บทที่ 478 เข้าเฝ้า
บทที่ 478 เข้าเฝ้า
อู๋ฝานเมินเฉยโทสะของจ้าวอิ๋งเฟิงก่อนจะเดินออกจากวังหลวง ขณะยืนอยู่หน้าประตูยังทอดสายตามองออกไปไกล ๆ
ช่วงนี้ทั้งวังหลวงกำลังร้อนระอุยิ่งกว่าน้ำที่ต้มจนเดือด ทหารมากมายกำลังวิ่งไปมาทั่วแห่งหน พวกเขากำลังออกค้นหาองค์หญิงสามแห่งอาณาจักรหนานปิงกันอยู่
“ดูจากสภาพตอนนี้ ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้สินะ” อู๋ฝานพึมพำกับตัวเอง “ไม่รู้เลยว่านางไปเรียนรู้วิชามาจากไหน แต่แข็งแกร่งเอาเรื่องเลยทีเดียว”
อู๋ฝานที่เพิ่งต่อสู้กับองค์หญิงสามแห่งหนานปิง ย่อมพอคาดเดาความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ได้ หากอยู่ที่โลกความเป็นจริงนางคงแข็งแกร่งขั้นขอบเขตมืดระดับสูงหรือระดับสูงสุดเลยด้วยซ้ำ ตามที่ทราบมาอีกฝ่ายอายุเพียงแค่สิบเก้าปี เรียกได้ว่าเด็กยิ่งกว่าหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ การจะประสบความสำเร็จระดับนั้นด้วยอายุเท่านี้ไม่ใช่เรื่องง่าย
“แต่ยังไงครั้งนี้ก็คงหนีไม่รอดหรอก” อู๋ฝานพูดกับตัวเองขณะมองเหล่าทหารที่กำลังออกตามล่า
จักรพรรดิถูกลอบปลงพระชนม์นับเป็นเรื่องใหญ่ ช่วงเวลาเช่นตอนนี้ไม่มีทหารคนใดกล้าคลายความระวัง กระทั่งจะออกตามล่าอย่างสุดความสามารถ แม้เป็นอู๋ฝานก็ยังไม่อาจมั่นใจด้วยซ้ำว่าจะหาทางหลบหนีออกไปได้หรือไม่ อย่างไรพวกเขาเหล่านี้ก็มีชีวิตกับหน้าที่การงานเป็นเดิมพัน อีกทั้งองค์หญิงสามแห่งหนานปิงยังได้รับบาดเจ็บจึงยิ่งทำให้การหลบหนีเป็นเรื่องยากมากขึ้น
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่อู๋ฝานจะต้องใส่ใจ ทั้งเขาและนางผู้นั้นคงไม่มีโอกาสได้เจอกันอีก ในฐานะผู้เล่นเขายังจำเป็นต้องมีความภักดีต่ออาณาจักรเหยียนเฟิง เหตุผลที่เมื่อครู่ทุ่มเทคุ้มกันจักรพรรดิชราก็เป็นดังที่บอกกับจ้าวอิ๋งเฟิง นั่นคือการทำดีคาดหวังรางวัล
จักรพรรดิชรายังไม่ทันได้มอบที่ดินศักดินาแก่เขาตามที่รับปากด้วยซ้ำ หากปล่อยให้อีกฝ่ายตายไป อย่างนั้นแล้วจะไปทวงหนี้จากที่ใด?
และตอนนี้เขาก็ยังได้ช่วยเหลืออีกฝ่ายเอาไว้ รางวัลที่ยังไม่ได้รับก็จะยิ่งดีกว่าก่อนหน้าอีกจริงหรือไม่? อีกทั้งบางทีอาจได้รับการเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นอีกสักระดับหนึ่ง อย่างไรเมื่อครู่ก็เป็นความดีความชอบระดับช่วยชีวิต ไม่ตกรางวัลให้จะกลายเป็นเรื่องแปลกขึ้นมา
เรื่องก่อนหน้าที่กัวจื่อหมิงกดเรื่องของโฉวหย่งเชาเอาไว้ไม่รายงานความดีความชอบให้ ทำให้อู๋ฝานได้เข้าใจว่าตนเองต้องมีสถานะตัวตนสูงขึ้น ถึงจะอยู่รอดในโลกแห่งนี้ได้ดียิ่งขึ้น มีเพียงการก้าวหน้ากว่านี้จึงจะได้รับทรัพยากรที่เป็นส่วนช่วยในโลกความเป็นจริงของเขาได้ดียิ่งขึ้น
ดังนั้นเมื่อได้เห็นโอกาสทำความดีความชอบมาอยู่ตรงหน้า เขาย่อมไม่มีทางปล่อยให้มันพลาดไปอย่างแน่นอน สำหรับเขาที่เป็นผู้เล่นมันแทบจะเหมือนภารกิจสุ่มที่ปรากฏตรงหน้าจนต้องคว้าเอาไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วอาศัยแค่ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับจักรพรรดิมีหรือจะพยายามทุ่มเทปกป้องอีกฝ่าย? เพราะอะไรจึงต้องยอมเสี่ยงเจ็บตัวช่วยอีกฝ่ายโดยไม่ได้อะไรด้วยเล่า?
ขณะนี้รักษาชีวิตของจักรพรรดิชราเอาไว้ได้แล้ว ส่วนเรื่องมือสังหารจะจับกุมตัวได้หรือไม่นั้น มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจำเป็นต้องใส่ใจ เนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง เพราะหากจับได้แต่ก็ไม่ได้รับรางวัลอะไรเพิ่ม ทว่าถ้าจับไม่ได้ เขาก็ไม่ได้ถูกลงโทษอะไรอยู่แล้ว
‘ว่าแต่เพราะอะไรนางถึงอยากลอบสังหารจักรพรรดิล่ะ?’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ
เชื่อว่าอีกหลายคนก็คงไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน อาจรวมถึงตัวจักรพรรดิชราเองด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วอีกฝ่ายคงระวังนาง ไม่ใช่ปล่อยให้เข้าใกล้จนเกือบลงมือสำเร็จเช่นเมื่อครู่
“ใต้เท้าอู๋ ฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้าขอรับ” ขณะกำลังมองเรื่องราวพลางครุ่นคิดหาแรงจูงใจขององค์หญิงสามแห่งหนานปิงอยู่นั้น ขันทีหนุ่มคนหนึ่งพลันก้าวเดินเข้ามาเอ่ยด้วยความนอบน้อม
“ฝ่าบาทได้สติแล้วหรือ?” อู๋ฝานหันกลับไปพลางถาม
“เมื่อครู่นี้เองขอรับ” ขันทีหนุ่มตอบกลับ “เวลานี้พระองค์กำลังพักผ่อนอยู่”
อู๋ฝานพยักหน้ารับ “รบกวนท่านนำทางด้วย”
ขันทีหนุ่มโค้งกายเล็กน้อยก่อนจะเดินนำทางให้ อู๋ฝานได้เข้าวัง จ้าวอิ๋งเฟิงและขุนนางทั้งหลายต่างเผยสายตาอิจฉาริษยาในตอนเดินผ่านโถงหลัก ทำให้เขาถึงขั้นอดไม่ได้จนต้องหันไปยิ้มเย้ยให้จ้าวอิ๋งเฟิงเสียด้วยซ้ำ
“เหอะ! ไอ้วายร้าย!” จ้าวอิ๋งเฟิงสบถคำด้วยความกราดเกรี้ยว
เพราะขันทีหนุ่มนำทางให้ เขาจึงเดินผ่านโถงหลักจนมาถึงวังหลังที่จักรพรรดิและเหล่าสนมใช้พำนักอาศัยอยู่ คนธรรมดาทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่แห่งนี้ เนื่องจากเป็นสถานที่พำนักของจักรพรรดิและเชื้อพระวงศ์
“ใต้เท้าอู๋ขอเชิญเข้าไปด้านใน” ขันทีหนุ่มนำทางอู๋ฝานไปจนถึงหน้าระเบียงก่อนจะเอ่ยบอก
ทางเข้าเรือนพำนักได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ขณะราชองครักษ์เห็นคนทั้งสองเดินเข้ามา สายตาของพวกเขาจ้องมองด้วยความระมัดระวัง จากนั้นคนสี่คนจึงเข้ามาหยุดยืนตรงหน้าทั้งอู๋ฝานและขันทีหนุ่ม “หยุดก่อน พวกเราต้องขอค้นตัว”
ขันทีหนุ่มหยุดอย่างเชื่อฟังและให้ความร่วมมือ ขณะที่อู๋ฝานก็ไม่ได้มีทางเลือกอื่นเช่นกัน
การลอบสังหารจักรพรรดิชราเมื่อครู่นี้ทำให้เหล่าทหารระมัดระวังตัวยิ่งขึ้น ครั้งนี้เป็นการตรวจสอบอย่างละเอียด กระทั่งสางเส้นผมของอู๋ฝานเพื่อหาว่ามีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือไม่
“เข้าไปได้” หลังการตรวจสอบพวกเขาจึงปล่อยคนทั้งสองให้เข้าไปด้านใน
เมื่ออู๋ฝานเข้ามายังวังหลังจึงได้พบเหล่าขันทีมากมาย นางกำนัล หมอหลวง รวมถึงเหล่าสนมของจักรพรรดิชรา บุตรชาย บุตรสาว ทุกคนต่างรวมตัวกันที่นี่ แม้วังหลวงกว้างใหญ่ ทว่าเวลานี้ค่อนข้างดูแออัดไปบ้าง
“ฝ่าบาท ใต้เท้าอู๋มาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีหนุ่มที่นำทางอู๋ฝานเอ่ยบอกจักรพรรดิชรา
จักรพรรดิชราในเวลานี้ได้สติแล้ว คนยังคงนอนอยู่บนเตียง รอบแขนทั้งสองข้างมีผ้าพันแผลสีขาวพันไว้ ใบหน้าค่อนข้างซีดไร้ซึ่งสีเลือด และสภาพจิตใจในเวลานี้ก็ยังไม่ค่อยสู้ดีนัก
อย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนชราอายุเกือบเจ็ดสิบปี แม้จะไม่ได้รับบาดเจ็บที่จุดตาย แต่ก็ยากจะทานทนอาการบาดเจ็บขนาดนี้ อย่างน้อยก็คงต้องใช้เวลาพักฟื้นนานกว่าจะหายดีได้
“อู๋ฝาน เข้ามาที่นี่” จักรพรรดิชราโบกมือเป็นการบ่งบอกให้เข้าไปใกล้ ๆ
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท” อู๋ฝานตอบรับพร้อมเดินเข้าไปใกล้เตียงนอน เหล่าสนมและบุตรแห่งจักรพรรดิที่อยู่ตรงหน้าเตียงต่างมองชายหนุ่มด้วยสายตาเคลือบแคลงสงสัย
“ฝ่าบาทได้รับพรจากสวรรค์ แม้ไม่มีกระหม่อมช่วยเหลืออย่างไรก็ต้องพ้นภัยพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานตอบรับอย่างนอบน้อม ทว่าในใจกำลังนึกนับถือฝีปากเยินยอของตนเองว่าก้าวหน้าได้ดีเยี่ยม
จักรพรรดิชรายิ้ม ทว่าอาการบาดเจ็บยังคงไม่ได้เลือนหาย สุดท้ายจึงขมวดคิ้ว
“ฝ่าบาทควรพักผ่อนให้มากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานบอก “ตอนนี้พระองค์ไม่ควรคิดเรื่องอื่นจนรบกวนการพักพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นเช่นที่ว่าพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ท่านควรพักให้มากกว่านี้พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงที่อยู่ข้างกายเอ่ยขึ้น
จักรพรรดิชราพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะมองอู๋ฝานและเอ่ย “เจ้าช่วยเหลือข้าได้อย่างดีเยี่ยม ข้าจะตอบแทนเป็นอย่างดีเช่นกัน”
“เป็นเรื่องที่กระหม่อมควรทำอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่กล้าละโมบต่อความดีความชอบพ่ะย่ะค่ะ” อู๋ฝานตอบรับ
“ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว” จักรพรรดิชราตอบรับ “ลงไปก่อน พวกเจ้าทุกคนกลับกันไปได้แล้ว”
“พ่ะย่ะค่ะ” กลุ่มคนต่างตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
อู๋ฝานหันกลับเตรียมเดินออกไปด้วย ถ้อยคำเมื่อครู่ของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาสบายใจขึ้นมาได้ อย่างน้อยก็ไม่ใช่การช่วยเหลือโดยเปล่าประโยชน์
“เสด็จพ่อ!”
ขณะอู๋ฝานกำลังจะเดินกลับออกไป สตรีนางหนึ่งกลับพุ่งเข้ามาผ่านตัวเขาตรงเข้าถึงเตียงของจักรพรรดิชรา
“ฉีเอ๋อร์ ทำไมมาอยู่ที่นี่?” เสียงของจักรพรรดิชราดังตอบ
‘ที่ผ่านไปเมื่อครู่คือองค์หญิงเจ็ดเจ้าฉีงั้นหรือ?’ อู๋ฝานครุ่นคิดอยู่ในใจ ‘เหตุใดรู้สึกว่าดูคุ้นเคยนัก?’
หลังครุ่นคิดไปชั่วครู่แต่ไม่อาจนึกออกว่าเคยพบอีกฝ่ายเมื่อใด ดังนั้นจึงทำได้เพียงปล่อยความคิดดังกล่าวให้เลือนหายไป