ตอนที่ 476 เรื่องอดีตเค้นน้ำตา
หลังกินอาหารเช้าเสร็จทุกคนก็ย้ายไปที่ห้องรับแขก ลู่หันซูเล่าเรื่องทั้งหมดให้แม่แท้ๆ ที่ไม่มีความทรงจำฟังอย่างครบถ้วน
ข้อมูลที่คนตระกูลเย่ว์มี ครอบครัวลู่กับครอบครัวเหมียวต่างก็รู้
เรื่องนี้ค่อนข้างสะเทือนใจ ทุกคนฟังแล้วก็น้ำตาคลอ ยกเว้นอู๋ซวงกับเยี่ยจั๋วที่ไม่ประสีประสา
พวกผู้อาวุโสน้ำตาไหลกันนับครั้งไม่ถ้วน
แม้เรื่องจะผ่านมานานแล้ว แต่พอพูดถึงก็เหมือนมีดที่กรีดกลางใจ
เหมียวอวี้ก็เช่นกัน
ถึงเธอจะไม่มีความทรงจำ แต่เธอเป็นตัวละครหลัก เมื่อได้ฟัง ‘เรื่องราว’ มากขึ้นเธอก็รู้สึกคล้อยตาม
ตบหลังมือลูกสาวของตัวเองที่กำลังร้องไห้ยกใหญ่เบาๆ แต่สายตากลับมองมู่เถาเยากับตาเป่ยยายเป่ย
เธอเป็นนักโทษที่ทำเจ้าหญิงน้อยที่เพิ่งเกิดไม่กี่วันหายไป แต่เจ้าหญิงน้อยยังจะทำเพื่อเธอขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าเมื่อก่อนคนตระกูลเป่ยมองเธอเป็นลูกสาวจริงๆ ถึงได้ทำให้ขนาดนี้
มิน่าความรู้สึกของเธอที่มีต่อพวกเขาถึงมากเป็นพิเศษ
แล้วก็…แม่สามีของเธอ
แม้เธอจะไม่รู้สึกอะไรเลยกับสามีที่เสียไปแล้ว แต่เธอก็ยังรู้สึกยินดีที่มีแม่สามีกับลูกสาว
ส่วนพ่อแม่แท้ๆ เธอไม่รู้สึกอะไรด้วยมากเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ ‘แค้นหรือไม่ชอบ’ ก็แค่ค่อนข้างสับสน
ความตั้งใจของพวกเขาที่ทิ้งเธอไว้ที่เผ่าเกิดจากเจตนาดี อีกทั้งไม่มีใครสงสัยญาติตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล แถมจะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาจะทำเรื่องแบบนี้กับญาติตัวเองได้ลงคอ
พ่อแม่แท้ๆ ของเธอนึกไม่ถึงก็เรื่องปกติ
พวกครอบครัวลุงใหญ่ปกป้องเหมียวฉีลูกสาวตัวเองก็เป็นเรื่องปกติ
มาเจอเรื่องแบบนี้ พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็คงเลือกที่จะทำเหมือนกัน
ก็แค่หัวใจที่รักลูกสาว ไม่ถือเป็นความผิดร้ายแรง
อาจเพราะไปอาศัยอยู่กับคนอื่น เธอในตอนนั้นไม่ประสีประสาก็เลยไม่ได้บอกพ่อกับแม่….ถ้าเกิดพูดออกไป พ่อแม่แท้ๆ ของเธอก็อาจจะพาเธอไปประเทศเหยียนหวงด้วยหรือเปล่า
แบบนี้เรื่องของเธอกับเจ้าหญิงน้อยก็ไม่มีทางเกิดขึ้น
ตอนนี้เรื่องมันเกิดไปแล้ว จะตั้งสมมติอะไรก็ย้อนกลับไปไม่ได้อีก
ตอนนี้คือผลลัพธ์ที่ดีแล้ว
ความทรงจำกับแขนหายไปข้างหนึ่ง เหมียวอวี้ไม่โทษใคร เพราะทุกคนต่างมีโชคชะตาของตัวเอง
แต่เธอดีใจมากที่ได้ปกป้องลูกสาวแก้วตาดวงใจของผู้หญิงแสนดีคนที่ไม่ใช่พี่สาวแท้ๆ แต่เป็นยิ่งกว่าพี่สาวของเธอ
มู่เถาเยายิ้มดวงตาโค้งมน “น้าเหมียวคะ พอพ่อแม่หนูรู้ว่าน้าเหมียวกินดอกเจ็ดสีไปแล้วก็ดีใจมาก อยากจะมาหา แต่อีกสองวันพวกเราก็กลับไปแล้ว หนูเลยไม่ได้ให้พวกเขามาค่ะ”
เหมียวอวี้พยักหน้า ถึงเธอจะไม่มีความทรงจำ แต่ก็รู้สึกดีต่อพี่เป่ยซีที่ ‘ไม่เคยเจอหน้า’ เป็นพิเศษ แค่ได้ยินชื่อก็อยากเจอตัวมากเหลือเกิน
“คุณน้าอยากเจอเหมียวฉีไหมคะ เหมียวฉีเดาได้แล้วว่าพวกเรายังมีชีวิตอยู่”
เหมียวอวี้ครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า “ยังไม่เจอดีกว่า”
“ค่ะ งั้นวันหลังค่อยว่ากัน อยากเจอเมื่อไรก็ไปเจอได้ตลอดค่ะ”
“อืม”
ตลอดช่วงเช้าเป็นการ ‘เล่าเรื่อง’ ในอดีต
ช่วงบ่ายมู่เถาเยา ลู่จือฉิน หยวนเหยี่ย ลู่หันซู เฉิงอันนั่ว รวมถึงตี้อู๋เปียนไปที่ห้องปรุงยาด้วยกัน
ตอนพวกเขาออกมาจากห้องปรุงยา ซูอวี่หลานชายของซย่าโหวโซ่วกับถังหยวนและจื่อหนิงภรรยาของเขาได้พามู่เหยากับข่ายเกอมาถึงแล้ว
อู๋ซวงกับเยี่ยจั๋วเจอพี่ชายทั้งสองครั้งแรกก็ดีใจกันมาก กระโดดกอดทั้งร้องทั้งเต้น ไม่เหมือนเพิ่งเจอกันครั้งแรกเลยสักนิด
ไม่ใช่ว่าเยี่ยนหังไม่ดีใจ ก็แค่วิญญาณของเขาเป็นผู้ใหญ่ ทำตัวแบบพวกเด็กๆ ไม่ลง
ถังหยวนพูดด้วยความรู้สึกขำ “ทำไมเยี่ยนหังถึงเหมือนผู้ใหญ่แบบนี้นะ คนอื่นเล่นกันสนุกสนาน แต่เขาเหมือนไม่อยากร่วมด้วยเลย”
ย่าอวิ๋นยิ้มพลางพยักหน้า “นั่นสิ พวกเราก็มักรู้สึกแบบนั้น เวลาเล่นเป็นเพื่อนน้องสาวก็ทำตัวเหมือนผู้ใหญ่เล่นกับเด็ก”
หยวนเหยี่ย “ตอนนั้นเสี่ยวเยาเยาก็เป็น เห็นๆ อยู่ว่าเด็กสุด แต่เวลาอยู่กับพวกเสี่ยวหว่านก็มักทำตัวเหมือนตัวเองเป็นพี่เลี้ยงเด็ก”
ซย่าโหวโซ่วพยักหน้าอย่างอารมณ์ดี
ใบหน้าขาวนวลแก้มยุ้ยของมู่เถาเยาปรากฏรอยยิ้มมีเลศนัย เอามือลูบศีรษะน้องชาย
เยี่ยนหังน้อยจูงมือพี่สาวกับอาจารย์ ดีใจเหลือเกิน
“พี่ฮะ ผมอยากไปดูม้า”
นับตั้งแต่รู้ว่ามีม้าหลายตัวที่คล้ายม้าศึกของพวกเขาเมื่อชาติก่อน เขาก็เอาแต่นึกถึง แต่พี่สาวงานยุ่งเหลือเกิน แถมตอนนี้เขาก็ตัวนิดเดียว ไปป่าเซียนโหยวเองไม่ได้ ทำได้เพียงอดทนรอโอกาส
“พรุ่งนี้พี่กับอาจารย์สามจะพาไปนะ”
เดิมทีเธอก็คิดไว้ว่าพรุ่งนี้เธอกับอาจารย์สามจะพาน้องชายไปดูม้า เพราะเดิมทีพวกเธอก็อยากหาเวลาคุยกับเยี่ยนหังเป็นการส่วนตัวอยู่แล้ว
ช่วงที่เยี่ยนหังกับอู๋ซวงเพิ่งมาหมู่บ้านเถาหยวนซานหาโอกาสไม่ได้เลย เพราะตี้อู๋เปียนอยู่กับเธอตลอด ส่วนอู๋ซวงกับเยี่ยจั๋วก็เกาะติดเยี่ยนหัง
ถึงแม้เด็กทั้งสองคนยังเด็กไม่ประสีประสา แต่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในวัยหัดพูด คำพูดบางอย่างไม่เหมาะที่จะพูดต่อหน้าเด็กๆ
เยี่ยนหังพยักหน้าด้วยความดีใจ “ฮะ”
ตี้อู๋เปียนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น “ซาลาเปาน้อย ฉันไปด้วย”
“พี่สาม พรุ่งนี้ฉันมีธุระให้พี่สามช่วย”
“ธุระอะไรเหรอ ว่ามาได้เลย” ตี้อู๋เปียนถามด้วยความดีใจ
“ฉันอยากให้พี่สามพาศิษย์พี่ศิษย์หลานของฉันไปตัดเถาวัลย์ตี้หวังกลับมาตากแห้งเก็บไว้ เอาไว้ให้พวกแม่ม้าที่ตั้งท้องกินเสริม”
งูเถาวัลย์ก็คุ้นเคยกับตี้อู๋เปียน มันไม่มีทางทำร้ายเขา เธอไม่ไป ให้เขาไปแทนเหมาะสมที่สุดแล้ว
“ได้เลย”
มู่เถาเยาพยักหน้าแล้วมองเจียงเฟิงเหมียน “เสี่ยวเหมียน”
“พี่เยาเยา” เจียงเฟิงเหมียนวิ่งเข้ามา ใบหน้ายิ้มแฉ่ง
“พรุ่งนี้คุณลุงผู้ใหญ่บ้านกับป้าเฟยจะไปดูเสี่ยวเหมียนที่เมืองโบราณผิงจิน เธอจะไปด้วยไหม”
“แต่ฉันใกล้เปิดเทอมแล้วน่ะสิคะ”
“คุณลุงผู้ใหญ่บ้านกับป้าเฟยไปแค่สองวัน พี่ขอให้นักบินของพี่สามไปส่งให้ ขากลับต้องไปส่งของที่เมืองหลวงก่อน” เครื่องบินของเธอเร็ว บินไปที่ไกลๆ อย่างที่เผ่าเหมาะสมกว่า
เสี่ยวหว่านยังต้องถ่ายทำอีกหนึ่งเดือนกว่าจะปิดกล้อง
บทของนางรองเป่ยเหยามีอยู่ไม่น้อย
“เอาสิคะ งั้นฉันจะไปดูพี่เสี่ยวหว่านกับพี่เหลียงจี ไว้ตอนหยุดวันชาติค่อยกลับเมืองเย่ว์ตู” หลายวันก่อนพ่อแม่ของเธอกับพวกศิษย์พี่เพิ่งมาหมู่บ้านเถาหยวนซานกันไป ตอนนี้เธอจึงไม่รีบร้อนกลับบ้าน
“อืม วันมะรืนพวกเราก็กลับเผ่าแล้ว”
ทุกคนพยักหน้า
จางเฟยภรรยาผู้ใหญ่บ้านมาเชิญพวกเขาไปกินอาหารเย็นที่บ้านอดีตผู้ใหญ่บ้าน
มู่เถาเยาจึงถือโอกาสบอกเรื่องที่พรุ่งนี้เสี่ยวเหมียนจะไปดูเสี่ยวหว่านด้วย ขากลับจะแวะไปเมืองหลวงก่อน ฝากผู้ใหญ่บ้านกับป้าเฟยเอาของดีท้องถิ่นกับยาที่ทำจากผลเหมยไปให้ตระกูลตี้ ตระกูลเซี่ย และครอบครัวศิษย์พี่สาม
ครั้งนี้ผลเหมยทำยาได้ไม่เยอะ จึงไม่คิดจะขาย เอาไว้ให้คนในหมู่บ้านเถาหยวนซานกินกับแจกจ่ายญาติๆ เพื่อนๆ
ส่วนที่แบ่งไว้ให้ตระกูลจั่วยังไม่ได้เอาไปให้ เพราะพวกเขาสามคนพาผู้อาวุโสทั้งสองในตระกูลออกไปเที่ยวแล้ว
นับตั้งแต่บริจาคเงินจำนวนมหาศาลให้ตี้อู๋เปียนเพื่อใช้สำหรับสร้างถนนและสร้างโรงเรียน คนตระกูลจั่วก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ก่อนออกไปเที่ยวยังตั้งใจโทรหามู่เถาเยา
ตอนนี้จั่วอีเหิงใกล้เปิดเทอมแล้ว พวกเขาก็ใกล้กลับมาแล้ว
อย่างไรเสียก็จัดการบอกทางนี้ไว้แล้ว ต่อให้เธอกลับเผ่าก็ยังคงส่งของให้พวกเขาได้
จางเฟยดีใจมากที่จะได้ช่วยเอาของไปส่งให้ที่เมืองหลวง แต่ไม่ใช่เพราะจะได้เข้าไปในสถานที่อันมีเกียรติอย่างวังตระกูลตี้หรือบ้านตระกูลเซี่ยที่มีแต่ผู้ทรงปัญญา แต่เป็นเพราะได้ช่วยงานของเสี่ยวเยาเยา
ทุกคนคุยกันระหว่างเดินไปบ้านอดีตผู้ใหญ่บ้าน