ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา – บทที่ 237 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-12

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

บทที่ 237 ดึกมากแล้ว เจ้าควรต้องไป-12

ต่อให้เป็นฮั่ววั่ง อาศัยแค่สองขาเดินถนนก็ตามคนควบม้าไม่ทัน

และเขาก็ไม่อยากใช้ท่าร่างไปติดตาม

จึงเดินมุ่งหน้าด้วยความคิดที่ว่าแล้วแต่โชคชะตา

เขาเดินผ่านร้านอาหารแห่งหนึ่ง

ยามนี้เป็นเวลาทานอาหารพอดี

ในร้านอาหารผู้คนเบียดเสียด เดินกันขวักไขว่ คึกคักอย่างยิ่ง

ฮั่ววั่งลูบท้องตัวเอง

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่หน้าแผงขายบะหมี่หยางชุน เขาหิวเล็กน้อย

เพียงแต่เขาไม่ชอบกินบะหมี่และไม่ได้หิวเหมือนตอนนี้จึงยังอดใจไว้ได้

แต่เมื่อได้กลิ่นหอมของอาหารสุราที่ส่งมาจากร้านอาหารนี้ เขากลับเดินเข้าไปโดยไม่รู้ตัว

หน้าร้านอาหารไม่มีเสี่ยวเอ้อร์ยืนต้อนรับแขก

นี่เป็นแค่ร้านอาหารธรรมดาแห่งหนึ่ง

มีกำแพงสี่ด้านและหลังคาเพิ่มมาจากแผงขายบะหมี่หยางชุนเท่านั้น

ไม่ได้มีระดับสูงขนาดนั้น

ในโถงมีเสี่ยวเอ้อร์แค่คนเดียว

กำลังวิ่งวุ่นทำงาน

รายการอาหารและสุราเขียนไว้บนแผ่นไม้ด้วยพู่กัน

แผ่นไม้นี้แขวนไว้ข้างโต๊ะคิดเงิน

ฮั่ววั่งมองแผ่นไม้นั้น

ที่แพงสุดคงเป็นปลากุ้ยนึ่ง

ฮั่ววั่งนึกถึงตอนอยู่กับเยี่ยเหว่ยแต่ไม่ได้กินน้ำแกงปลา

เดิมคิดว่าอาจยังได้เห็นฉากเขาถูกก้างปลาติดคออีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้เกิดขึ้น

ตอนนี้เขาอยากกินน้ำแกงปลามาก

โดยเฉพาะตุ๋นด้วยปลาสดที่เพิ่งฆ่า

แล้ววางเรียงเต้าหู้สิบกว่าชิ้นในน้ำแกงสีขาวนมให้เป็นระเบียบ

หลังจากกินน้ำแกงหมด ตัวปลาก็เผยออกมาทั้งตัว

นอกจากเลิศรส

มองเช่นนี้ก็เหมือนภาพวาด

“ปลากุ้ยของที่นี่เป็นปลาสดหรือไม่”

ฮั่ววั่งถามเสี่ยวเอ้อร์

“แน่นอนขอรับ! ข้าขอบอกท่านลูกค้า! ปลากุ้ยในร้านเราเป็นถึงอาหารเลื่องชื่อของเมืองอ๋อง! กลีบกระเทียมสดเนียนนุ่ม และน้ำมันร้อนที่ราดหลังนึ่งเสร็จเพิ่มรสชาติได้ดีที่สุด! แม้ไม่ใช่ร้านใหญ่ร้านโตอะไร แต่อาหารจานนี้ก็ทำให้ร้านเราวางรากฐานในเมืองอ๋องได้มั่นคงมาสามสิบปี!”

เสี่ยวเอ้อร์กล่าว

ตอนพูดภูมิใจยิ่ง

ฮั่ววั่งพยักหน้า

คิดว่าเขาคุยโวขนาดนี้ก็ต้องไม่แย่แน่นอน

เขามองดูโดยรอบ

พบว่าพวกลูกค้าที่นั่งกินอยู่ล้วนมีปลากุ้ยนึ่งอยู่บนโต๊ะจานหนึ่งแทบทุกคน

“ดี!”

ฮั่ววั่งพยักหน้ากล่าว

“ท่านลูกค้าก็รับสักจานหรือขอรับ”

เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยถาม

“ข้าเอาน้ำแกงปลากุ้ยหนึ่งที่”

ฮั่ววั่งกล่าว

“…ขอรับ!”

เสี่ยวเอ้อร์ชะงักแล้วได้สติกลับมาตอบคำหนึ่ง

เขาคิดว่าตนโม้ปลากุ้ยนึ่งไปไกล

และลูกค้าท่านนี้ก็พูดคำว่า ‘ดี’ แล้ว

แต่ทำไมถึงสั่งน้ำแกงปลากุ้ยอะไรนั่น

เขาจนใจยิ่ง

งานที่อาชีพนี้ทำก็คืองานรับใช้คน

ฮั่ววั่งเพิ่งนึกได้อีกครั้งว่าบนตัวเขาไม่มีเงิน

เขายิ้มส่ายหน้า

คิดว่าตนรู้เรื่องนี้ตั้งแต่อยู่หน้าแผงน้ำตาลปั้นแล้วแท้ๆ ทำไมยังพุ่งเข้าร้านอาหารนี้อีก

แต่ตอนนี้คิดจะกลับก็สายไป

ถึงอย่างไรก็สั่งอาหารแล้ว

ถ้าอยากถอยกลับ

เสี่ยวเอ้อร์จะต้องบอกว่าฆ่าปลาล้างสะอาดแล้วกำลังเตรียมลงหม้อ

แต่น้ำแกงปลาต้องใช้เวลานาน

ไม่ถึงครึ่งชั่วยามคงกินไม่ได้

อย่างแย่เขาก็คุมตัวฮั่ววั่งไว้ที่นี่

และเขียนกระดาษแผ่นหนึ่งให้เสี่ยวเอ้อร์ไปเอาเงินในวังอ๋อง

แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็จะเดินเล่นอย่างสบายใจเช่นนี้ไม่ได้อีก

ไม่ถึงสองชั่วยาม

ทั้งเมืองอ๋องก็จะเล่าต่อกันว่าติ้งซีอ๋องออกตรวจราชการลับ

บรรยายละเอียดกระทั่งเขาใส่รองเท้าแบบใด เสื้อผ้าสีอะไร

นี่จึงเป็นแผนที่ค่อนข้างแย่

ใช้ตอนเข้าตาจนไม่ได้เด็ดขาด

คำกล่าวว่าไว้ ‘เงินหนึ่งอีแปะสร้างความลำบากให้วีรบุรุษ[1]’

ในตำราโบราณเคยบันทึกเรื่องวัยหนุ่มที่ตกอับของแม่ทัพใหญ่ผู้สถาปนาแคว้นในราชวงศ์หนึ่ง

ถึงขั้นชูป้ายขายม้าในตลาดอย่างโจ่งแจ้งเพื่อให้ได้กินข้าวอิ่มสักมื้อ

ฮั่ววั่งพิจารณาตัวเองครู่หนึ่ง

เขาไม่มีแม้แต่ม้า

แต่สายคาดเอวเขาเป็นของดี

ด้วยเนื้อผ้าและงานปักอย่างไรก็จ่ายค่าน้ำแกงปลาชามหนึ่งได้อยู่แล้ว

พอคิดถึงตรงนี้ฮั่ววั่งก็ไม่ร้อนใจแล้ว

ถึงขั้นเลื่อนสายตาไปมองแผ่นไม้นั้นอีกครั้ง

เพราะเขาอยากสั่งสุรามาดื่มอีกหน่อย

น้ำแกงปลาเข้าคู่กับน้ำสุรา

อย่างหนึ่งอร่อยติดลิ้น อีกอย่างเผ็ดร้อนถึงใจ

เข้าคู่กันแล้วเลิศล้ำอย่างยิ่ง

ฮั่ววั่งไม่เคยกินเช่นนี้มาก่อน แต่วันนี้เขาอยากลองดู

ตอนคนดื่มสุรามักรีบกลืนลงไป

อย่างไรก็ไม่มีใครอยากอมน้ำสุราไว้ในปาก

หากทำเช่นนี้ต้องพุ่งออกทางจมูกเป็นแน่

ตอนฮั่ววั่งรอน้ำแกงปลาของตนอย่างสบายใจ

ในร้านอาหารมีคนเดินเข้ามาอีก

คนผู้นี้สวมชุดยาวเก่าๆ ตัวหนึ่ง

บนศีรษะสวมหมวกสานขาดรุ่งริ่ง

ขอบหมวกสานชำรุดอย่างยิ่ง

บังลมกันฝนไม่ได้แล้ว

อย่างมากก็แค่บังแดดได้เท่านั้น

แม้ตอนนี้อากาศในเมืองติ้งซีอ๋องอุ่นขึ้นแล้ว

เป็นใครก็คงไม่ใส่ชุดยาวหนาหนักเช่นนี้

ฮั่ววั่งเห็นเขาสวมรองเท้าฝ้ายคู่หนึ่งด้วย

ส่วนปลายรองเท้ากับส้นเท้าล้วนพังเป็นรู

เผยให้เห็นใยฝ้ายด้านใน

มันไม่ใช่สีขาวบริสุทธิ์แล้ว แต่เป็นสีถ่านทั้งหมด

เพียงแต่ในอกเขากอดกระบี่ไว้เล่มหนึ่ง

กระบี่ที่ประณีตและล้ำค่าเล่มหนึ่ง

ลวดลายบนฝักกระบี่งดงามยิ่ง

บนด้ามกระบี่ยังฝังไข่มุกไว้มากมาย

กระบี่เล่มนี้ไม่เข้ากับการแต่งตัวของเขาเอาเสียเลย

แต่มองกระบี่เล่มนี้เพียงแวบเดียวก็รู้ฐานะของเขาแล้ว

เขาเป็นมือกระบี่คนหนึ่ง

แต่มือกระบี่คนหนึ่งตกอับหรือไม่ ไม่อาจตัดสินได้จากเครื่องแต่งกายของเขา

เขาอาจร่ำรวยมาก เพียงแต่ชอบแต่งตัวเช่นนี้

เพราะมือกระบี่มักสวมเสื้อผ้าที่ตนสบายที่สุด

ถึงจะไม่รู้สึกอึดอัดตอนชักกระบี่

แต่ฮั่ววั่งไม่คิดว่าใครจะใส่เสื้อผ้าหนาๆ ในอากาศเช่นนี้เพราะเรื่องความอึดอัด

โดยเฉพาะมือกระบี่

เดิมมือกระบี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์

และผู้ฝึกยุทธ์ก็ปรับตัวกับอากาศร้อนหนาวได้เก่งกว่าคนทั่วไปมากอยู่แล้ว

คนแก่ทั่วไปอาจเป็นเพราะอายุเยอะร่างกายอ่อนแอ พลังหยางไม่พอ ตอนนี้จึงยังไม่ใส่เสื้อผ้าบางๆ

แต่คนผู้นี้ต้องอายุไม่เยอะเป็นแน่

ฮั่ววั่งตัดสินได้จากมือของเขา

อาจนับว่าอายุเท่าตนก็เป็นได้

มือกระบี่ผู้นี้เดินเข้ามาในโถง

ยกหมวกสาน มองดูโดยรอบ

แววตาเขาเฉื่อยชาไร้ความรู้สึก

ไม่มีจิตวิญญาณใดแม้แต่น้อย

นี่ไม่ใช่แววตาที่มือกระบี่คนหนึ่งควรมี

มือกระบี่ไม่ว่าในมือมีกระบี่หรือไม่ สายตาของเขาต้องมุ่งตรงคมกริบ

ไม่มีทางกวาดมองอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้

ฮั่ววั่งหัวเราะ

คิดเรื่องขบขันยิ่งได้เรื่องหนึ่ง

เขาอาจขโมยกระบี่เล่มนี้มา

หรืออาจเป็นของตกทอด

เขาเตรียมขายกระบี่เล่มนี้ในราคาดี

อย่างน้อยก็ขายในราคาที่ทำให้เขากินอาหารดีๆ ดื่มสุราชื่นใจได้สักมื้อ

แต่ไม่เหมือนแม่ทัพใหญ่ขายม้าคนนั้น

เขาเป็นวีรบุรุษตัวจริง

คนผู้นี้เป็นเพียงพวกเห็นแก่ได้

ฮั่ววั่งถอนสายตากลับมา

เขาไม่สนใจคนผู้นี้แล้ว

แทนที่จะเสียเวลาไปคาดเดาภูมิหลังฐานะของเขา มาวิเคราะห์ชื่อหรูหราบนรายการอาหารว่าหมายถึงอะไรอย่างสบายใจดีกว่า

ทว่าสายตาของเขากลับถูกคนบดบังกะทันหัน

สิ่งที่สะท้อนเข้าม่านตาคือชุดยาวหนาหนักเก่าๆ ตัวหนึ่ง

ยามนี้มือกระบี่คนนั้นยืนอยู่ตรงหน้าฮั่ววั่ง

มือกระบี่เอ่ยปากถาม

เขาถอดหมวกสาน กอดกระบี่โค้งตัวเล็กน้อย

ถือเป็นการทำความเคารพที่สุภาพ

ฮั่ววั่งไม่นึกว่าเขาจะเป็นคนรู้มารยาทเช่นนี้ ตอนนี้จึงไม่สะดวกปฏิเสธ ได้แต่พยักหน้า

มือกระบี่เห็นฮั่ววั่งอนุญาตจึงยิ้มและนั่งลง

วางกระบี่ที่กอดอยู่ในอกไว้บนโต๊ะ

วางหมวกสานไว้บนที่ว่างที่เหลือถัดจากม้านั่ง

“เถ้าแก่ เอาสุราดีสองกา!”

มือกระบี่กล่าวเสียงลั่น

เสียงเขาดังกังวาน

เลือดลมเต็มสิบส่วน

เมื่อสุรายกมาแล้ว นัยน์ตาเขาเป็นประกายสองสาย

ความซึมเซาเฉื่อยชาก่อนหน้านี้หายสิ้น

ฮั่ววั่งดูแคลนในใจเล็กน้อย

ถึงเขาจะดื่มสุราเหมือนกัน

แต่ยังห่างไกลจากขั้นนี้มาก

ดูจากสายตาของคนผู้นี้ ต้องเป็นพวกรักสุราเท่าชีวิตแน่นอน

แทนที่จะเรียกเขาว่ามือกระบี่ เรียกว่าขี้เหล้ายังเหมาะกว่า

แต่มือกระบี่ขี้เหล้ากลับแบ่งสุราสองกาของตนออกหนึ่งกาแล้วเลื่อนมาตรงหน้าฮั่ววั่ง

ฮั่ววั่งไม่เข้าใจเจตนาของเขา มองเขาเงียบๆ

ชี้กาสุราและชี้ตัวเองอีกครั้ง

“ดื่มด้วยกัน!”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

เขาหยิบกาสุราขึ้นมาดื่มอั้กๆ ลงไปหลายอึกใหญ่

ฮั่ววั่งยิ้มมองสุรานี้แล้วมองรายการอาหารนั้นอีกครั้ง

ไม่รู้สุรากานี้ตรงกับอันไหนบนนั้น

“นี่ไม่ใช่สุราบนรายการอาหาร”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

ขยิบตาให้ฮั่ววั่งหนหนึ่งด้วย

“เหตุใดสุรานี้ไม่อยู่ในรายการอาหารหรือ”

ฮั่ววั่งเอ่ยถาม

“เพราะนี่เป็นสุราดี สุราดีล้วนไม่เขียนไว้โจ่งแจ้ง”

มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว

“ไม่เขียนสุราดีก็ไม่มีใครรู้เหมือนหย่อนมุกใสไว้บนถนนไม่ใช่หรือ”

ฮั่ววั่งเอ่ยถามด้วยความฉงน

……………………………………….

[1] เงินหนึ่งอีแปะสร้างความลำบากให้วีรบุรุษ หมายถึง เรื่องเล็กน้อยอาจเป็นอุปสรรคต่อเรื่องสำคัญ

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา

Status: Ongoing
ด้วยภารกิจสำคัญที่ได้รับมา เขาจึงมุ่งหน้าสู่แดนพายัพ โดยไม่รู้เลยว่านั่นคือจุดเริ่มต้นของการก้าวเข้าสู่วิถีแห่งเซียนและการต่อสู้!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท