บทที่ 367 ภารกิจฝึกทหาร
เมื่อมีผู้คนเหล่านี้แล้ว งานของไป๋เยี่ยก็ผ่อนลงไปมาก เพราะว่าคนพวกนี้ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับมืออาชีพ ความสามารถของพวกเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าไป๋เยี่ยเลย
ทว่าตอนนี้โบนัสจากสิทธิพิเศษข้อที่สองของฉายานักวิชาการฉางเจียงได้ช่วยเพิ่มความสามารถในการคิดค้นให้กับสมาชิกทั้งทีมถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าเป็นการใช้กลโกงแบบหมู่คณะจริงๆ!
เดิมทีไป๋เยี่ยอยากจะติดตามกลุ่มวิจัยไปเพื่อทำการทดลอง ทว่าเขากลับได้รับคำเชิญจากเฉินเจิ้นปั่ง
พอดีกับที่คนบื้ออย่างจ้าวหู่ชิวขับรถมาหาเขา ไป๋เยี่ยเบิกตากว้างตอนสังเกตเห็นว่าอินทรธนูของเขานั้นดูจะแตกต่างไปจากเมื่อก่อน จึงส่งยิ้มให้
“ยินดีด้วยนะพี่จ้าว ได้เลื่อนตำแหน่งแล้วสินะ”
จ้าวหู่ชิวเหลือบมองที่อินทรธนูของเขาก่อนจะหันไปทางไป๋เยี่ยและเอ่ยอย่างสุขุม “คาดเข็มขัดด้วยครับ”
ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูเย็นชา ทว่าไป๋เยี่ยกลับมองเห็นความขอบคุณในแววตาของเขา เพียงแค่ว่าทหารระดับสูงคงพูดคำว่าขอบคุณออกมาไม่ได้ ได้แต่บอกให้คาดเข็มขัดเท่านั้น
ไป๋เยี่ยยิ้ม “รับทราบ!”
จ้าวหู่ชิวขับรถนิ่งๆ ตอนนี้เขาสังกัดอยู่ในกรมทหารองครักษ์ระดับกองร้อย และด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนนี้เขาจึงได้มาทำงานในเขตกองทัพปักกิ่ง แถมยังมีชื่อเสียงเหมือนกับเฉินเจิ้นปั่งด้วย
ไม่นานนักพวกเขาก็มาถึงเขตกองทัพ ทั้งสองคนได้แต่นั่งเงียบไม่พูดไม่จามาตลอดทาง
จ้าวหู่ชิวไม่รู้ว่าควรจะชวนคุยอย่างไร อีกทั้งเขายังเป็นคนพูดน้อย จึงรู้สึกโล่งใจที่ไป๋เยี่ยไม่คุย เพราะเขาก็กลัวว่าถ้าไป๋เยี่ยเอ่ยปากขึ้นเมื่อไหร่ เขาอาจจะเย็นชาใส่ก็ได้
ซึ่งในขณะเดียวกันนั้น ไป๋เยี่ยก็เอาแต่คิดเรื่องการทดลองในหัว ไป๋เยี่ยเดาได้ว่าเฉินเจิ้นปั่งเรียกเขามาในวันนี้ก็เพราะจะเริ่มการฝึกฝนนั่นเอง
เมื่อมาถึงห้องทำงานของเฉินเจิ้นปั่ง ไป๋เยี่ยก็พบว่ามีคนอีกสองคนอยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาไม่ได้ดื่มชา เพียงแค่นั่งเฉยๆ สื่อให้เห็นว่าพวกเขากำลังรอคอยไป๋เยี่ยอยู่
ไป๋เยี่ยเห็นดังนั้นก็กล่าวขอโทษอย่างนอบน้อม “ขอโทษที่ให้รอนะครับ”
วันนี้เฉินเจิ้นปั่งอารมณ์ดี จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่งลงสิ ผมเชื่อว่าคุณรู้ดีว่าวันนี้ผมเรียกคุณมาทำไม”
“ตอนนี้เราได้คัดเลือกทีมกู้ภัยฉุกเฉินแล้ว พวกเขาเป็นยอดฝีมือที่ได้รับการคัดเลือกจากโรงพยาบาลทหาร รวมทั้งสิ้นสองร้อยคน ก่อกำเนิดเป็นทีมกู้ภัยระดับมืออาชีพ ซึ่งทีมนี้จะเข้าร่วมการฝึกซ้อมในวันที่หนึ่งสิงหาคม ผมหวังว่าคุณน่าจะใส่ใจหน่อยนะ เสี่ยวเยี่ย”
“การฝึกทหารครั้งนี้มีความสำคัญมาก เมื่อถึงเวลาจะมีผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากมาเข้าร่วมด้วย และทีมกู้ภัยฉุกเฉินประจำหน่วยปฏิบัติการพิเศษจำนวนสองร้อยคนก็จะกลายเป็นกำลังหลักของเรา พวกเขาจะเป็นตัวแทนของกองทัพเราในการฝึกครั้งนี้ ภารกิจนี้ยิ่งใหญ่มาก คงต้องลำบากคุณแล้ว…เสี่ยวเยี่ย”
เมื่อไป๋เยี่ยได้ยินเรื่องการฝึกทหารในวันที่หนึ่งสิงหาคม เขาก็ตกตะลึงเล็กน้อย ทั้งหน่วยปฏิบัติการพิเศษและหน่วยกู้ภัยฉุกเฉินดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อมาก ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าจริงจังและรอบคอบของเฉินเจิ้นปั่งแล้ว ก็ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่เรื่องตลกเลย
แต่ถึงกระนั้น ตอนนี้ก็เป็นช่วงกลางเดือนมิถุนายนแล้ว มีเวลาอีกไม่ถึงห้าสิบวันเท่านั้น ด้วยสถานการณ์เร่งด่วนเช่นนี้ ไป๋เยี่ยจึงไม่อาจรับประกันได้ว่ามันจะมีประสิทธิภาพมากเพียงใด
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ผมจะพยายามอย่างเต็มที่นะครับ!”
ไป๋เยี่ยไม่ใช่ทหาร ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่คำสั่งทหาร เฉินเจิ้นปั่งก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “การฝึกทหารครั้งนี้มีความสำคัญมากเป็นพิเศษ…”
ไป๋เยี่ยเงียบไป เรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน หัวหน้าถึงต้องย้ำเรื่องนี้ถึงสามรอบ แต่เพราะไป๋เยี่ยไม่ใช่ทหาร เฉินเจิ้นปั่งจึงพูดมากกว่านี้ไม่ได้ ซึ่งไป๋เยี่ยก็รับปากไว้แล้วว่าจะพยายามอย่างเต็มที่ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้ารับ
จากนั้นเฉินเจิ้งปั่งก็แนะนำตัวคนอื่นๆ ให้กับไป๋เยี่ย “นี่คือ ‘สวีเสี่ยวเฉียน’ หัวหน้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทหารปักกิ่ง เขาได้นำทีมเข้าร่วมในปฏิบัติการกู้ภัยฉุกเฉินมาหลายครั้งแล้ว นอกจากนี้ เขายังเป็นกำลังหลักของทีมและเป็นผู้รับผิดชอบหลัก เขาจะร่วมมือกับคุณตลอดการฝึกครั้งนี้”
“ส่วนนี่คือ ‘เฉินจวิน’ เป็นผู้รับผิดชอบกิจวัตรประจำวันของทีม เป็นรองหัวหน้าทีมและจะรับผิดชอบในการฝึกทหาร”
พูดจบเขาก็แนะนำไป๋เยี่ยให้ทั้งสองคนบ้าง “ส่วนนี่คือไป๋เยี่ย คุณต้องร่วมมือกับเขาและสร้างทีมขึ้นมาก่อนเดือนสิงหาคม”
ทั้งสองคนอยู่ในกองทัพ คำพูดของเฉินเจิ้นปั่งจึงเป็นดั่งคำสั่งทหาร พวกเขายืนขึ้นและขานรับด้วยความเคารพ “รับทราบ!”
เฉินเจิ้นปั่งพยักหน้า “ทำความรู้จักกันไว้นะ จ้าวหู่ชิว เข้ามาได้แล้ว”
ไป๋เยี่ยและเฉินจวินหันไปมองหน้ากัน จากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป
ระหว่างที่ไป๋เยี่ยกำลังสังเกตทั้งสองคนนั้น ทั้งคู่ก็มองไป๋เยี่ยด้วยความสงสัย เพราะไม่รู้ว่าทำไมหัวหน้าถึงให้ความสำคัญกับเด็กหนุ่มคนนี้มาก
เฉินจวินและสวีเสี่ยวเฉียนไม่ได้มีพื้นเพเดียวกัน เฉินจวินเป็นทหารและเคยรับหน้าที่ถือธงมาก่อน ต่อมาเขาก็ได้มาเป็นผู้รับผิดชอบการฝึกทหารที่เขตกองทัพ ส่วนสวีเสี่ยวเฉียนนั้นเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลทหาร ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเรียนจบจากโรงเรียนทหาร แต่เส้นทางของทั้งสองคนกลับไม่เหมือนกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมองไป๋เยี่ยด้วยมุมมองที่แตกต่างกันออกไป
เฉินจวินทักทายไป๋เยี่ย “สวัสดีครับ ผมเฉินจวิน”
การทักทายสั้นๆ ทำให้เขาดูเหมือนกับจ้าวหู่ชิวไม่มีผิด แค่เห็นใบหน้าอันจริงจังของชายฉกรรจ์ตรงหน้า ก็รู้สึกราวกับว่าเขาถูกแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกันกับจ้าวหู่ชิว
เขามีผิวสีเข้ม ดูเหมือนว่าเขาจะฝึกฝนอยู่เป็นประจำ ครั้นยืนตรงจึงดูมีมาดเคร่งขรึมสมกับเป็นนายทหาร!
ส่วนสวีเสี่ยวเฉียนนั้นแตกต่างออกไป เฉินจวินและไป๋เยี่ยทักทายกันมาสักพักแล้ว ทว่าสวีเสี่ยวเฉียนกลับเอาแต่พินิจไป๋เยี่ยอยู่เป็นเวลานาน
จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกมาพร้อมส่งยิ้มให้ “สวัสดีครับคุณไป๋เยี่ย ผมสวีเสี่ยวเฉียน เป็นหัวหน้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบลทหารปักกิ่ง”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าและยิ้มรับอย่างนอบน้อม “สวัสดีครับ หัวหน้าสวี่”
ถึงแม้ว่าสวีเสี่ยวเฉียนจะดูมีท่าทีเกรงใจไป๋เยี่ย แต่นั่นก็เป็นเพราะเฉินเจิ้นปั่งอยู่ที่นี่ด้วย เมื่อเขาเห็นว่าไป๋เยี่ยมีอายุน้อย ภายในใจก็บังเกิดความรู้สึกดูแคลนปนกับประหลาดใจขึ้นมาบ้าง
เขาได้ยินมาว่าทักษะการแพทย์ฉุกเฉินของไป๋เยี่ยสูงมากจนผู้อำนวยการโรงพยาบาลยังตะลึง เรื่องนี้จึงทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ฉุกเฉินอย่างสวีเสี่ยวเฉียนอยากจะทดสอบเขา
เมื่อไป๋เยี่ยเห็นว่าสวีเสี่ยวเฉียนแนะนำตัวเองด้วยตำแหน่งหัวหน้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทหาร ไป๋เยี่ยก็ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจนัก
จากนั้นสวีเสี่ยวเฉียนก็คิดขึ้นได้ว่าเขาคือผู้รับผิดชอบหลักของทีม ไป๋เยี่ยแค่มาช่วยเขาสร้างทีมเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรให้มาก
ถ้าไป๋เยี่ยทำได้ดี นั่นก็เป็นเรื่องที่ดี
สวีเสี่ยวเฉียนคิดได้ดังนั้นแล้ว ทัศนคติที่เขามองไป๋เยี่ยก็เริ่มดูเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะพูดคุยกับไป๋เยี่ยด้วยท่าทีกระตือรือร้น แต่ท่าทีของเขากลับชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
กลับกัน เฉินจวินนั้นยังคงนิ่งเงียบ แต่เขาก็ให้ความสำคัญกับคำถามต่างๆ ของไป๋เยี่ยมากเช่นกัน
ไป๋เยี่ยส่ายหัวไปมา แต่ถึงกระนั้นเขาก็พอจะเข้าใจเหตุผลของบางอย่างแล้ว
ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา จ้าวหู่ชิวก็เดินออกมาจากห้อง เขาเหลือบมองไป๋เยี่ยก่อนจะเอ่ยกับทุกคน “ผบ.ให้พวกคุณเข้าไปได้แล้ว”
สวีเสี่ยวเฉียนได้ยินเช่นนั้นก็เป็นคนเดินเข้าไปในห้องก่อน ในขณะที่เฉินจวินรอให้ไป๋เยี่ยเดินเข้าไปก่อน ค่อยตามเขาเข้าไป