บทที่ 1303 การต่อสู้ระหว่างสุริยันอันเจิดจ้า
บทที่ 1303 การต่อสู้ระหว่างสุริยันอันเจิดจ้า
ขณะที่ชายหนุ่มถูกโยนออกไป โม่ซางก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาเปล่งประกายด้วยแสงสีม่วงที่พลุ่งพล่านด้วยเมฆสายฟ้าสีม่วง
ในเวลาเดียวกัน กลิ่นอายที่น่ากลัวอย่างสุดขั้วก็พุ่งออกมาจากร่างกาย ทำให้พื้นที่ภายในห้องสั่นสะเทือน
เวลาและพื้นที่ดูราวกับจะไม่เป็นระเบียบในทันที!
แต่โม่ซางก็ไม่ได้หลบหนี เพราะเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า มีกลิ่นอายที่น่าสะพรึงกลัวจับจ้องตนอยู่ และการถ่วงเวลาให้ชายหนุ่มหนีไป ก็คือขีดจำกัดของเขาแล้ว
“ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ไยถึงไม่แสดงตัว? ” โม่ซางกล่าวด้วยเสียงทุ้มหนัก คล้ายเสียงคำรามของเทพอสูร มันกลายเป็นคลื่นเสียงไร้รูปร่างที่กวาดออกไป ทำลายโต๊ะ เก้าอี้ ของตกแต่ง กระเบื้องปูพื้น และทุกสิ่งทุกอย่างในห้องจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ นอกจากนี้ คลื่นเสียงยังมีแนวโน้มที่จะพุ่งออกห้องไปยังบริเวณโดยรอบด้วย
“ที่แท้ก็ไอ้สารเลวจากนิกายอำนาจเทวะจริง ๆ และข้าสงสัยว่าเป็นใครที่กล้าวางแผนชั่วต่อสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าของข้า” เสียงที่ชัดเจนและไพเราะดังขึ้น พร้อมกับการมาถึงของเสียงนี้ พลังงานที่รุนแรงภายในห้องก็หยุดชะงักลงทันที
สิ้นเสียง ร่างเพรียวบางที่สง่างามและทรงพลังก็เดินออกมาจากห้วงมิติ นางสวมชุดชาววังสีดำปักด้วยขอบสีทอง ผมสีขาวดุจหิมะที่สวยงามถูกม้วนเป็นมวยไว้ด้านหลังศีรษะ เผยให้เห็นรูปลักษณ์อันสูงส่งและงดงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ นอกจากนี้ ดวงตาที่สุกใสยังดูเหมือนเหวลึกที่เปล่งประกายด้วยเปลวเพลิงสีทอง
ช่างน่าตกใจ หญิงสาวคนนี้ คือผู้อาวุโสของเผ่าวิหคอมตะที่ปลีกวิเวกอย่างสันโดษในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า จ้าวไท่ฉือ!
“จ้าวไท่ฉือ!” สีหน้าของโม่ซางซีดลง แววตาสั่นไหว “อะไรกัน? ไอ้เฒ่าเหมิงซิงเหอไม่ได้มาด้วยหรือ? หากเป็นเช่นนั้น เจ้าเพียงคนเดียวก็ไม่อาจทำให้ข้าต้องทิ้งชีวิตเอาไว้ได้ และหากเจ้าไม่กังวลว่าเมืองเซียนสัประยุทธ์จะราบเป็นหน้ากลอง ก็เชิญเจ้าลงมือได้เลย!”
“อย่างนั้นหรือ?” ดวงตาที่สุกใสเต็มไปด้วยเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทอง รอยยิ้มเย็นชาเสี้ยวหนึ่งปรากฏขึ้นที่มุมปากของจ้าวไท่ฉือ จากนั้นมือที่งดงามของนางก็พลิกขึ้น และทันใดนั้นก็มีแผ่นจานโบราณปรากฏขึ้น
โอม!
แผ่นจานหมุนควงและปล่อยแสงของดวงดาวที่เย็นยะเยือกออกมานับไม่ถ้วน ประหนึ่งท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ขอบเขตได้ตกลงมา และมันก็ปกคลุมทั้งห้องในทันที
“จานรวมดารา! ไอ้เฒ่าเหมิงซิงเหอให้สมบัตินี้แก่เจ้าจริงหรือ?” ใบหน้าของโม่ซางกลายเป็นมืดมนขณะที่รูม่านตาหดเกร็งอย่างกะทันหัน ทั้งยังหลั่งไหลด้วยความกลัวอย่างสุดจะพรรณนา
ในช่วงเวลาต่อมา วิสัยทัศน์ของเขาก็สว่างวาบ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวมากมายปรากฏขึ้น ทุกที่ที่สายตามองเห็นคือดวงดาวมากมายที่โคจรอยู่ในจักรวาลอันไร้ขอบเขต
“ดูเหมือนข้าจะถูกพบเห็นมานานแล้วสินะ?” สีหน้าของโม่ซางหมองหม่นอย่างมาก ดวงตาของเขากวาดไปยังพื้นที่โดยรอบราวกับสายฟ้า และตระหนักได้ว่าไม่อาจหาทางหลบหนีได้โดยสิ้นเชิง เพราะนี่คือโลกภายในจานรวมดารา!
“เจ้ากลับมีคำถามมากมายทั้งที่ใกล้จะตาย? หรือว่าคนจากนิกายอำนาจเทวะอย่างเจ้าจะไม่คำนึงถึงชีวิตของตนเอง” ร่างของจ้าวไท่ฉือปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และไม่ปิดบังท่าทางเย้ยหยันบนใบหน้างดงามไร้ที่เปรียบแม้แต่น้อย
“ฮึ่ม! แม้ว่าข้าจะต้องตาย แต่ก็จะลากเจ้าลงนรกไปพร้อมกับข้าให้จงได้!” โม่ซางหายใจเข้าลึก ๆ และมีท่าทางหยิ่งทระนง ประหนึ่งความมั่นใจและครอบงำของราชา
“นั่นอาจไม่เป็นเช่นนั้น ข้าแค่สงสัยเล็กน้อยว่าเจ้าเป็นคนฆ่าบุคคลลึกลับ เมื่อภูเขาหมอกเซียนถูกทำลายล้างในวันนั้นหรือไม่?” เสียงของจ้าวไท่ฉือชัดเจนและไพเราะ ทั้งยังรักษาท่าทางของการควบคุมสถานการณ์อย่างสมบูรณ์มาตั้งแต่ต้นจนจบ
โม่ซางเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะหัวเราะเยาะออกมา “ที่แท้ก็เป็นเรื่องนั้น ไม่น่าแปลกใจที่เจ้าเคลื่อนไหวรวดเร็วนัก กลายเป็นว่าพวกเจ้ารู้ตัวมานานแล้ว น่าเสียดายที่มันสายเกินไป กลียุคของทั้งสามภพกำลังเริ่มต้นขึ้นที่ซากโบราณสถานแรกกำเนิด ซึ่งคงอีกไม่นานก่อนที่ทั้งสามภพจะจมอยู่ในหายนะแห่งฟ้าดินนี้ และจะไม่มี…ใครหนีพ้นไปได้!”
ท่าทางของจ้าวไท่ฉือยังคงสงบและไม่แยแส “ต่อให้เราหนีมันไม่ได้แล้วจะทำไม? อย่างน้อยที่สุด เราก็ยังมีชีวิตอยู่รอดได้อีกระยะหนึ่ง แต่ราชันเซียนอย่างเจ้ากำลังจะพินาศในวันนี้”
เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจและสงบของจ้าวไท่ฉือ หัวใจของโม่ซางก็จมลงสู่ก้นบึ้ง “เจ้าก็ลองดูว่าเจ้าจะหลีกเลี่ยงพลังของราชันเซียนที่กำลังจะเสี่ยงชีวิตได้หรือไม่?”
“เจ้าคิดจะระเบิดตัวเองหรือ?” ท่าทางเย้ยหยันบนใบหน้าของจ้าวไท่ฉือรุนแรงมากขึ้น
โฮก!
ทันใดนนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงคำรามของมังกรที่น่าสะพรึงกลัวดังก้องอยู่ในส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันไร้ขอบเขต จากนั้นร่างมหึมาจนบดบังนภาก็พุ่งออกมาจากส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว น่าประหลาดใจ มันเป็นมังกรเขียวที่เปี่ยมไปด้วยเกียรติอันสูงสุดและพลังศักดิ์สิทธิ์อย่างมหาศาล!
ดวงตามังกรดูเหมือนดวงอาทิตย์ที่แผดเผาคู่หนึ่งลอยอยู่ในจักรวาล พวกมันส่องแสงสว่างบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่ไร้ขอบเขต
“อ๋าวตู้ซิง!” เมื่อเห็นมังกรเขียวที่พุ่งมาจากส่วนลึกของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ใบหน้าของโม่ซางก็ปกคลุมไปด้วยความขมขื่น เพราะในที่สุดเขาก็เข้าใจทุกอย่างว่าทำไมจ้าวไท่ฉือถึงนิ่งสงบได้ปานนี้
มังกรเขียวและวิหคอมตะ!
ผู้เฒ่าสองคนที่ปลีกวิเวกอย่างสันโดษภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ามาเป็นเวลานานแสนนาน ปรากฏกายออกมาพร้อมกัน ทั้งยังอยู่ภายในจานรวมดาราเช่นกัน แม้ว่าโม่ซางจะเป็นราชันเซียน แต่ก็ยังรู้สึกสิ้นหวังในขณะนี้
“พวกเจ้า…พวกเจ้าไม่กลัวนิกายอำนาจเทวะของข้าจะเคลื่อนพลเพื่อทำลายล้างภพมังกรและเผ่าวิหคอมตะของพวกเจ้าเลยหรือ?” โม่ซางหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มหนัก
“นั่นไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องกังวล” จ้าวไท่ฉือกล่าวช้า ๆ จากนั้นดวงตาที่สุกใสของนางก็ปะทุเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์สีทองพร่างพราว ก่อนที่ร่างของนางจะสว่างวาบ แล้วแปลงร่างเป็นวิหคอมตะที่แท้จริงที่พลุ่งพล่านไปด้วยเปลวเพลิงสีทองอันไร้ขอบเขต ปีกของนางกระพือไปทั่วท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ดูสง่างามและสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง
“ลงมือ!” วิหคอมตะที่แท้จริงส่งเสียงร้องซึ่งดังก้องไปทั่วจักรวาล
การต่อสู้ปะทุขึ้นแล้ว!
…
“ท่านอาจารย์ลุงโม่ซาง เมื่อสักครู่ท่านเพิ่งกล่าวไว้ว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่สำคัญไปกว่าชีวิตของตนเอง แต่ท่าน…กลับช่วยชีวิตข้าปิงซื่อเทียนในชั่วพริบสุดท้ายที่เผชิญกับอันตราย คำพูดของท่านนั่นไม่ตรงกับการกระทำจริง ๆ ข้าควรขอบคุณหรือควรจดจำเป็นบทเรียนดี” ในวงแหวนเคลื่อนย้ายผ่านห้วงมิติของเมืองเซียนสัประยุทธ์ ชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ที่นั่น ในขณะที่หวนนึกถึงฉากก่อนหน้านี้ และยังคงรู้สึกหวาดกลัวอย่างยิ่งในใจ
“เนื่องจากมันสามารถทำให้ราชันเซียนอย่างท่านอาจารย์ลุงโม่ซางหวาดกลัวได้ หรือว่าเจ้าสำนักของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะเป็นผู้ลงมือ?”
น่าประหลาดใจ ที่ชายหนุ่มคนนี้คือปิงซื่อเทียน!
“ไม่ว่าจะอย่างไร ท่านอาจารย์ลุงก็ช่วยชีวิตข้าอยู่ดี แม้ว่าข้าจะเป็นเพียงผู้ติดตามของท่าน แต่โดยปกติแล้ว ข้าควรจะส่งข่าวการเสียชีวิตของท่านกลับไปยังนิกาย ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่ข้าจะตอบแทนคำชี้แแนะที่ท่านให้ไว้ในตลอดหลายปีที่ผ่านมาได้” ปิงซื่อเทียนหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาพลันจดจ้องไปยังระยะไกลสุดขอบฟ้า ซึ่งเป็นทิศทางที่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าตั้งอยู่
“เฉินซี … อีกไม่นานข้าจะไปหาเจ้า!” ความโหดเหี้ยมและความเด็ดเดี่ยวฉายแววในดวงตาของปิงซื่อเทียน จากนั้นร่างของเขาก็สว่างวาบและหายไปในค่ายกลเคลื่อนย้ายมิติ
ในเวลาเดียวกัน ภายในสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เยี่ยถังและว่านเจี้ยนเซิงกำลังยืนเผชิญหน้ากันจากระยะไกล ทุกสายตาจดจ้องเป็นตาเดียว
นี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างสองสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียน และไม่ว่าใครจะเป็นผู้ชนะคนสุดท้ายของการต่อสู้ครั้งนี้ มันจะทำให้เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในภพเซียน ทั้งยังทำให้ฟ้าดินต้องตกตะลึง!
ในขณะนี้ เฉินซีก็นั่งตัวตรง พลางจ้องมองไปที่สนามประลองอย่างตั้งใจ เพราะเกรงอย่างยิ่งที่จะพลาดรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ไป
“มาเริ่มกันเถอะ” บนสนามประลอง ผมดำขลับของเยี่ยถังปลิวไสว ในขณะที่เขายิ้มอย่างเบิกบานใจ ซึ่งเผยให้เห็นฟันขาวราวหิมะ และท่าทางที่ห้าวหาญและไร้กังวล
เขาขยับดาบบนบ่าของตนอย่างสบาย ๆ แล้วชี้ไปที่ว่านเจี้ยนเซิง
ฟู่! ฟู่!
ทุกที่ที่ดาบชี้ไป พื้นจะยุบตัว คล้ายถูกฉีกออกทีละนิด และกลายเป็นกระแสน้ำที่วุ่นวายซึ่งแยกออกไปเป็นสองฝั่ง ราวกับไม่กล้ารับคมดาบของเยี่ยถัง
เหตุการณ์นี้น่าตกใจยิ่ง เพียงแค่ขยับดาบก็ทำให้พื้นที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้ศิษย์ที่อยู่รอบ ๆ รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก
นี่คืออานุภาพดาบของเยี่ยถัง!
ดาบคือเต๋า และไม่มีสิ่งใดสามารถยืนหยัด เมื่อเผชิญต่อหน้าดาบได้!
“ขอบเขตเซียนดาบ…” เฉินซีรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นในทันทีเมื่อเห็นฉากนี้ เพราะเขาจำได้ว่า ความสำเร็จของเยี่ยถังในเต๋าแห่งดาบนั้นเพียงพอที่จะต่อกรกับว่านเจี้ยนเซิงได้
ชิ้ง!
ในขณะนี้ ว่านเจี้ยนเซิงที่สวมชุดสีดำ ซึ่งมีท่าทางเย็นชาและเฉยเมย ก็ปลดกระบี่อมตะที่ด้านหลังลงมา
กระบี่เสียดสีกับฝัก บังเกิดเป็นเสียงที่ใสและไพเราะ มันดังก้องไปทั่วสวรรค์ทั้งเก้า เขย่าจิตวิญญาณของทุกคน
เมื่อกระบี่อมตะถูกเผยออกมาอย่างสมบูรณ์ เจตจำนงกระบี่ที่เต็มไปด้วยพลังสังหาร ทั้งคมกริบและดุร้ายถึงขีดสุดก็หลั่งไหลออกมาจากว่านเจี้ยนเซิง ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบตกสู่ความโกลาหล!
“นี่คือกระบี่ของว่านเจี้ยนเซิง ปฏิญาณวิญญาณหรือ?” เมื่อกระบี่ออกจากฝัก มันก็เหมือนกับอีกาที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกเจ็บปวดที่ดวงตา และต้องใช้เวลาพักใหญ่ถึงจะเห็นกระบี่อมตะในมือของว่านเจี้ยนเซิงได้อย่างชัดเจน
กระบี่เล่มนี้ยาวกว่าสี่ฉื่อและกว้างสามชุ่น ตัวกระบี่ดูเหมือนน้ำในทะเลสาบที่ใสสะอาดและบริสุทธิ์ แม้มันจะดูไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่เมื่อมันอยู่ในมือของว่านเจี้ยนเซิง มันก็กลายเป็นดวงอาทิตย์ที่แผดเผาเปล่งแสงพร่างพราวและกลิ่นอายที่น่าเกรงขามพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
นี่คือกระบี่ปฏิญาณวิญญาณ!
กระบี่ของว่านเจี้ยนเซิง มันมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วภพเซียน และมันได้สังหารศัตรูมานับไม่ถ้วน ทำให้มันผ่านศึกนับร้อยนับพันและอาบไปด้วยเลือด
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
การต่อสู้ยังไม่ทันเริ่ม แต่เสียงระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวก็ดังก้องในพื้นที่ระหว่างเยี่ยถังและว่านเจี้ยนเซิง มันเป็นการปะทะกันของพลัง ทั้งยังน่าทึ่งจนถึงขีดสุด
“ศิษย์พี่ว่าน เชิญ!” เยี่ยถังเงยหน้าขึ้น คำรามด้วยเสียงหัวเราะ และกำดาบในมือขณะพุ่งตัวไปข้างหน้า ดาบของเขาก็ฉีกทะลุผ่านนภา ซึ่งดูเหมือนแสงสีเขียวอันกว้างใหญ่ ที่กลายเป็นปราณดาบที่สะบั้นความว่างเปล่า
กระบวนท่าดูเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่แท้จริงแล้วเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายที่มีชีวิตชีวา เด็ดเดี่ยวและอิสระ ซึ่งเหมือนกับเยี่ยถังที่ไร้กังวลและไม่ผูกมัด
ชู่ว!
ในเวลาเดียวกัน ว่านเจี้ยนเซิงก็เคลื่อนไหวเช่นกัน กระบี่ของเขาฟันผ่านท้องฟ้า มันไร้ที่ติและตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน ทั้งยังเปลี่ยนความซับซ้อนให้เป็นสิ่งเรียบง่าย ทว่ากลับเปี่ยมไปด้วยพลังสังหารสูงสุด
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
ในช่วงเวลาต่อมา ทั้งสองคนถูกขังอยู่ในวงต่อสู้ คมดาบและประกายกระบี่ปะทะกัน ระเบิดเป็นแสงเจิดจ้าส่องผ่านท้องฟ้าและปกคลุมทั่วบริเวณโดยรอบ กระแสอากาศที่รุนแรงถ้วนปะทุขึ้นและพัดโหมใส่สนามประลอง พวกเขาต่อสู้จนถึงฟ้าดินมืดดับลง!
คลื่นกระแทกที่เกิดจากการต่อสู้ในระดับนี้น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง และมันทำให้ม่านพลังป้องกันบนสนามประลองสำแดงพลังอย่างเต็มที่ มิฉะนั้น หากคลื่นกระแทกกระจายออกไป หมู่ตึกของฝ่ายบำเพ็ญเต๋าอาจได้รับผลกระทบและถูกทำลายลง
บริเวณโดยรอบสนามประลองทั้งหมดพลันเงียบสงัด สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่สนามประลอง มีเพียงเสียงดาบและกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวเท่านั้นที่ดังกึกก้องไปทั่วฟ้าดิน
จะเป็นใครในหมู่สองคนนี้? ที่จะได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการว่าสุริยันอันเจิดจ้าที่แข็งแกร่งกว่า สุดยอดการต่อสู้ที่ไม่เคยมีมาก่อนนี้จะจบลงอย่างไร?
ทุกคนรอคอยที่จะทราบคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ!