อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร – ตอนที่ 465 โลภมากไม่ดีสักอย่าง

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

ตอนที่ 465 โลภมากไม่ดีสักอย่าง

วันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จพวกเขาก็แบ่งกลุ่มกัน

ผู้อาวุโสทั้งสี่ของตระกูลน่าหลานพาหยวนเหยี่ย ซย่าโหวโซ่ว ถังหยวน และปู่ทวดถังไปเดินเล่นบริเวณใกล้ๆ

อวี้อวี๋ สวีเสี่ยวเจิง หนิงหนิง สะใภ้ทั้งสามไม่ได้ออกไป อยู่บ้านพาพวกคนรับใช้เตรียมอาหารกลางวันกับอาหารสำหรับบาร์บีคิวตอนเย็น

น่าหลานอวิ๋นไค อวิ๋นหร่าน อวิ๋นฉี่ อวิ๋นเสี่ยง สี่พี่น้องพามู่หว่าน เจียงเฟิงเหมียน อวิ๋นสุ่ยเหยากับพี่ชาย และคนอื่นๆ ขี่รถจักรยานไปเที่ยวท้องทุ่งอันงดงามเหมือนภาพวาดกันอย่างสนุกสนาน

น่าหลานรั่วหงกับน่าหลานรั่วเซิงพามู่เถาเยา ตี้อู๋เปียน ลู่จือฉิน ถังถัง เหลียงจี และน่าหลานอวิ๋นจือขับรถนำเที่ยวขนาดแปดที่นั่งชมวิวทุ่งดอกคาโนล่ารอบนอก

พวกเขาแต่ละกลุ่มชมทัศนียภาพอันงดงามดุจภาพวาด บรรยากาศน่ารื่นรมย์

ตอนกลางวันกลับไปกินข้าวเสร็จเหล่าผู้อาวุโสก็นั่งดื่มชาคุยกันอยู่ในบ้าน

หนุ่มสาวยังออกไปเที่ยวเล่นกันต่อ และถือโอกาสลงแปลงเพาะปลูกไปเก็บผลแตงที่กำลังโตได้ที่

บ่ายสี่โมงเย็น ทุกคนพร้อมใจกันไปที่ล่างเขาเพื่อย่างบาร์บีคิวกันริมลำธาร

ตี้อู่หลันฉือมองสายน้ำใสแจ๋วที่อยู่เบื้องหน้า “ลำธารสายนี้ไม่ใหญ่ แต่มีลูกปลาแหวกว่ายเต็มไปหมด”

จั่วอีเหิงพยักหน้า “ถ้าเป็นหน้าร้อน นั่งเรือล่องไปตามสายน้ำได้ ปล่อยให้เรือเคลื่อนไป หรือจะทวนกระแสน้ำก็คลายร้อนได้ดี”

กู้หานยิ้มพูด “พูดถึงทวนกระแสน้ำ ฉันนึกถึงสิบหกเรื่องเริงใจของบัณฑิตซู กวีสมัยโบราณ”

เซี่ยซิงเฉินพูดต่อ “ล่องเรือในลำธารใสไหลริน ฝนโปรยปรายในยามราตรี ล้างเท้าริมลำธารในหน้าร้อน ชมคีรีหลังฝนพรำ เงาต้นหลิวเคียงข้างไปตามทาง บุปผาแย้มดุจรอยยิ้ม ได้ยินเสียงระฆังท่ามกลางแม่น้ำและภูเขา สายลมตะวันออกภายใต้จันทรา ตื่นยามเช้าพร้อมกลิ่นหอม บ่ายเหนื่อยล้าล้มเคียงหมอนหวาย เปิดบ้านรับแขกโดยไม่สวมเสื้อ มวลบุปผาผลิบาน สกุณาส่งเสียง ชงน้ำชารับแขก เล่นพิณเพลิดเพลินใจ”

ฟางฝ่างพูด “แสดงให้เห็นว่าบัณฑิตซูเป็นคนไม่ยึดติด ปล่อยไปตามธรรมชาติ”

ทุกคนต่างพยักหน้า

เหล่าผู้อาวุโสมองเด็กๆ ที่พูดคุยกันอย่างออกอรรถรส คุยกันด้วยหัวข้อสนทนาเหมือนคนแก่

ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดิน บาร์บีคิวมาถึงช่วงโค้งสุดท้าย อวิ๋นสุ่ยเหยายกปีกไก่ขึ้นพลางพูด “ของอร่อยคู่กับวิวสวย มันช่างดีจริงๆ”

เจียงเฟิงเหมียนกินของย่างที่หอมอร่อยพลางพูดเห็นด้วย “นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเดือนกุมภาในฤดูใบไม้ผลิที่ยังหนาวเหน็บจะมีวิวสวยขนาดนี้! พรุ่งนี้ฉันจะมานั่งวาดรูปที่นี่!”

อวิ๋นเสี่ยงโน้มตัวมาพูดทันที “พี่เสี่ยวเหมียน ฉันมาวาดด้วยนะคะ ฉันชอบวาดรูปเหมือนกันค่ะ”

“เอาสิ”

น่าหลานอวิ๋นไคเกิดความคิด พูดกับสาวที่อยู่ข้างๆ “เสี่ยวหว่าน พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ไปขึ้นนาขั้นบันได ชมทุ่งดอกคาโนล่าจากมุมสูง จะเห็นนาขั้นบันไดที่มีน้ำอยู่เต็ม สะท้อนเงาท้องฟ้า จริงสิ หมู่บ้านแถวนี้ยังมีดอกซากุระด้วย”

“เอาสิ พวกเราไปดูทุกที่เลย”

มู่หว่านไม่ทันสังเกตว่าน่าหลานอวิ๋นไคพูดว่า ‘เธอ’ ไม่ใช่ ‘พวกเธอ’

มู่เถาเยาที่อยู่ด้านหลังพวกเขาได้ยินแล้ว แต่ไม่พูดอะไร

ตี้อู๋เปียนที่อยู่ข้างมู่เถาเยาก็ย่อมได้ยิน เขาเกิดความคิด ถามขึ้น “ซาลาเปาน้อย พรุ่งนี้เธอทำอะไร พวกเราไปดูดอกซากุระกันไหม”

“ฉันกับอาจารย์สามแล้วก็คุณอาอีกสองท่านกะว่าจะขึ้นเขากัน”

ตี้อู๋เปียน “…”

สวีเสี่ยวเจิงยิ้มถาม “เสี่ยวเยาเยา รีบกลับหรือเปล่า”

“ไม่รีบค่ะ” กลับเผ่าช้าหรือเร็วหนึ่งวันก็ไม่มีปัญหา

ปีนี้ปิดเทอมไม่นานก็ถึงตรุษจีนแล้ว ตอนนี้เป็นต้นเดือนกุมภาพันธ์ เดือนมีนาคมถึงจะเปิดเทอม ยังมีเวลาอีกเยอะ

“งั้นก็เที่ยวเล่นก่อนสองสามวันค่อยขึ้นเขาเถอะ ไม่ใช่แค่หมู่บ้านเราที่สวยนะ หมู่บ้านรอบๆ ก็มีทิวทัศน์สวยๆ เยอะเลยจ้ะ”

“อาใหญ่กับอารองไม่ต้องออกไปทำงานเหรอคะ”

คุณอาทั้งสองบอกว่าอยากเข้าป่าไปกับพวกเธอเพื่อทำความรู้จักสมุนไพรให้มากหน่อย ถ้าเธอเที่ยวเล่นก่อนสองสามวัน แบบนั้นไม่ถ่วงเวลาทำงานคนอื่นเหรอ

น่าหลานรั่วเซิงยิ้มพูด “แค่ไม่กี่วันเอง”

“ได้ค่ะ”

น่าหลานอวิ๋นจือแนะนำ “พวกเราคนเยอะ แบ่งเป็นกลุ่มออกไปเที่ยวจุดไม่ซ้ำกันได้นะครับ”

น่าหลานอวิ๋นหร่าน “งั้นฉันพาพวกพี่สาวไปดูดอกซากุระดีกว่า”

ทุกคนกินของย่างรอบสุดท้ายพลางพูดคุยเรื่องแผนเที่ยวในช่วงสองสามวันนี้กันอย่างสนุกสนาน

หลังจากดวงอาทิตย์ตกดินแล้วทุกคนก็เก็บของกลับบ้าน

อวี้อวี๋ยิ้มพูด “เสี่ยวเยาเยาจ๊ะ ที่นี่สวยก็จริง แต่ยังไงก็เป็นบ้านนอก พอตกเย็นก็ไม่มีอะไรทำแล้ว อยากไปเดินเล่นในเมืองกันหรือเปล่า”

มู่เถาเยาส่ายหน้าก่อน มองพวกสาวๆ

ทุกคนต่างไม่อยากออกไปไหน

เดินเที่ยวในเมืองที่ไหนก็เหมือนกันหรือเปล่า

สวีเสี่ยวเจิงพูด “งั้นเดี๋ยวน้าลงเขาไปซื้อพวกของอร่อยท้องถิ่นมา ถ้าพรุ่งนี้ไปเที่ยวหมู่บ้านอื่นไม่กลับมากินข้าวกลางวันก็พกอาหารไปด้วย”

แน่นอนว่าร้านอาหารก็มี แต่เธอไม่รู้ว่าพวกเด็กๆ ที่มาจากครอบครัวมีฐานะเหล่านี้จะกินอาหารจากร้านเล็กๆ ข้างนอกได้หรือเปล่า

หมู่บ้านชนบทสวยก็จริง แต่อย่างไรเสียก็ไม่ใช่เขตท่องเที่ยวที่เป็นกิจจะลักษณะ ก็แค่มีคนที่อยู่เมืองรอบๆ มาเที่ยวบ้างวันเดียว หมู่บ้านที่อยู่ละแวกใกล้เคียงจึงไม่มีร้านเด็ดหรือร้านที่ดูดีสักเท่าไร

น่าหลานรั่วเซิง “ผมไปด้วย”

“ได้”

ทุกคนพร้อมใจกันขอบคุณ

การพกอาหารไปเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิเป็นเรื่องปกติ

มุมไหนทิวทัศน์สวยก็นั่งลง หยิบอาหารที่พกมาเริ่มนั่งปิกนิก ก็ให้ความรู้สึกอีกแบบ

อาศัยเวลานี้ที่คนจากตระกูลปลีกวิเวกทั้งสี่อยู่กันพร้อมหน้า จั่วอีเหิงไปหยิบพวกตำราโบราณลงมาจากห้องแล้วแบ่งให้มู่เถาเยา ซย่าโหวโซ่ว น่าหลานรั่วหงและตี้อู่หลันฉือ

“นี่เป็นตำราวิทยายุทธที่บ้านเราสะสมไว้ค่ะ ไม่รู้ว่าจะเหมาะให้ทุกคนฝึกไหม”

มู่เถาเยาไม่รีบร้อนเปิดอ่าน เธอยื่นให้ลู่จือฉิน

“พี่อีเหิงเคยฝึกวิชาพวกนี้ไหมคะ”

จั่วอีเหิงพยักหน้า “เคยฝึกหมดแล้ว แต่น่าเสียดาย ต่อให้พวกเราตั้งใจฝึกฝนทุกวันก็ได้แค่เพียงผิวเผิน ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แค่ฝึกแล้วไม่สำเร็จ”

“ฉันดูหน่วยก้านของพี่กับลุงจั่วแล้วไม่มีปัญหา ไม่งั้นพี่ลองแสดงให้พวกเราดูไหมคะ เผื่อพวกเรามองเห็นปัญหา”

จั่วอีเหิงย่อมยินดี

ตระกูลจั่วของพวกเขาไม่ใช่ตระกูลฝึกยุทธ ขาดแคลนอาจารย์เก่งๆ ชี้แนะมาตลอด

วิทยายุทธโบราณไม่เหมือนศิลปะป้องกันตัวยุคปัจจุบัน อยากให้อาจารย์คนไหนพาเข้าสำนักไม่ใช่เรื่องง่าย

ทุกคนย้ายกันไปที่สนามฝึก

น่าหลานอวิ๋นจือเปิดไฟรอบสนามฝึกทุกดวงจนสว่างเหมือนเวลากลางวัน

จั่วอีเหิงแสดงวิทยายุทธที่ได้จากตำราโบราณทั้งสี่

มู่เถาเยา ลู่จือฉิน ซย่าโหวโซ่ว ตี้อู๋เปียนและคนอื่นๆ ดูจบก็มีสีหน้าที่บรรยายไม่ถูก

ตี้อู่หลันฉืออดขำไม่ได้ “อีเหิง แบบนี้เรียกเรียนเยอะแต่ไม่บรรลุสักอย่าง”

ขนาดเธอยังมองออกเลยว่าวิทยายุทธจากสี่ตำราโบราณที่จั่วอีเหิงแสดงให้ดูนี้มันตีกันไปหมด!

“…พวกเราฝึกทีละเล่ม ไม่ได้ฝึกพร้อมกัน เล่มนี้ฝึกได้ไม่ดีก็เปลี่ยนเล่ม เลยเคยฝึกหมดทั้งสี่เล่ม”

มู่เถาเยายิ้ม “พี่อีเหิงคะ พี่กับคนในครอบครัวไม่เคยสังเกตเห็นปัญหาเหรอคะ มันไม่เป็นท่าขนาดนี้! แล้วจะก้าวหน้าได้ยังไงกันคะ”

จั่วอีเหิง “…”

“ยกตัวอย่างนะคะ เวลาพวกเราเรียนหลายภาษาพร้อมกันก็จะเอามาปนกันได้ง่าย…พวกพี่ฝึกไม่สำเร็จสักแบบก็ไปฝึกจนครบสี่แบบ ตอนนี้แม้แต่กระบวนท่าเดียวก็ไม่เป็นรูปเป็นร่าง…สี่วิทยายุทธมีเงาของกันและกัน แต่กลับไม่ผสมผสานกลมกลืนกัน…”

จั่วอีเหิงเหมือนเข้าใจ แต่ก็เหมือนไม่เข้าใจ…

มู่เถาเยาหยิบหนังสือจากมือลู่จือฉิน หลังเปิดดูสิบกว่าหน้าก็แสดงให้จั่วอีเหิงดู

กระบวนท่าไหลลื่น ไร้การเจือปน จั่วอีเหิงดูครั้งเดียวก็กระจ่าง

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

อัจฉริยะหญิงเทพสมุนไพร

Status: Ongoing
มองจากภายนอกเธอคือหญิงสาวจากหมู่บ้านชนทบทที่ห่างไกล แม้รูปโฉมไม่ธรรมดาแต่จะมีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ใครเลยจะรู้ว่าเบื้องหลังของเธอนั้นคือ ‘หมอเทวดา’ ผู้มีฝีมือไม่เป็นสองรองใคร!นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีในเมืองใหญ่ นางเอกเก่งทั้งรักษาโรคและวรยุทธ์โคจรมาเจอกับพระเอกขี้โรคสุดหลงตัวเอง!โลกของอดีตจักรพรรดินีอย่าง มู่เถาเยา ถึงคราวกลับตาลปัตรเมื่อต้องมากลายเป็นเด็กทารกที่ยังมีความทรงจำเดิมในชาติก่อน?! อีกทั้งโลกใหม่นี้ยังแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงหลายปีผันผ่านเธอหลอมรวมเข้ากับโลกใหม่ใบนี้ได้อย่างสมบูรณ์พร้อมได้รับวาสนาเป็นศิษย์ของหมอเทวดาผู้เก่งกาจประสบการณ์และพรสวรรค์มากมายในชาติก่อนแล้วทำให้เธอเก่งกาจเหนือกว่าผู้ใดพร้อมก้าวเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อร่ำเรียนและฝึกฝนหาประสบการณ์ชีวิตในโลกใหม่แปลกหน้าใบนี้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท