ตอนที่ 145 หวั่นไหวเล็กน้อย
ถูกสายตาร้อนแรงของน้ากุ้ยจับจ้อง ซินโย่วก็กลบเกลื่อนไปว่า “บังเอิญเคยได้กิน”
น้ากุ้ยกลับไม่ยอมปล่อยวางจากคำถามนี้ “คุณหนูโค่ว ท่านจำได้หรือไม่ว่าเคยกินที่ใด”
ซูผีไหน่นี้ ฮองเฮาสอนนางทำ!
ฮองเฮาบอกว่านี่เป็นขนมที่บ้านเกิดนางมักกินกัน ดังนั้นนางจึงไม่เคยเห็น
ตอนนั้นนางก็คิดอยู่ว่า ลือกันว่าฮองเฮาเป็นหญิงอพยพหนีภัยมาก ฐานะยากจน ข่าวลือเชื่อถือไม่ได้ดังคาด สถานที่ที่มักกินขนมเช่นนี้จะเป็นบ้านนาห่างไกลความเจริญได้อย่างไร
คนที่เรียนทำขนมนี้จากฮองเฮา ยังมีน้องสาวนาง
พอได้สติรู้ว่าตนเองตื่นเต้นมากเกินไป น้ากุ้ยก็ขออภัยยิ้มเอ่ยว่า “กล่าวกับคุณหนูโค่วตามตรง ซูผีไหน่ไม่ใช่ขนมที่เห็นได้บ่อยในต้าซย่า คนที่ทำขนมนี้เป็นไม่มาก ข้าคนหนึ่ง น้องสาวข้าอีกคนหนึ่ง ข้าขาดการติดต่อกับน้องสาวข้ามาหลายปีแล้ว พลันได้ยินท่านเรียกชื่อขนม ก็อดนึกถึงนางไม่ได้…”
น้ากุ้ยพูดไป นัยน์ตาก็มีน้ำตาคลอ
“ข้าได้กินตอนข้ายังเด็ก บิดาข้านำกลับมา เพราะอร่อยมากจึงโวยวายจะกินอีก แต่กลับหาซื้อไม่ได้ ดังนั้นจึงจำฝังใจ”
ได้ยินซินโย่วกล่าวเช่นนี้ แววตาน้ากุ้ยก็ทอประกายความหวังขึ้นมา “อ้อ คุณหนูโค่วรีบชิมดู วางไว้นานจะไม่อร่อย”
ซินโย่วพยักหน้าเล็กน้อย หยิบซูผีไหน่ชิ้นหนึ่งรองด้วยผ้าเช็ดหน้ากัดไปคำหนึ่ง
รสชาติอัศจรรย์ กระตุ้นต่อมรับรส เป็นรสชาติที่คุ้นเคย
“เป็นอย่างไรบ้าง” แววตาน้ากุ้ยแสดงท่าทีวาดหวังอีกครั้ง
บางทีซูผีไหน่ที่คุณหนูโค่วเคยได้กินอาจจะเป็นฝีมือน้องสาวนาง ตอนนี้นางได้ทำซูผีไหน่ให้คุณหนูผู้นี้ได้กิน ก็นับว่าได้เชื่อมโยงกับน้องสาวแล้ว
รับรู้ได้ถึงอาการวาดหวังของน้ากุ้ย ซินโย่วก็พยักหน้า “อร่อยมากเจ้าค่ะ รสชาติเหมือนในความทรงจำข้าไม่ผิดเพี้ยน”
น้ากุ้ยอดยิ้มไม่ได้ “คุณหนูโค่วชอบก็ดี ลองชิมสุราองุ่นหมักสักหน่อย”
สุราองุ่นครั้งนี้ใช้ข้าวเหนียวหมักเหมือนสุราลิ้นจี่ครั้งก่อน รสหอมหวานและไม่ทำให้เมามาย เหมาะให้หญิงสาวดื่ม
ซินโย่วย่อมเอ่ยชม
“ครั้งแรกได้เห็นคุณหนูโค่วก็รู้สึกถูกชะตา ไม่คิดว่าคุณหนูโค่วเป็นสหายกับท่านโหวของเรา มีวาสนาต้องกันดังคาด” น้ากุ้ยแสดงสถานะตนในเวลาอันสมควร
ซินโย่วก็ทำท่าทางเหมือนเพิ่งรู้ “ใต้เท้าเฮ่อกับน้ากุ้ยล้วนเป็นคนจิตใจดี มิน่าเป็นครอบครัวเดียวกัน”
คนจิตใจดี…
น้ากุ้ยคิดถึงเฮ่อชิงเซียวช่วยงานคุณหนูแล้วยังรับเงิน ใบหน้าก็ร้อนผ่าว
แต่ดูท่าแล้ว คุณหนูโค่วเองก็ประทับใจต่อท่านโหวพอสมควร
“ท่านโหวเราเป็นคนภายนอกเย็นชา แต่มีภายในนั้นมีน้ำใจมาก…” น้ากุ้ยค่อยๆ เล่าถึงวัยเด็กของเฮ่อชิงเซียว “ตอนนั้นท่านโหวมักได้รับบาดเจ็บ ไม่หกล้มขาเจ็บ ก็มือเจ็บ มีครั้งหนึ่งนำลูกนกที่ตกลงมากลับขึ้นไปไว้รังบนต้นไม้ ปรากฏตกลงมา สลบไปครึ่งค่อนวันกว่าจะรู้สึกตัว…”
ซินโย่วตั้งใจฟัง คล้ายสามารถนึกภาพวัยเด็กของใต้เท้าเฮ่อได้ว่าเป็นอย่างไร
เป็นเด็กซุกซนคนหนึ่ง
เห็นซินโย่วสนใจรับฟัง น้ากุ้ยก็แอบดีใจ
ยินดีรับฟังนางเล่าเรื่องท่านโหว เห็นได้ว่าคุณหนูโค่วรู้สึกดีต่อท่านโหวไม่น้อย
“ท่านโหวแต่เล็กไร้บิดาอบรม ไร้มารดาทะนุถนอม กระทำการใดบางครั้งก็ไม่ค่อยเหมาะสมไปบ้าง คุณหนูโค่ว หากท่านโหวทำอันใดไม่ถูกต้องไปบ้าง ขอท่านโปรดอภัยด้วย”
ไม่อาจปล่อยให้ท่านโหวเลอะเลือนรับเงินคุณหนูไปครั้งเดียว ก็จะรู้สึกว่าเขาไม่ดี!
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ ใต้เท้าเฮ่อเป็นคนละเอียดรอบคอบมาก”
พอน้ากุ้ยกลับไปแล้ว ซินโย่วจึงได้สติรับรู้ขึ้นมาว่า เหตุใดน้ากุ้ยจึงเหมือนยายหวังขายแตง ขายเองชมเองว่าดี ตะโกนขายแตงที่ปลูกเองให้นางหรือ
คิดถึงตรงนี้ ซินโย่วก็ตบแก้มตนเองสองที เสี่ยวเหลียนเห็นเข้าพอดี
เสี่ยวเหลียนตกใจ “คุณหนูท่านตบหน้าตนเองทำไมเจ้าคะ”
ซินโย่ว “…หน้าชาไปหน่อย ข้าตบเบาๆ”
“อากาศหนาวมาก ท่านรีบกลับเข้าห้องให้อบอุ่นเถิดเจ้าค่ะ”
ซินโย่วเพิ่งออกไปส่งน้ากุ้ยด้วยตนเองกลับมา
“ก็มิได้หนาวมาก”
เสี่ยวเหลียน “…” คุณหนูรู้หรือไม่ว่าตนเองแปลกประหลาดเพียงใด
ซินโย่วกลับถึงในห้องก็ขึ้นไปนั่งบนเตียง จมจ่อมอยู่ในภวังค์ความคิด คล้ายว่านางแปลกไป…
แม้ซินโย่วเติบโตในหุบเขา เรียนรู้สิ่งต่างๆ อย่างไร้หลักเกณฑ์ แต่ยังนำมาปกป้องตนเองยามเดินทางท่องเที่ยวเปิดโลกทัศน์ เข้าใจความเป็นไปบนโลกใบนี้
นางเป็นคนฉลาดมีปัญญา ไม่รังแกผู้อื่น เดินอยู่ท่ามกลางลมหนาว สองแก้มกลับร้อนผ่าว ทำให้นางรับรู้ได้เรื่องหนึ่ง คล้ายว่านาง…จิตใจไหวหวั่นโดยไม่ทันระวังเข้าแล้ว
การค้นพบนี้ไม่ได้ทำให้ซินโย่วดีใจ แต่กลับทำให้เย็นเยียบ
เย็นเยียบถึงกระดูก
นางถึงกับจิตใจไหวหวั่นโดยไม่ทันระวังในขณะที่ยังแบกภาระหนี้แค้นดังทะเลโลหิตนี้อยู่…
ซินโย่วเม้มปาก แค่นเยาะตนเองลึกๆ
คิดถึงชายชุดแดงผู้นั้นอีกครั้ง ในใจก็เฝื่อนขมและโมโหมาก
หากใต้เท้าเฮ่อเย็นชาอีกสักหน่อย น่าเกลียดอีกสักนิด นิสัยแย่อีกเล็กน้อย ไม่มายืนอ่านหนังสือมากนัก…
ซินโย่วยกมือขึ้นปิดตา
นางคิดถึงคำพูดท่านแม่นาง มีบางคนถูกกำหนดให้ต้องพานพบ คนผู้นั้นบางทีมีบางอย่างไม่เพียบพร้อม บางทีไม่เหมาะสม แต่กลับทำให้จิตใจเจ้าไหวหวั่นได้พอดิบพอดี
ท่านแม่ยังเอ่ยอันใดอีก
ซินโย่วพยายามหวนคิด
ท่านแม่ว่า หากชอบใครสักคนแท้จริงแล้ว ก็มิได้ต้องพะว้าพะวังสิ่งใด หากวันหน้าพบว่ามองพลาดไป หรือเวลาทำให้คนผู้นั้นแปรเปลี่ยนไป ไม่ชอบแล้ว เช่นนั้นก็ไม่เป็นอันใด วางมือแล้วเดินต่อไปก็พอ
ซินโย่วค่อยๆ วางมือลง หยิบหมอนนุ่มมารองใต้คาง
เรื่องพวกนี้นางมิได้ปล่อยวางได้เหมือนมารดานาง
รักษาสภาพตอนนี้ต่อไปได้ก็เพียงพอแล้ว บางทีวันหน้า…นางและเขายังอาจต้องชักดาบประจันหน้ากันด้วยจุดยืนแตกต่างกันก็เป็นได้
ซินโย่วเอนนอนลง เอาหมอนปิดทับใบหน้า
จวนรองเจ้ากรม
ต้วนอวิ๋นหลิงตื่นนอนมาด้วยสภาพงุนงง
ไม่นานก็ต้องไปคำนับท่านย่าที่เรือนหรูอี้ถังแล้ว ถึงตอนนั้นท่านย่าก็จะเอ่ยเรื่องพานางออกไปพบฮูหยินกู้ชางป๋อ
จากนั้น ชีวิตของนางก็ถูกกำหนดแล้ว
‘กำหนดแล้ว’
มองใบหน้าซีดขาวในกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง ต้วนอวิ๋นหลิงก็น้ำตาไหลพราก
“คุณหนู มีคนจากเรือนหรูอี้ถังมาเจ้าค่ะ”
ต้วนอวิ๋นหลิงรู้สึกตัวขึ้นมาทันที แต่กลับไร้เรี่ยวแรงเช็ดน้ำตา เอ่ยน้ำเสียงเนือยว่า “เชิญเข้ามา”
ไม่นานอวี้จูก็เข้ามาย่อกายคำนับต้วนอวิ๋นหลิง “นายหญิงผู้เฒ่าได้ยินว่าคุณหนูสามป่วย ให้บ่าวนำซุปบำรุงมาให้คุณหนูสาม”
ไม่รอให้ต้วนอวิ๋นหลิงตอบรับอันใด อวี้จูก็วางรังนกลง “นายหญิงผู้เฒ่าให้คุณหนูสามพักผ่อนให้ดี หากยังไม่หายป่วยก็ไม่ต้องไปคำนับที่เรือนหรูอี้ถัง”
ต้วนอวิ๋นหลิงได้ยินก็ชะงักไป จนกระทั่งอวี้จูจากไปแล้ว จึงได้คว้าข้อมือสาวใช้ “เสวี่ยอิ๋ง ท่านย่าหมายความอย่างไร หมาย…หมายความอย่างไร”
หมายความเหมือนที่นางคิดหรือไม่
นางไม่กล้าคิด ไม่อยากจะเชื่อ
เสวี่ยอิ๋งเข้ามาตรวจสอบรังนกที่อวี้จูนำมา เอ่ยอย่างลังเลว่า “คุณหนู นายหญิงผู้เฒ่าคงไม่ใช่ว่าล้มเลิกความตั้งใจพาท่านออกไปแล้วกระมัง”
“ข้าไม่ต้องแต่งกับซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อแล้ว ใช่หรือไม่” ต้วนอวิ๋นหลิงร้องไห้ไปหัวเราะไป ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา
เสวี่ยอิ๋งดีใจแทนคุณหนูตน พยักหน้าเต็มแรง “เจ้าค่ะ คุณหนูไม่ต้องแต่งกับซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อแล้ว!”
“ข้ารู้ ข้ารู้…” ต้วนอวิ๋นหลิงพึมพำ หัวเราะไปพักหนึ่งแล้วก็ร้องไห้อีก
นางช่างโชคดีจริงที่ได้พบกับพี่ชิง