ตอนที่ 448 บุญพาวาสนาส่ง
หลังจากกินอาหารทะเลชุดใหญ่เสร็จทุกคนก็ไปเดินเล่น มู่เถาเยาหาโอกาสไปอุ้มเยี่ยนหังที่เพิ่งตื่นอีกทั้งกินอิ่มแล้วมาจากพี่เลี้ยง
นอกจากเด็กทั้งสองคนจะกินนมแม่แล้ว บางช่วงก็จะถูกป้อนนมวัวด้วย
ลู่จือฉินก็อุ้มอู๋ซวง ออกข้างนอกพร้อมมู่เถาเยากับเย่ว์เลี่ยง ไปเดินเล่นด้วยกัน
บรรดาผู้สูงวัยไปที่สวนเรือนกลาง ส่วนพวกเธอกลับเดินไปทางประตูใหญ่
ข้างนอกกว้างขวาง
อากาศในเดือนตุลาคมมีลมเย็นพัดผ่าน ไม่หนาวไม่ร้อน ให้ความรู้สึกเย็นสบาย
สตรีทั้งสามคนพาสองเด็กน้อยเดินไปข้างหน้า เมื่อแน่ใจว่ารอบตัวไม่มีคนแล้ว หลังจากคุยกันแบบที่ได้ยินกันเองเสร็จก็ยิ้มให้กัน
มู่เถาเยาก้มหน้าชนิดที่แทบทนรอไม่ไหว พูดกับเด็กที่ตัวเองอุ้มอยู่ “เยี่ยนหัง นี่พี่เองนะ เสด็จแม่กับอาจารย์ก็อยู่ที่นี่ด้วย”
“อ๊าๆ …”
เด็กน้อยตื่นเต้นดีใจร้องอ้อแอ้ ทั้งยังยื่นมือน้อยๆ ออกไปราวกับอยากจับเย่ว์เลี่ยงกับลู่จือฉิน
มู่เถาเยาอุ้มตะแคงเยี่ยนหัง โดยหันหน้าไปทางเย่ว์เลี่ยง “เยี่ยนหัง เสด็จแม่เสียตอนน้องอายุหนึ่งขวบ เสด็จแม่ก็เลยมาที่นี่ก่อนพวกเรา ดูสิ ตอนนี้พวกเรากลับมาเป็นครอบครัวเดียวกันอีกแล้วนะ”
เย่ว์เลี่ยงจับมือลูกชาย ตาแดงเล็กน้อย “ใช่แล้ว แม่รู้สึกผิดจริงๆ ที่ตอนนั้นตายไปอย่างสิ้นคิด ไม่ได้ปกป้องลูกทั้งสองจนโต ทำให้พวกลูกๆ ต้องฝ่าฟันอุปสรรคเอาตัวรอดกันเอง สุดท้ายยังตายเร็วอีก…เยี่ยนหัง เสี่ยวเยาเยา แม่ขอโทษลูกๆ นะ”
ระยะนี้เธอไม่มีโอกาสคุยกับลูกชายตามลำพังเลย เพราะมีทั้งคนตระกูลเย่ว์ ผู้อาวุโสตระกูลอวิ๋น ไหนจะพี่เลี้ยงที่อยู่กับลูกๆ และอวิ๋นไป๋ที่ตัวติดเธอตลอด
เยี่ยนหังจับมือเย่ว์เลี่ยง แกว่งไปมาพลางร้องอ้อแอ้ สีหน้าตื่นเต้น
สีหน้านี้พออยู่บนใบหน้าเด็กทารกก็ค่อนข้างตลก
มือข้างหนึ่งของลู่จือฉินอุ้มอู๋ซวง มืออีกข้างจิ้มหน้าผากของเยี่ยนหัง ยิ้มพูด “เยี่ยนหังไม่ต้องรีบร้อน มีพวกเราอยู่ด้วย ต่อไปจะไม่แยกจากกันแล้ว”
มู่เถาเยายิ้มตาโค้งพลางพยักหน้า “ใช่แล้ว เยี่ยนหัง ไม่ต้องรีบร้อนอยากคุยกับพวกเรา ต่อให้พวกเราเป็นวิญญาณที่มาจากแดนอื่น แต่ก็ต้องทำตามกฎเกณฑ์ของโลกนี้นะ”
ถึงแม้คนโลกนี้จะไม่ค่อยเชื่อเรื่องงมงายแล้ว ต่อให้แตกต่างจากส่วนรวมมากก็ยังพอทำความเข้าใจได้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ควรทำตัวกระโตกกระตาก มิฉะนั้นจะตกเป็นเป้าสายตา
ไม่กลัวก็ส่วนไม่กลัว แต่ความยุ่งยากคือของจริง
ลดความวุ่นวายได้ก็ลด
เย่ว์เลี่ยงจับมือเยี่ยนหังเบาๆ พูดด้วยความเอ็นดู “เยี่ยนหัง โลกนี้ดีนะ ครอบครัวเราก็ดี พ่อของลูกในโลกนี้ก็ดีมาก ไม่เหมือนเสด็จพ่อที่อ่อนแอแบบนั้น…”
เป็นถึงฮ่องเต้แต่กลับปกป้องลูกกับภรรยาตัวเองไม่ได้ไม่เรียกว่าอ่อนแอเหรอ ยังสู้ชาวบ้านผู้ชายทั่วไปไม่ได้เลย!
เยี่ยนหังน้อยถึงค่อยๆ สงบลง
ใช่ เขาเจอพ่อทุกวัน รู้ว่าพ่อเป็นคนยังไง และก็ยิ่งรู้ว่าครอบครัวนี้ดีขนาดไหน อีกทั้งยังรู้ดีว่าโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาไม่เข้าใจ เป็นต้นว่าบ้านทรงประหลาดแต่สบาย กล่องสี่เหลี่ยมที่มีทั้งรูปและดนตรี เป็นต้น
ได้ยินพวกเขาเรียกสิ่งนี้ว่าโทรทัศน์…
“เยี่ยนหัง หน้ากากที่พี่เคยทำให้ก็อยู่ที่นี่นะ ยังมีจดหมายของอาจารย์ โถดอกท้อ…มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นของพวกเรามาอยู่โลกนี้…และยังมีอีกหลายคนที่คล้ายญาติสนิทของพวกเราในชาติก่อน…รอน้องโตอีกหน่อยพี่จะพาออกไปรู้จักทุกคน…”
เยี่ยนหังน้อยเบิกตาโพลง ฟังพี่สาวพูดพลางทำเสียงอ้อแอ้ราวกับกำลังคุยกับพี่สาว
ลู่จือฉินยิ้มตาโค้ง “ยังมีอีกนะ อาจารย์เจอพี่ชายแล้วด้วย ตอนนี้ไม่มีอะไรให้เสียดายแล้ว”
เธอตายพร้อมกับความเสียดาย ย่อมกลายเป็นปมในใจให้สองพี่น้องคู่นี้
“อ๊าๆ …” เยี่ยนหังตื่นเต้นมาก
มู่เถาเยายิ้มมุมปาก “เยี่ยนหัง ความปรารถนาของพวกเราเมื่อชาติก่อนเป็นจริงในชาตินี้หมดแล้วนะ”
“นั่นสิ ตอนนี้มาอยู่กันครบแล้วเสด็จแม่ก็ปล่อยวาง ไม่แค้นแล้ว สุดท้ายสวรรค์ก็ชดเชยให้พวกเรา” เย่ว์เลี่ยงยิ้มน้ำตาคลอ
เธอรู้ว่านี่ต้องเป็นโชคดีที่ลูกสาว ลูกชาย และลู่จือฉินนำมาให้แน่นอน ไม่อย่างนั้นเธอที่ไม่ได้ทำอะไรเลยจะบุญพาวาสนาส่งแบบนี้ได้อย่างไร
ลู่จือฉิน “อืม ต่อไปพวกเราต้องใช้ชีวิตให้ดี อะไรที่ชาติที่แล้วทำไม่ได้ก็ทำในชาตินี้ให้เต็มที่”
มู่เถาเยากับเย่ว์เลี่ยงพยักหน้า เยี่ยนหังน้อยเอาแต่ร้องอ๊า
พูดไม่ได้นี่มันน่าอึดอัดจริงๆ !
พวกมู่เถาเยาสามคนมองเด็กน้อยที่ท่าทางร้อนใจแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้
ลู่จือฉิน “เยี่ยนหังใจเย็นๆ พวกเรารู้ว่าเธออยากพูดอะไร…ไม่ต้องรีบโต บนโลกนี้ก็มีการเจริญเติบโตตามวัย ทารก เด็ก วัยรุ่น ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็พอ”
ทั้งสามคนคุยกับเยี่ยนหังเรื่องชาติก่อนสักพัก จากนั้นก็จบประเด็นเพราะเยี่ยนหังพูดไม่ได้
อย่างไรเสียหลังจากพวกเธอตายก็ไม่รู้เรื่องหลังจากนั้นแล้ว
ดังนั้นถามมากไปก็ไม่มีประโยชน์ เด็กน้อยตอบคำถามพวกเธอไม่ได้ จึงเปลี่ยนมาคุยเรื่องชาตินี้
และก็เพราะอยากให้เยี่ยนหังรู้จักสภาพสังคมที่อยู่ในตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร
เย่ว์อู๋ซวงส่งเสียงเรียกร้องความสนใจ “อื้อๆ…อ๊าๆ…”
มู่เถาเยายิ้มตาโค้งหมุนน้องชายไปมองอู๋ซวง “เยี่ยนหัง ดูสิ ชาตินี้พวกเรามีน้องสาวด้วยนะ เลี้ยงง่ายแถมยังน่ารัก เหมือนเยี่ยนหังตอนเด็กๆ เลย”
ปกติเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย มีงอแงบ้างตอนขับถ่ายกับหิว ไม่เหมือนทารกบ้านอื่นที่ชอบร้องไห้เอาแต่ใจ
แน่นอนว่าเยี่ยนหังไม่มีความทรงจำตอนอายุขวบสองขวบ แต่เขาเคยเลี้ยงลูกมาก่อน ย่อมรู้ว่าเด็กทารกปกติเป็นอย่างไร พอเห็นน้องสาวจึงฉีกยิ้ม
อู๋ซวงน้อยเห็นพี่ชายยิ้มก็ยิ้มตาม
สตรีทั้งสามคนก็ยิ้มตาม หัวใจอ่อนยวบ
บรรยากาศอบอุ่นเหลือเกิน
เย่ว์เลี่ยงมองลูกทั้งสองคนแล้วมองมู่เถาเยา “เสี่ยวเยาเยา ปีหน้ากลับหมู่บ้านเถาหยวนซานพาเยี่ยนหังกับอู๋ซวงไปด้วยสิ”
“อาคะ อาเขยไม่ยอมห่างจากลูกแน่ รวมถึงอาด้วยค่ะ”
“ยังไงเขาก็ต้องไปทำงาน ไม่มีทางอยู่ที่เผ่าระยะยาวได้หรอก”
มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง “อยู่ที่ใดที่หนึ่งระยะหนึ่งได้ค่ะ ไว้ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน แต่เยี่ยนหังกับอู๋ซวงหนึ่งขวบ พูดได้เดินได้ ก็พาไปรู้จักคนข้างนอกได้แล้วค่ะ”
โดยเฉพาะหมู่บ้านเถาหยวนซาน ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ดีมาก
ทัศนียภาพงดงามและครึกครื้น บรรยากาศดี มีเด็กๆ มากมายเป็นเพื่อนเล่น
ตำหนักพระจันทร์ก็ดีอยู่หรอก แต่หมู่บ้านเถาหยวนซานเหมาะให้พวกเด็กๆ วิ่งเล่นมากกว่า
แม้วิญญาณของเยี่ยนหังจะเป็นผู้ใหญ่ แต่พวกเธอต่างหวังว่าเขาจะไม่ต้องอยู่อย่างหวาดระแวงเหมือนในชาติก่อน
เมื่อชาติก่อนกับดักเล่ห์กลเยอะ หากไม่ระวังตัวอาจตายได้
ดังนั้นชาตินี้ขอแค่เยี่ยนหังใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปที่ไร้กังวลได้ก็ดีมากแล้ว
ต่อให้ในบรรดาพวกเขาต้องมีสักคนที่แบกภาระหัวหน้าเผ่า แต่ก็ไม่ได้ต้องรีบร้อนบ่มเพาะเพื่อรับตำแหน่ง
เธอทำได้ถึงอายุหกสิบ!
ยิ่งไปกว่านั้นตอนอายุหกสิบ เธอก็อาจรักษาสุขภาพได้เหมือนคนอายุสามสิบกว่า ดังนั้นต่อให้อายุหกสิบเธอก็อาจจะยังไม่เกษียณ แล้วจะรีบร้อนไปทำไม
…………………………………………………