ตอนที่ 458 โชคดีที่ตอนนั้นจน
วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ที่สิบเอ็ดพฤศจิกายน เทศกาลคนโสด
พวกสาวๆ อย่างมู่เถาเยาไม่มีใครสนใจว่าวันนี้เป็นเทศกาลคนโสดหรือเปล่า ยกเว้นตี้อู๋เปียนกับหนิงชิง
ดังนั้นทั้งสองคนจึงตามกลับหมู่บ้านเถาหยวนซานไปด้วย
มู่เถาเยามาส่งหยวนเหยี่ย ซย่าโหวโซ่ว และถังหยวนกลับบ้าน
เหล่าผู้อาวุโสกลับถึงหมู่บ้านเถาหยวนซานที่จากกันไปนานสักที! ชาวหมู่บ้านตื่นเต้นดีใจกันมาก บรรยากาศครึกครื้นประหนึ่งตรุษจีน
มันเหมือนกับว่าพอเหล่าผู้อาวุโสไม่อยู่พวกเขาก็ขาดที่พึ่งทางใจ
ถึงแม้เสี่ยวเยาเยาจะเป็นคนเก่ง แต่พวกเขาก็มักมองเธอเป็นเด็กอย่างอดไม่ได้
ยี่สิบปีมานี้ชินกันเสียแล้ว
พวกมู่เถาเยาวางสัมภาระกันเสร็จก็ไปกินข้าวโต๊ะยาวฉลองกันที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน
ไม่จำเป็นต้องมีเทศกาล ชาวหมู่บ้านเถาหยวนซานอยากฉลองก็ฉลอง!
หลังกินเสร็จบรรดาผู้อาวุโสในหมู่บ้านก็เข้าไปรุมล้อมพูดคุยกับหยวนเหยี่ย ซย่าโหวโซ่ว และถังหยวน
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนออกไปก่อน จะไปดูฝูงม้าป่าที่ป่าเซียนโหยวและถือโอกาสเก็บสมุนไพรมาทำยาบำรุงร่างกายให้ฉือซานด้วย
เธอเขียนบทละครเสร็จแล้ว แต่ต้องให้อาจารย์สามกับอาอ่านก่อนแล้วถึงให้ฉือซาน
ถ้าไม่มีปัญหา เริ่มถ่ายทำตอนปิดเทอมหน้าหนาวจะดีที่สุด ไม่กระทบการเรียนของเสี่ยวหว่าน
หลังจากทั้งสองคนเข้าป่าเซียนโหยวไปแล้วตี้อู๋เปียนก็พูดขึ้น “ซาลาเปาน้อย ตอนนี้ยังมีเวลา ขอฉันประลองกับเธออีกได้ไหม”
“ได้ พวกเราเอากิ่งไม้มาเป็นดาบได้”
“โอเค”
แต่ละคนไปหักกิ่งไม้มาท่อนหนึ่งทำเป็นอาวุธขนาดกำลังพอดี
มู่เถาเยา “คุณเต็มที่เลยนะ” ถ้าไม่เต็มที่ก็มองความสามารถที่แท้จริงไม่ออก
“อืม”
ตี้อู๋เปียนก็รู้ว่าตัวเองทำเธอบาดเจ็บไม่ได้หรอก จึงสู้อย่างสุดกำลัง
ครึ่งชั่วโมงต่อมาทั้งสองคนก็หยุด
“ซาลาเปาน้อย ฉันบรรลุไปอีกขั้นแล้ว” ตี้อู๋เปียนรู้สึกเหมือนเกิดใหม่ ใบหน้าหล่อเหลาดุจเทพบุตรเหมือนมีแสงออร่า
“ใช่ คุณก้าวหน้าเร็วมาก ฉันว่าไม่ต้องรอถึงปิดเทอมหน้าร้อนหมิงเจ๋อก็สอนคุณไม่ได้แล้ว” มู่เถาเยายิ้มตาโค้ง
เธอดีใจไปกับเขาด้วย
ตี้อู๋เปียนเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธมากที่สุดในบรรดาผู้คนที่เธอพบเจอมาสองชาติ
เยี่ยนหังก็สู้ไม่ได้
แม้แต่ตัวเธอในชาติที่แล้วก็เทียบไม่ได้
นี่เพิ่งจะผ่านไปนานเท่าไร แถมมาฝึกเอาตอนอายุมากแล้วด้วย!
คนอื่นๆ เทียบกับเขาไม่ได้เลย รวมถึงซังเฟยที่เธอเล็งเห็นแวว ความแตกต่างอยู่ในระดับที่เด็กฝึกหัดเจอกับปรมาจารย์
ชาตินี้เธอได้เปรียบจากความทรงจำในชาติก่อน อีกทั้งยังมีร่างกายที่แข็งแรงของคนเผ่าหมาป่าพระจันทร์ ถึงได้เทียบเคียงกับเขาได้
ถ้าสุขภาพของเขาไม่มีปัญหา อีกทั้งได้อาจารย์เก่งสอนตั้งแต่เด็ก เธออาจต้องคารวะเขาเลยก็เป็นได้
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกชื่นชมในความเก่งของคนคนหนึ่งจากใจจริง
ตี้อู๋เปียนถามด้วยความดีใจ “ซาลาเปาน้อย เธอคุยกับปู่ซย่าโหวเรื่องแผนการฝึกของฉันหรือยัง”
“ยังเลย เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะลองไปคุยกับอาจารย์รอง”
“ฉันไปด้วย”
“ได้ พี่สาม เท่าที่ฉันสังเกตดู กระบวนท่าที่คุณใช้มันแตกต่างจากของหมิงเจ๋อนิดหน่อย”
“ใช่ ฉันดัดแปลงไปบ้าง รู้สึกว่าแบบนี้มันเหมาะกับการพัฒนาของฉันมากกว่า”
มู่เถาเยาพยักหน้า “คุณมีความคิดสร้างสรรค์ พรุ่งนี้ฉันจะค้นตำราวิทยายุทธออกมาให้คุณทั้งหมด คุณลองศึกษาเอา ดูว่าจะคิดค้นวิทยายุทธที่เหมาะกับตัวเองได้ไหม”
“ได้”
มู่เถาเยาเอาจุดเด่นของวิทยายุทธแต่ละสำนักกับข้อดีข้อเสียบอกเล่าให้ตี้อู๋เปียนฟัง
ตี้อู๋เปียนฟังแล้วก็ไม่ลืม จดจำเอาไว้แบบที่ไม่มีตกหล่น
ผ่านไปสักพักทั้งสองคนก็ทิ้งเรื่องอื่น ตั้งใจตามหาฝูงม้าป่า
จุดที่ม้าสามร้อยตัวเดินผ่านย่อมแตกต่างจากจุดอื่น ไม่นานก็ตามร่องรอยจนเจอฝูงม้าป่า
มู่เถาเยากับตี้อู๋เปียนรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายและเป็นอิสระของฝูงม้า แตกต่างจากตอนเพิ่งออกจากเขตป่าชั้นในที่มีความหวาดระแวงและกังวลมากทีเดียว
เกาหม่า เสี่ยวเซวี่ย เสี่ยวเหยี่ย ไป๋เสวี่ย หลิวซิง รวมถึงลูกม้าตัวอื่นและเฟยอวี่แม่ม้าที่โค้ชเถียนพามาต่างเข้าไปรุมล้อมพวกเขา
มู่เถาเยาเล่นกับพวกมันสักพักก็ออกจากตรงนั้นพร้อมตี้อู๋เปียน ไปตั้งใจเก็บสมุนไพร
แต่ฝูงม้ากลับเดินเอื่อยๆ ตามหลังพวกเขา
พวกลูกม้าวิ่งเล่นรอบๆ พวกเขาอย่างสนุกสนาน
พอหาสมุนไพรทั้งหมดครบ ดวงอาทิตย์ก็เริ่มคล้อยต่ำ
ดวงอาทิตย์ในเดือนพฤศจิกายนตกค่อนข้างเร็ว
ทั้งสองคนบอกลาฝูงม้า เหาะกลับหมู่บ้านเถาหยวนซาน
เอาเข่งสมุนไพรไปเก็บที่ห้องปรุงยาก่อนแล้วกลับเข้าบ้าน
พอพวกหยวนเหยี่ยเห็นพวกเขากลับมาก็เรียกไปล้างมือกินข้าว
อาหารมื้อนี้ได้เหลียงจี เจียงเฟิงเหมียน มู่หว่าน และหนิงชิงช่วยกันทำ
มู่เถาเยาแค่เห็นก็รู้ว่าใครทำจานไหน
หลังจากชิมกับข้าวฝีมือหนิงชิงก็เหนือความคาดหมายมาก
“เสี่ยวเยาเยา ถูกปากไหม”
“อร่อยมากค่ะ น้าชิงน่าทึ่งมากค่ะ”
ผู้ชายที่ทำอาหารเป็นมีเยอะแยะ ทำได้ดีก็มีไม่น้อย แต่คนที่ฐานะครอบครัวดีแล้วยังทำอาหารอร่อยกลับมีไม่มาก
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเพิ่งมาเกิดตอนพ่ออายุสี่สิบ แม่อายุสามสิบห้า
‘ลูกชาย’ ที่ได้มายากแบบนี้มีเหรอพวกเขาจะปล่อยให้ลำบาก
เหนือความคาดหมายจริงๆ !
“เมื่อก่อนตอนเรียนหนังสือ เวลาปิดเทอมน้าจะไปอยู่บ้านตายาย คุณตาคุณยายของน้าทำอาหารเก่ง น้าเห็นบ่อยก็เลยทำเป็น”
ทุกคนพยักหน้าด้วยความเข้าใจ
หนิงชิงคีบกับข้าวที่ตัวเองทำให้เหลียงจี จากนั้นก็คีบกับข้าวที่เหลียงจีทำมาใส่ชามตัวเอง
คนทั้งโต๊ะต่างมองพวกเขา
เหลียงจีหน้าแดงเล็กน้อย
เหล่าผู้อาวุโสดีใจกันมาก
กินอาหารมื้อเย็นที่บรรยากาศค่อนข้างคลุมเครือนี้เสร็จมู่เถาเยาก็กลับห้องไปหยิบสมุดสองเล่มลงมา
เล่มหนึ่งยื่นให้ซย่าโหวโซ่ว “อาจารย์รองคะ อาจารย์กับตี้อู๋เปียนลองอ่านดูนะคะว่าวิทยายุทธในนั้นมีติดขัดตรงไหนไหม”
“ได้”
อีกเล่มให้มู่หว่าน
“เสี่ยวหว่าน นี่เป็นบทละคร เธออ่านดูก่อน”
มู่หว่านรับไป
“ราชวงศ์เทียนเย่ว์เหรอ”
“อืม เป็นละครเกี่ยวกับจักรพรรดินี นางเอกเป็นจักรพรรดินี ไม่มีคู่ ฉันเขียนให้เธอเล่นเป็นเป่ยเหยา ตัวเอกหญิงลำดับสาม ถึงจะสำคัญลำดับสาม แต่บทก็ไม่น้อย น่ารักมีเสน่ห์ ถ้าแสดงดีสามารถแจ้งเกิดได้เลยล่ะ”
เธอจงใจเขียนบทเพิ่มให้
“ได้เลย ขออ่านดูก่อนนะ”
เจียงเฟิงเหมียนกับเหลียงจีก็อ่านกับมู่หว่าน
อันที่จริงหนิงชิงก็อยากอ่านด้วย แต่ไม่สะดวกไปเบียดกับผู้หญิงสามคน เขาจึงขึ้นชั้นบนไปหยิบตำรา ‘วิชาระฆังทอง’ ลงมา
“เสี่ยวเยาเยา ช่วยดูหน่อยว่าตำราวิทยายุทธเล่มนี้ของจริงหรือของปลอม”
มู่เถาเยารับไปเปิดอ่าน
เธอพลิกดูทีละหน้า ไม่นานก็อ่านจบ
“ของจริงค่ะ เราไปข้างนอกกันค่ะน้าชิง หนูจะแสดงให้ดูรอบหนึ่ง”
หนิงชิงตื่นเต้นขึ้นมาทันที
หยวนเหยี่ยกับถังหยวนก็ออกไปดูพร้อมหนิงชิง
ไม่นานคนที่อยู่ในห้องรับแขกก็ถูกดึงดูดให้ออกมาด้วย
ซย่าโหวโซ่วพูดด้วยความภูมิใจ “เสี่ยวเยาเยาเป็นลูกศิษย์ปิดสำนักของฉันเชียวนะ!”
หยวนเหยี่ยแกล้งเหน็บแนม “ทีตอนนั้นทำเป็นไม่ยอมรับ! ถ้าไม่ติดว่าไม่มีเงินซื้อยานายก็ไม่อยู่ต่อหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องรับลูกศิษย์เลย!”
“เอ่อ…โชคดีที่ตอนนั้นจน! ไม่งั้นสำนักซย่าโหวของเราคงไม่มีชีวิตอย่างในตอนนี้!”
ถังหยวน “…”
จนแล้วยังจะภูมิใจ!
ก็มีแค่เธอที่ไม่รังเกียจความยากจน ลองเป็นคนอื่นมาใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดสิ