ตอนที่ 439 ฉันหย่าแล้ว(2)
ตอนที่ 439 ฉันหย่าแล้ว(2)
เฉินเซี่ยวอวิ๋นยิ้มแหยหลังจากได้ยินแบบนี้แล้วกล่าว “ได้ ๆ ฉันไม่พูดแล้ว”
เหมาชุนเถากล่าวต่อ “ใช่ ตอนแรกสามีฉันสนับสนุนมาก แต่พอเรียนผ่านไปได้ภาคเรียนเดียว พ่อแม่เขาก็พูดกรอกหูทั้งวันทั้งคืน ซ้ำยังโดนญาติที่บ้านคอยล้อเลียนอยู่ตลอด ความคิดของเขาจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไป เหอะ…เขาค่อย ๆ เริ่มคิดว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยเลย แค่อยู่บ้านเลี้ยงดูลูกก็พอแล้ว”
“อะไรนะ…ครอบครัวเขาเสียสติกันไปหมดแล้วเหรอ มหาวิทยาลัยสอบเข้ายากมากนะ และเธอก็สอบติดมหาวิทยาลัยปักกิ่งด้วย พวกเขารู้หรือเปล่าว่าสิ่งนี้มันหมายความว่าอย่างไร ถึงแม้จะเป็นที่อื่น ขอเพียงแค่นักศึกษาเรียนจบออกมา นั่นก็เท่ากับเชิดหน้าชูตาให้กับวงศ์ตระกูล แต่ทำไมครอบครัวของพวกเขากลับเห็นเป็นสิ่งไม่จำเป็นเสียอย่างนั้น”
เฉินเซี่ยวอวิ๋นเพิ่งสัญญาอย่างดิบดีในตอนนี้กลับระงับอารมณ์ไม่ไหว จึงบ่นอยู่นาน
เซี่ยปิงหรุ่ยไม่อยากแย้งหล่อนอีกแล้ว แต่ก็เห็นด้วยกับคำพูดนี้ ถึงแม้ตระกูลเซี่ยจะไม่อยากให้ลูกหลานเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่เมื่อหล่อนสอบได้ ที่บ้านก็ยังรู้สึกดีใจมาก
ฉินมู่หลานก็อดหันมองไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถาม “ชุนเถา เพราะเป็นแบบนี้ พวกเธอก็เลยหย่ากันอย่างนั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ แววตาของเหมาชุนเถาก็ดูลังเลไปครู่หนึ่ง เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ
แต่ถึงอย่างนั้นฉินมู่หลานที่เห็นท่าทางของหล่อนเป็นแบบนี้ก็พอจะทราบได้ว่ายังมีอีกประเด็นซ่อนอยู่ คนอื่นก็ไม่ได้โง่เหมือนกัน มองแวบเดียวก็ทราบแล้วว่าเหมาชุนเถายังมีเรื่องที่ไม่ได้บอก
เฉินเซี่ยวอวิ๋นอ้าปากขึ้น ขณะที่กำลังจะเอ่ยถามก็โดนเกาซุนชิวรั้งเอาไว้เสียก่อน หล่อนจึงไม่ได้ถามเพิ่ม
ในทางกลับกัน เหมาชุนเถาพยายามฝืนกลั้นอยู่นานมาก สุดท้ายจึงกล่าวขึ้น “จริง ๆ แล้วสาเหตุที่พวกเราสองสามีภรรยาหย่ากันมันยังมีอีกเรื่องที่สำคัญ คือว่า…พ่อของลูกฉันเขาเล่นชู้กับหลานสาวที่เป็นญาติห่าง ๆ ของแม่สามีฉัน”
“อะไรนะ…”
เฉินเซี่ยวอวิ๋นอุทานออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
“ทำเกินไปแล้ว นี่มันมากเกินไปแล้ว”
ตอนนี้แม้แต่เซี่ยปิงหรุ่ยก็ไม่เอ่ยขัดเฉินเซี่ยวอวิ๋น เพราะหล่อนเองก็รู้สึกว่าสามีของเหมาชุนเถาทำเกินไปจริง ๆ
ตอนนี้เหมาชุนเถาก็อดหลั่งน้ำตาอีกครั้งไม่ได้ “จริง ๆ แล้ว…เรื่องนี้ก็โทษพ่อของลูกฉันคนเดียวไม่ได้หรอก”
“เหมาชุนเถา นี่เธอโง่เหรอ ผู้ชายคนนั้นทำแบบนั้น เธอยังว่าไม่ใช่ความผิดของเขาอีกเหรอ” เฉินเซี่ยวอวิ๋นทนไม่ไหวอีกแล้ว แม้ปกติหล่อนจะเป็นคนที่รอบรู้และคำนึงถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ยิ้มแย้มและควบคุมอารมณ์ตัวเองได้อยู่เสมอ แต่ตอนนี้หล่อนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
ฉินมู่หลานก็หันไปมองเหมือนกัน สุดท้ายจึงเปิดปากบอกอะไรบางอย่าง “ชุนเถา ไม่ใช่ว่ามีคนไปบังคับให้เขาทำนะ เธออย่ามัวจมอยู่กับความสัมพันธ์ในอดีตเลย”
เหมาชุนเถาได้ยินแบบนี้ ก็ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะเอ่ย “เขาโดนบังคับจริง ๆ แม่สามีของฉันมอมเหล้าเขา หลังจากนั้นก็พาเขาไปนอนกับหลานสาวที่เป็นญาติห่าง ๆ ของหล่อน”
ฉินมู่หลาน เซี่ยปิงหรุ่ย เฉินเซี่ยวอวิ๋น สือหยวนฝู เกาซุนชิว “…”
สุดท้ายเกาซุนชิวก็ทนไม่ไหว แค่นหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเอ่ย “บนโลกนี้ยังมีแม่สามีแบบนี้อยู่อีกเหรอ ช่างเปิดโลกเหลือเกิน”
เฉินเซี่ยวอวิ๋นก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว ฉันก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละ”
ในทางตรงกันข้าม สือหยวนฝูกลับเอ่ยขึ้นตามตรง “ชุนเถา ในเมื่อครอบครัวเป็นแบบนี้ เธอหย่าไปก็ดีแล้วล่ะ หลังจากนี้เธอก็จะได้ใช้ชีวิตในทุกวันแบบเรียบง่ายไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย มันดีมากเลยนะ”
เหมาชุนเถาได้ยินแบบนี้ ก็หันมองสือหยวนฝูด้วยสีหน้าตื่นตกใจ แล้วกล่าวขึ้น “แต่ว่า…เธอไม่รู้สึกว่าผู้หญิงที่ผ่านการหย่าร้างมันน่าอายเหรอ”
“น่าอายตรงไหน ผู้หญิงมีชีวิตของตัวเองได้ ทำไมเธอต้องสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไงด้วยล่ะ”
ได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็อดหันไปมองสือหยวนฝูเสียไม่ได้ คิดไม่ถึงเลยว่านี่จะเป็นสือหยวนฝูที่โดนเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงมดูเหมือนจะทำอะไรไม่ค่อยได้ แต่เมื่อหล่อนพูดออกมาแบบนี้ กลายเป็นว่าแสดงจุดยืนให้ผู้หญิงรักและยืนหยัดในตัวเอง
“ใช่แล้วชุนเถา ตอนนี้เรื่องทุกอย่างมันก็เกิดขึ้นแล้ว เธอหย่าแล้วก็ดี ต่อไปก็ตั้งใจเรียนหนังสือ หลังเรียนจบก็หางานดี ๆ ทำ ถึงตอนนั้นเขานั่นแหละที่จะเสียใจ” ฉินมู่หลานพูดให้กำลังใจเพิ่ม แต่เป็นเพราะตัวเองมีลูกแล้ว เธอจึงทราบว่าสิ่งที่ปล่อยวางยากที่สุดก็คือเรื่องลูก
“ชุนเถา แล้วลูกชายเธอล่ะ?”
เมื่อพูดถึงลูกชายตัวเอง สีหน้าของเหมาชุนเถาก็เต็มไปด้วยความคิดถึง หลังจากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าใจ “ลูกจะให้อยู่กับพ่อเขา ทางบ้านไม่ยอมให้ลูกชายคอยตามติดฉัน”
ทุกคนได้ยินแบบนี้ อยู่ ๆ ก็ไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากฉินมู่หลานแล้ว พวกเธอยังไม่มีลูกกันเลย ดังนั้นแม้จะทราบว่าเหมาชุนเถาเศร้าใจมาก แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจความรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง คิดเพียงว่าหากตัดเรื่องลูกชายออกไป เหมาชุนเถาอาจจะเรียนหนังสือได้ดีขึ้น
แต่ฉินมู่หลานจ้องมองเหมาชุนเถาแล้วเอ่ยถามขึ้น “แล้วเธออยากจะเอาลูกชายมาเลี้ยงไหม?”
“ฉัน…”
เหมาชุนเถาพูดไม่ออก เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นลูกชายของเธอ แต่เธอกลับไม่มีเวลาเลี้ยงดูเขาเลย “ฉันยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ เดิมทีก็ไม่มีเวลาดูแลลูก ยิ่งคนในบ้านฉันยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เหอะ…ลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วก็เหมือนถูกโยนทิ้ง ยิ่งตอนนี้ฉันหย่าแล้วด้วย พวกเขาไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับฉันอีกแล้วล่ะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้จึงกล่าวขึ้น “ถ้าเธออยากเอาลูกมาอยู่ด้วยจริง ๆ ก็ทำได้นะ ถ้าไม่มีใครช่วยดูแลลูกของเธอ เธอก็พาเขามาที่ปักกิ่งได้ แต่ถ้ามาแล้ว เธอต้องลำบากมากแน่”
“พามาที่ปักกิ่ง?”
นี่เป็นเรื่องที่เหมาชุนเถาไม่คาดคิดมาก่อน หล่อนไม่ทราบว่าหลังจากที่ลูกชายมาปักกิ่งแล้ว ตนกับลูกจะอยู่ด้วยกันอย่างไร
“ตอนนี้ลูกชายเธออายุเท่าไร่แล้ว?”
“แปดขวบแล้ว”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ “ชุนเถา ที่แท้ลูกชายของเธอก็โตขนาดนี้แล้ว ถ้าเขาโตแล้วเธอก็ไม่ต้องกังวลหรอก ตอนกลางวันที่เธอมาเรียนเขาก็ไปโรงเรียน หลังจากเลิกเรียน พวกเธอสองแม่ลูกก็กลับบ้านด้วยกัน นี่เป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะ”
หลังจากได้ฟังคำพูดของฉินมู่หลาน ทุกคนก็รู้สึกดีขึ้นมาก
“ใช่แล้วชุนเถา ลูกชายเธอโตขนาดนี้แล้วต้องเข้าเรียนชั้นประถม ถึงตอนนั้นพวกเธอสองแม่ลูกก็ไปเรียนและเลิกเรียนพร้อมกัน ไม่จำเป็นต้องให้เธอคอยดูแลหรอก”
เหมาชุนเถาได้ยินแบบนี้ จึงคิดอย่างถี่ถ้วน แต่ก็ยังพบว่าเป็นเรื่องยาก
“แต่ถ้าลูกชายของฉันอยู่ที่นี่ ฉันก็ไม่รู้ว่าจะมีปัญญาให้เขาไปโรงเรียนได้หรือเปล่า ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่ายของพวกเราสองแม่ลูกอีก ฉันไม่สามารถส่งพวกเราเรียนทั้งสองคนได้หรอก” หากหล่อนเรียนเพียงแค่คนเดียวก็สามารถพักอยู่ในหอพักของมหาวิทยาลัยได้ แต่หากพาลูกชายมาด้วย หล่อนคงพักอยู่ในหอพักมหาวิทยาลัยไม่ได้อีกแล้ว ถึงตอนนั้นก็คงต้องหาเช่าบ้าน ซึ่งหล่อนไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น
“ไม่เป็นไรนะ เธอยังมีพวกเรา”
…………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หย่ากับครอบครัวสามีแบบนี้ไปเถอะค่ะ มีแล้วเป็นภาระชีวิตเปล่าๆ
ดูเหมือนว่าเรือนสี่ประสานที่เปิดให้เช่าจะได้ใช้งานจริงแล้วล่ะมู่หลาน
ไหหม่า(海馬)