิมก็เป็นสมบัติที่น้องเขยและน้องสาวเจ้าทิ้งไว้ให้นาง เพียงแต่ชิงชิงยังเล็ก ข้าช่วยนางดูแลไว้ก่อน
เหตุใดจึงกล่าวว่า ‘ข่มขู่พวกเรา’ นางไม่เคยคิดว่าเงินเหล่านี้เป็นของบุตรชาย แน่นอนว่าคิดจะให้ชิงชิงได้แต่งงานกับพี่ชายลูกพี่ลูกน้องเพื่อกระชับสัมพันธ์เครือญาติให้แน่นแฟ้น เงินเหล่านี้ก็จะไม่เล็ดลอดออกไปจากจวนรองเจ้ากรม
พอคิดถึงเรื่องนี้ นายหญิงผู้เฒ่าก็โมโหเดือดดาล “หากมิใช่เฉียวซื่อทำผิด ไยต้องมีเรื่องกันมาจนเป็นเช่นนี้!”
รองเจ้ากรมต้วนสีหน้าย่ำแย่ “ความหมายของท่านแม่ก็คือต้องคืนสมบัติพวกนั้นให้ชิงชิง?”
“จะได้อย่างไรเล่า” นายหญิงผู้เฒ่าหลุดปฏิเสธออกมา “นางเป็นเด็กสาวตัวเล็กๆ จะดูแลเงินทองมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร อย่างไรก็ต้องรอให้นางออกเรือนก่อน”
นายหญิงผู้เฒ่าคิดรั้งให้หลานสาวแต่งเข้าตระกูลต้วน เช่นนี้สมบัติก็จะไม่ตกเป็นของคนนอกให้เสียเปล่า อย่างเลวร้ายที่สุดก็คือ หลานสาวแต่งออกไป ให้นำไปแค่ส่วนหนึ่ง ก็เพียงพอให้หลานสาวออกเรือนมีหน้ามีตาได้แล้ว
ดังนั้นการจัดการของนายหญิงผู้เฒ่าก็คือหากหลานสาวยังไม่ออกเรือน เงินก้อนนี้นางย่อมไม่มอบให้ผู้ใด รวมทั้งบุตรชายและสะใภ้ หรือโค่วชิงชิงเจ้าของสมบัติก้อนนี้ตัวจริง
“เกรงว่าคงมิใช่ท่านแม่ตัดสินใจ…” รองเจ้ากรมต้วนรีบเล่าคำขู่ของซินโย่ว
นายหญิงผู้เฒ่านนิ่งอึ้งไปทันที สายตามมองไปทางประตู “ชิงชิง กล่าวเช่นนี้จริงหรือ”
“เรื่องพวกนี้บุตรชายใส่สีเติมรสได้หรือ ท่านแม่เห็นนางว่านอนสอนง่าย แต่ความจริงท่าทางว่านอนสอนง่ายของนางหลายเดือนมานี้ล้วนเพราะทำให้นางพึงพอใจ หากนางไม่พอใจขึ้นมาก็จะโวยวายเอาเรื่อง ท่านแม่ลืมแล้วหรือ”
ในห้วงความคิดนายหญิงผู้เฒ่ามีชัยชนะของซินโย่วผุดขึ้นมาหลายเรื่อง ยามนี้ได้แต่เงียบงัน
“หากต้นฉบับนิยายแพร่ออกไปจริง เกรงว่าเส้นทางขุนนางของข้าคงสิ้นสุดตรงนี้แล้ว” รองเจ้ากรมต้วนสีหน้าดำคล้ำ ในใจโกรธแค้นและตื่นตระหนก “เมื่อครู่ให้นางออกไป ก็เพราะคิดหารือกับท่านแม่สักหน่อย ว่าควรนำออกมาเท่าไร”
นายหญิงผู้เฒ่าสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมา แม้ไม่ยินยอมอย่างไรก็รู้หนักเบา กัดฟันเอ่ยว่า “ให้นางไปหนึ่งแสนตำลึง”
“หนึ่งแสน?” รองเจ้ากรมต้วนปวดใจน้ำเสียงสั่น “หนึ่งแสนมากเกินไปหรือไม่ หลายวันก่อนเพิ่งใช้เงินสองหมื่นตำลึงซื้อร้านหนังสือให้นาง”
นายหญิงผู้เฒ่ารู้จักเด็กสาวมากกว่าบุตรชาย “ก็เพราะซื้อร้านหนังสือให้ไปแล้วสองหมื่น ตอนนี้นางต้องการสมบัติกลับคืน บอกว่ามีเพียงห้าหมื่นตำลึง นางจะเชื่อหรือ”
นายหญิงผู้เฒ่าย่อมคิดไม่เหมือนรองเจ้ากรมต้วนที่เกิดจิตคิดสังหารขึ้นมาแล้ว ยังคาดหวังว่าหลานสาวจะได้แต่งกับหลานชาย ไม่อยากให้ความสัมพันธ์แตกหัก
“ก็ทำตามท่านแม่ว่าแล้วกัน”
สองคนแม่ลูกหารือกันเสร็จ รองเจ้ากรมต้วนก็ตามซินโย่วเข้ามา
“หนึ่งแสนตำลึง?” ได้ยินตัวเลขที่นายหญิงผู้เฒ่าเอ่ย ซินโย่วก็ขมวดคิ้ว
รองเจ้ากรมต้วนหายใจติดขัด
หนึ่งแสนตำลึงถึงกับยังรังเกียจว่าน้อยไป เจ้าเด็กควรตายนี่ละโมบจริง!
นายหญิงผู้เฒ่าเห็นปฏิกิริยาซินโย่วก็ไม่พอใจ แต่ไม่เผยสีหน้าออกมา “ไม่ได้ให้เจ้าหมด ยายยังเก็บไว้สักส่วนหนึ่ง อย่างไรชิงชิงก็ยังเด็ก มอบสมบัติบิดามารดาให้เจ้าทั้งหมด เกิดเหตุขึ้นจะทำอย่างไร เช่นนี้ก็ยังมีหนทางถอยได้อยู่ ส่วนที่ยายช่วยเจ้าเก็บไว้นี้ถือเป็นการประกันความปลอดภัยให้เจ้าอีกทางหนึ่ง”
ซินโย่วนั่งฟังเงียบๆ อยากปรบมือให้วาจานายหญิงผู้เฒ่าอย่างมาก
ฝีปากเป็นเลิศเสียจริง
โชคดีที่นางได้อ่านสมุดที่ฟางหมัวมัวเก็บไว้มาแล้ว ไม่เช่นนั้นคงต้องยอมให้พวกจวนรองเจ้ากรมกล่าวตามใจตนเองเช่นนี้
“เกรงว่าคงไม่ได้เก็บไว้สักส่วนหนึ่งกระมังเจ้าคะ” ซินโย่วเน้นหนักที่คำว่า ‘สักส่วนหนึ่ง’ ยื่นกล่องไปตรงหน้านายหญิงผู้เฒ่า
กล่องที่ใช้ใส่ต้นฉบับนิยาย ต้นฉบับเมื่อครู่ถูกนำออกมาแล้วย่อมเป็นกล่องเปล่า
นายหญิงผู้เฒ่ากับรองเจ้ากรมต้วนอดจ้องมองกล่องไม่ได้ มองดูซินโย่วเปิดกล่อง เปิดผ้าสักหลาดที่รองก้นกล่องไว้ออก หยิบสมุดที่ถูกปิดทับไว้ด้านล่างออกมา
“เชิญท่านยายอ่านก่อนเจ้าค่ะ” ซินโย่วหยิบสมุดส่งให้นายหญิงผู้เฒ่า
สาวน้อยนิ้วมือเรียวละเอียดคีบสมุดเล่มบาง มุมปากคล้ายมีรอยยิ้ม
นายหญิงผู้เฒ่าไม่ทันตั้งตัว รองเจ้ากรมต้วนอดรับสมุดมาเปิดอย่างรวดเร็วไม่ได้
ไม่ว่าผู้ใดเปิดสมุดเล่มบางไม่กี่หน้านี้ออกอ่านก่อน ซินโย่วก็ไม่สนใจ เพียงแค่อยากรู้มากว่าสองแม่ลูกได้อ่านแล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
รองเจ้ากรมต้วนมองเห็นการจดบันทึกอย่างละเอียดบนสมุดก็อ้าปากค้าง
นายหญิงผู้เฒ่าเห็นดังนี้ก็ดึงสมุดจากมือเขามาเปิดอ่าน