ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 427 ไม่ต้องคิด(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 427 ไม่ต้องคิด(1)

ตอนที่ 427 ไม่ต้องคิด(1)

เมื่อได้ยินคำพูดขอคุณปู่ เซี่ยปิงชิงก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย

“คุณโม่เป็นแขกของมู่หลาน หนูไปเชิญเขาโดยตรงคงไม่ดีนะคะ”

เซี่ยปิงหรุ่ยก็พยักหน้าแล้วกล่าว “ใช่ค่ะ คุณโม่คนนั้นไม่ได้มาที่บ้านเพื่อพบพวกเรา ถ้าเราไปเชิญเกินหน้าเกินตามู่หลานคงไม่ดีค่ะ”หลังจากพูดจบ เธอก็หันมองผู้อาวุโสด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยถาม “คุณปู่ คุณปู่เชิญมู่หลานกับคนอื่นคงไม่แปลก แต่ทำไมถึงจะให้เชิญคุณโม่คนนั้นด้วยล่ะคะ”

เซี่ยเหยียนซุ่นจ้องมองหลานสาว ก่อนจะเอ่ย“บอกให้พวกแกไปเชิญก็ไปเชิญมาเถอะ จะถามอะไรนักหนา”

ตอนนั้นเองเซี่ยฉางเจี๋ยก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นว่าพ่อกับลูกสาวทั้งสองนของตัวเองเหมือนกำลังทะเลาะกัน จึงอดถามไม่ได้ “เกิดอะไรขึ้นกันครับ?”

เซี่ยปิงหรุ่ยเบะปากพลางเอ่ยเล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลังจากนั้นก็พูดขึ้นต่อ “คุณปู่จะให้ไปปิงชิงไปเชิญเขามากินข้าวด้วย แต่เขาเป็นแขกของมู่หลาน คงจะดูไม่ดีหากไปเชิญมาเอง ไม่คิดว่าคุณปู่จะโกรธขนาดนี้”

เซี่ยฉางเจี๋ยฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น สุดท้ายก็อดหันมองแล้วเอ่ยถามลูกสาวคนโตเสียไม่ได้ “พวกแกบอกว่า…แขกที่ว่านี่ไปทานข้าวกับเฟิงชางเหล่ยกับหยวนเหยียนหลินเหรอ?”

เซี่ยปิงหรุ่ยพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่ค่ะ ไม่คิดว่าเขาจะรู้จักมู่หลานด้วย แถมดูคุ้นเคยกันดี ก็เลยกลับมาพร้อมกับมู่หลานค่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยฉางเจี๋ยก็หันมองไปที่เซี่ยเหยียนซุ่นผู้เป็นพ่อ

เซี่ยเหยียนซุ่นพยักหน้าให้เขา แล้วบอกกล่าว “คงเป็นคนที่ตระกูลอยากเจอมาตลอด”

เซี่ยฉางเจี๋ยได้ยินแบบนี้ สีหน้าก็ดูตื่นเต้นขึ้นมา เขารีบหันไปหาลูกสาวคนเล็กทันทีก่อนจะพูดขึ้น “ปิงชิง แกรีบไปเชิญพวกมู่หลานมาเดี๋ยวนี้เลย ถึงยังไงก็ลองเชิญคุณโม่ด้วยนะ”

แต่สุดท้าย เขาก็ยังกังวลนิดหน่อย “หรือว่าพ่อจะไปที่นั่นกับแกดี”

เมื่อเห็นพ่อดูมีท่าทางกระตือรือร้นมาก เซี่ยปิงชิงจึงตระหนักได้ว่าคุณโม่คนนี้ต้องไม่ธรรมดา เป็นคนที่ครอบครัวของพวกเขาจะคอยประจบประแจง “หนูไม่ไป ถ้าจะไปพ่อก็ไปเองเถอะ”

เซี่ยฉางเจี๋ยได้ยินแบบนี้ เขาก็มองลูกสาวคนเล็กด้วยความโกรธแล้วพูดขึ้น “ฉันไปที่นั่นคนเดียวแล้วมันจะเป็นอย่างไร แกสนิทกับมู่หลานไม่ใช่เหรอ เชิญหล่อนมากินข้าวที่บ้านด้วยตัวเองไม่ได้หรือไง และเจี่ยงสือเหิงก็อยู๋ที่ลานบ้านด้านหลังด้วย”

“ทำไมตอนนี้กลับนึกถึงเจี่ยงสือเหิงล่ะ พวกพ่อไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยที่เขาเป็นแฟนของหนูหรอกเหรอ”

เมื่อเห็นว่าลูกสาวคนเล็กหัวรั้นเช่นนี้ เซี่ยฉางเจี๋ยก็ได้แต่รู้สึกปวดหัวเท่านั้น สุดท้ายจึงหันไปมองทางลูกสาวคนโตแล้วพูดขึ้น “ปิงหรุ่ย แกไปกับฉัน”

เซี่ยนปิงหรุ่ยกำลังจะปฏิเสธ แต่เมื่อเห็นแววตาของพ่อ จึงพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว “ค่ะ”

ขณะที่เซี่ยปิงหรุ่ยกำลังเดินตามเซี่ยฉางเจี๋ยไป หล่อนก็เพิ่งรู้สึกตัว ทำไมหล่อนจึงยอมร่วมมือกันนะ จากนั้นก็รู้สึกรำคาญขึ้นมานิดหน่อยว่าทำไมถึงปฏิเสธคนอย่างเซี่ยฉางเจี๋ยไม่ได้สักที ตั้งแต่เล็กจนโต หล่อนไม่เคยมีความคิดต่อต้านเซี่ยฉางเจี๋ยเลย

ทั้งสองคนเดินมาจนถึงบริเวณลานด้านหลังแล้ว ต่อให้เซี่ยปิงหรุ่ยจะรู้สึกเสียใจมากแค่ไหนก็สายเกินไปแล้ว

ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยฉางเจี๋ยมาหา ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ จากนั้นก็หันมองเซี่ยปิงหรุ่ยแล้วเอ่ยถาม “ปิงหรุ่ย เธอมาทำไมเหรอ”

เซี่ยปิงหรุ่ยพยายามฝืนยิ้ม แล้วเอ่ย “มู่หลาน พวกเรามาชวนเธอไปกินข้าวมื้อเย็นทางฝั่งลานหน้าบ้าน”

และตอนนี้เซี่ยฉางเจี๋ยก็ได้เห็นโม่คุน จึงรู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย คนผู้นี้คือโม่คุนที่พวกเขาเคยได้ยินชื่อมาก่อน ไม่คิดว่าจะเป็นเขาจริง ๆ

เซี่ยฉางเจี๋ยเห็นฉินมู่หลานไม่พูดอะไร จึงรีบเอ่ยทันที “มู่หลาน วันนี้พวกเธอไปเที่ยวมาทั้งวันคงจะเหนื่อยแล้ว มื้อเย็นก็ไปกินกับพวกเราที่ลานหน้าบ้านเถอะ แล้วก็…นี่คือแขกของเธอใช่ไหม เชิญไปร่วมด้วยได้หรือเปล่า ตอนเย็นพวกเราจะได้สนุกกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฉินมู่หลานก็อดยิ้มไมได้

เธอคาดเดาได้ว่าจุดประสงค์ที่ชัดเจนของเซี่ยฉางเจี๋ยในการมาที่นี่คือการเชิญโม่คุน แต่ถึงอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ต้องให้ฝ่ายที่ถูกเชิญเป็นผู้ตัดสินใจ “รัฐมนตรีโม่คะ ถ้าไม่อยากไปทางลานหน้าบ้าน พวกเรากินที่นี่ก็ได้นะคะ”

โม่คุนเห็นว่าฉินมู่หลานเป็นคนตระกูลเซี่ย ในที่สุดเขาจึงพยักหน้าตอบตกลง “พวกเราไปที่ลานหน้าบ้านเถอะครับ ยังไงผมก็มาที่นี่แล้ว ควรจะไปทักทายผู้อาวุโสเสียหน่อย”

เซี่ยฉางเจี๋ยเห็นว่าโม่คุนตอบตกลงแล้ว แววตาจึงเปล่งประกายความตื่นเต้น

เมื่อฉินมุ่หลานเห็นว่าโม่คุนตอบตกลง เธอจึงหันไปมองเซี่ยฉางเจี๋ยแล้วพูดขึ้น “คุณอาเซี่ยคะ ถ้าอย่างนั้นเย็นนี้พวกเราขอรบกวนด้วยนะคะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยฉางเจี๋ยก็รีบโบกมือทันที พลางบอกกล่าว “ที่ไหนกัน พวกเธอไปกินมื้อเย็นด้วยได้ พวกเราเองก็มีความสุข”

เมื่อบรรลุจุดประสงค์แล้ว เซี่ยฉางเจี๋ยก็ไม่รั้งรออยู่นานเกินไป ยกยิ้มแล้วกล่าวลาฉินมู่หลานและคนอื่น ๆ “มู่หลาน ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอกลับก่อนนะ พวกเธอจะได้คุยกันต่อ”

เซี่ยปิงหรุ่ยที่อยู่ข้างหลังยกยิ้มให้ฉินมู่หลาน แล้วเอ่ย “มู่หลาน เจอกันตอนเย็นนะ”ขณะพูดก็มีสีหน้ารู้สึกผิดนิดหน่อย เพราะจุดประสงค์ในการมาที่นี่ของพวกเขาไม่ใช่การมาเชิญพวกฉินมู่หลานมากินข้าวจากใจจริง หล่อนจึงรู้สึกเก้อเขินนิดหน่อย

ฉินมู่หลานไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้มากนัก ยิ้มแล้วโบกมือให้เซี่ยปิงหรุ่ย

หลังจากสองพ่อลูกเซี่ยฉางเจี๋ยกับเซี่ยปิงหรุ่ยไปแล้ว ฉินมู่หลานก็หันมองโม่คุนแล้วพูดขึ้น “รัฐมนตรีโม่ หากไม่อยากอยู่กินมื้อเย็น คุณก็กลับได้เลยนะคะ”

โม่คุนได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะขึ้น

“ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว จะกลับไปเพื่ออะไรกันล่ะครับ อีกอย่างที่ผมเพิ่งพูดไปนั้นก็เป็นเรื่องจริง มาถึงบ้านตระกูลเซี่ยแล้วก็ควรไปทักทายผู้อาวุโสเสียหน่อย”

โม่คุนไม่ได้สนใจว่าจะกินข้าวหรือไม่ สิ่งที่เขาเป็นกังวลมากกว่านั้นคือเรื่องที่ตกลงกับฉินมู่หลานก่อนหน้านี้ “หมอฉินครับ พวกเราตกลงกันแล้วว่าอีกสองวันคุณจะนำยาตัวใหม่มาให้ผมลองกลับไปทดสอบ แล้วเดี๋ยวผมจะเอาผลการทดสอบกลับมาให้ดูนะครับ”

ฉินมู่หลานพยักหน้าตอบตกลงอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย “หากว่ายาของฉันได้ผลดีกว่าของตระกูลหยวน คุณจะสนใจยาฝั่งของฉันมากกว่าหรือเปล่าคะ”

โม่คุนไม่ต้องคิดเรื่องนี้เลย ก่อนจะพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้วครับ ยาทุกตัวที่คุณผลิต เรื่องประสิทธิภาพนั้นไม่ต้องพูดถึงเลย พวกเราเลือกของคุณแน่นอนอยู่แล้วครับ”

เมื่อเห็นท่าทางของโม่คุนดูไม่ลังเล ฉินมู่หลานก็ยกยิ้มขึ้น แต่เธอก็สงสัยเกี่ยวกับตระกูลหยวนนิดหน่อย จึงเอ่ยถามเพิ่มเติม

“รัฐมนตรีโม่คะ ตระกูลหยวนนี่พัฒนายาเก่งมากเลยเหรอคะ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตระกูลหยวนที่ซีอานมาก่อนเลยค่ะ”

อันที่จริงเธอไม่ค่อยรู้จักพวกตระกูลใหญ่ในซีอานมากนัก จนถึงตอนนี้ก็รู้จักเพียงตระกูลเซี่ยหนึ่งตระกูลกับตระกูลเฟิงอีกหนึ่งตระกูล

“ตระกูลหยวนมุ่งเน้นไปทางแพทย์แผนตะวันตกครับ ตระกูลของพวกเขาในช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้พัฒนาขึ้นมาก จนตอนนี้เริ่มจะมีอำนาจมากกว่าตระกูลเซี่ยแล้ว เพราะตอนนี้ผู้คนส่วนใหญ่ยอมไปหาแพทย์แผนตะวันตกมากกว่า”

ผ่านช่วงปีนั้นมา แพทย์แผนจีนได้รับผลกระทบมากที่สุด จึงซบเซาลงมากกว่าเดิม

ฉินมู่หลานได้ยินก็ค่อย ๆ คิ้วขมวด “ดูเหมือนว่าตระกูลเซี่ยกับตระกูลหยวนจะไม่ค่อยถูกกันนะคะ”

โม่คุนพอจะทราบอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าแล้วบอกกล่าว “ใช่ครับ ทั้งสองตระกูลไม่ถูกกันมากเลย”

ใบหน้าของฉินมู่หลานดูตื่นตระหนกเล็กน้อย ไม่แปลกใจเลยที่เซี่ยฉางเจี๋ยจะตั้งใจเข้ามาเชิญโม่คุน ปรากฎว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ที่มีต่อตระกูลหยวนด้วย เพราะโม่คุนคือคนที่ตระกูลหยวนอยากคบค้าด้วยมากที่สุด

เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว ฉินมู่หลานจึงหันมองแล้วบอกกับโม่คุน “รัฐมนตรีโม่คะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกันเลยเถอะ”

โม่คุนได้ยินแบบก็พยักหน้า หลังจากซูหว่านอี๋กับเหยาจิ้งจือและคนอื่น ๆ มาแล้ว คนกลุ่มหนึ่งก็พากันไปที่ลานหน้าบ้าน

เซี่ยเหยียนซุ่นเห็นฉินมู่หลานกับพวกโม่คุนมากันแล้ว ก็ต้อนรับพร้อมรอยยิ้ม “รัฐมนตรีโม่ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

โม่คุนได้ยินแบบนี้ จึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ผู้อาวุโส ไม่ได้เจอกันนานจริง ๆ ครับ”

………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เป็นเรื่องชิงอำนาจระหว่างตระกูลกันไปอีก เรื่องราวดูท่าจะไม่ง่ายเสียแล้วแฮะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท