ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 452 ใกล้คลอด(1)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 452 ใกล้คลอด(1)

ตอนที่ 452 ใกล้คลอด(1)

ครั้นฉินมู่หลานกลับมาถึงมหาวิทยาลัย ก็ตรงไปที่ห้องเรียนทันที

เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นฉินมู่หลาน ก็รีบโบกมือให้เธอ “มู่หลาน ทางนี้”

ฉินมู่หลานเห็นเซี่ยปิงหรุ่ยนั่งอยู่แถวท้ายสุดแล้วก็ยิ้มแล้วเดินตรงไปหา หลังจากเธอนั่งลง เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดถามไม่ได้ “เซี่ยเจ๋อหลี่ของเธอกลับไปแล้วเหรอ เธอถึงได้มาเรียนเนี่ย”

“ใช่แล้ว อาหลี่กลับฐานทัพแล้ว”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยปิงหรุ่ยก็อดกล่าวไม่ได้ “พอมีคนรักอยู่ข้าง ๆ เธอก็ไม่สนใจเรื่องเรียนแล้ว ตอนนี้คนกลับไปแล้ว เธอถึงเพิ่งมาเรียน” แต่หลังจากนั้น หล่อนก็อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะเอ่ย “จริง ๆ ถึงเธอจะไม่มาเรียนก็ไม่เป็นไร ในเมื่อเธอรู้ในสิ่งที่มหาวิทยาลัยสอนอยู่แล้ว”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็หันมองเซี่ยปิงหรุ่ยแล้วพูดขึ้น “เธอก็เข้าใจทุกอย่างเหมือนกันไม่ใช่เหรอ แต่ก็ยังมาเรียนอยู่นี่นา”

“นั่นเป็นเพราะเธอเคยพูดเอาไว้ไม่ใช่เหรอ ว่าดูให้เยอะฟังให้มาก ความเข้าใจก็จะค่อย ๆ เพิ่มมากกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้นอยู่ที่บ้านก็ไม่มีอะไรทำ ก็เลยมาเรียนยังไงล่ะ”

พูดจบ เซี่ยปิงหรุ่ยก็รีบพูดเรื่องอื่นขึ้นมา

“จริงสิมู่หลาน พวคุณปู่บอกว่าอีกไม่นานจะมาปักกิ่ง ถึงเวลาจะมาหาเธอด้วย พวกเขามีเรื่องอยากปรึกษากับเธอเยอะมากเลย”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็เอ่ยถาม “พวกคุณปู่ของเธอจะมาเมื่อไหร่เหรอ?”

“อาจจะต้องรอถึงช่วงสิ้นเดือนธันวาคม ที่มาครั้งนี้ก็เพื่อจะคุยเรื่องอาหารเสริมความงามกับเธอ ได้ยินว่าแม่ฉันลองใช้แล้วได้ผลอัศจรรย์มาก ครั้งนี้แม่ก็จะมาเหมือนกัน จะมาหาฉันกับปิงชิงด้วย”

ฉินมู่หลานได้ยินว่าเซิงลี่จะมาด้วย ก็อดยิ้มแล้วกล่าวเสียไม่ได้ “ฉันก็บอกแล้วไงว่าจะต้องได้ผล เธอไม่เห็นเหรอว่าแม่กับแม่สามีของฉันดูดีขึ้นมากเลยนะ ทั้งหมดเป็นเพราะฉันปรุงยาพวกนี้ให้พวกท่านกิน นอกจากนี้ยังใช้ผลิตภัณฑ์ของมู่เสวี่ยด้วย ผิวพรรณเลยยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ”

“ก่อนหน้านี้แม่ของฉันไม่เชื่อ พอเห็นผลลัพธ์แล้วก็ประหลาดใจมาก”

ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน อาจารย์ก็เดินเข้ามาแล้ว

อาจารย์ประจำชั้นเห็นว่าฉินมู่หลานกลับมาแล้ว ขณะสอนจึงถามเธอเยอะมาก แต่ก็เห็นว่าฉินมู่หลานตอบคำถามได้อย่างคล่องแคล่ว ดูไม่เหมือนคนขาดเรียนเลย

“ดูเหมือนว่าสหายฉินของเราจะยังโดดเด่นไม่แพ้ใครอีกตามเคยเลยนะ รีบนั่งลงเถอะ” พูดจบก็หันมองคนอื่น แล้วกล่าว “พวกเธอก็ควรเรียนรู้ให้ได้เหมือนสหายฉินนะ”

“โอ๊ย…”

หลายคนกำลังร่ำไห้ที่ฉินมู่หลานไม่ได้อยู่มาตรฐานเดียวกันกับพวกเขา นอกจากพวกเขาจะอิจฉาแล้ว เธอก็เป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนเหมือนกัน ทำให้พวกเขาตั้งใจมากขึ้น ต่อให้ยังแพ้เหมือนเดิม แต่พวกเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อจะตามให้ทัน

เมื่อเห็นนักศึกษามีความกระตือรือร้นสูง อาจารย์ก็พยักหน้าด้วยความพออกพอใจ

จนกระทั่งคาบเรียนช่วงเช้าจบลง ฉินมู่หลานก็วางแผนจะไปห้างสรรพสินค้าเสียหน่อย

เซี่ยปิงหรุ่ยเห็นว่าฉินมู่หลานจะไม่ไปโรงอาหาร จึงอดถามไม่ได้ “เธอจะไปไหนน่ะ ไม่ไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารเหรอ?”

“ฉันมีธุระต้องไปเจอเพื่อนสักหน่อย เดี๋ยวจะรีบกลับมา”

“งั้นก็ได้ ฉันจะไปกินข้าวกับชุนเถาแล้วกัน” เซี่ยปิงหรุ่ยอดส่ายหัวไม่ได้

ฉินมู่หลานก็ไปหาเยว่เจินจูตามแผนที่วางไว้ นอกจากพูดคุยเรื่องก่อนหน้านี้แล้ว ก็คิดจะนัดพบกับหลิวเสวียข่ายเพื่อจะพูดคุยกับเขาเรื่องยาเสริมความงามด้วย ซึ่งเธอคิดว่าจะส่งออกไปขายในต่างประเทศแลกเปลี่ยนเงินตราให้มากยิ่งขึ้น

หลังจากฉินมู่หลานมาถึงห้างสรรพสินค้า ก็พบว่าเยว่เจินจูไม่อยู่ที่นั่น เธอจึงหันไปมองพนักงานขายอีกคนแล้วถาม “เยว่เจินจูล่ะ วันนี้หล่อนไม่อยู่เหรอ?”

แน่นอนว่าพนักงานขายคนนั้นก็รู้จักฉินมู่หลาน หล่อนจึงพยักหน้าแล้วบอกอย่างรวดเร็ว “ค่ะ วันนี้เจินจูไม่มา น่าจะขอลามั้งคะ?”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็คิ้วขมวดนิดหน่อย เท่าที่เธอทราบ เยว่เจินจูอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าทุกวัน ไม่คาดว่าวันนี้จะลา

พนักงานขายคนนี้ก็ค่อนข้างสนิทกับเยว่เจินจู เมื่อเจอฉินมู่หลาน สีหน้าของหล่อนจึงดูลังเลมาก

ฉินมู่หลานสังเกตเห็น จึงอดถามไม่ได้ “ทำไมเหรอ หรือว่าเจินจูมีเรื่องอะไรหรือเปล่า ถึงได้ขอลาหยุด”

พนักงานขายคนนั้นเห็นฉินมู่หลานถามแล้ว จึงไม่ลังเลอีก แล้วบอกกล่าวตามตรง “ช่วงสองวันมานี้เยว่เจินจูอารมณ์ไม่ค่อยดีค่ะ เป็นเพราะครอบครัวของแฟนมาหาหล่อน ถึงท่าทางพวกเขาจะอ่อนโยนด้วย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นด้วยเรื่องที่หล่อนคบหากับแฟนอยู่ค่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็คิ้วขมวดนิดหน่อย

“แล้วแฟนของหล่อนรู้เรื่องนี้ไหม?”

“เรื่องน้ไม่ทราบค่ะ ช่วงสองวันนี้แฟนของหล่อนไม่ได้มาหาเลย เจินจูอาจจะไม่ได้มีโอกาสบอก”

ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วกล่าว “เอาล่ะ ฉันรับทราบแล้ว”

ว่าแล้วเธอก็ไม่อยู่ต่อ ออกจากห้างสรรพสินค้าทันที แล้ววางแผนจะไปที่บ้านของเยว่เจินจู ซึ่งจำได้ว่าบ้านของเยว่เจินจูอยู่ไม่ไกลนัก

เมื่อฉินมู่หลานมาถึงบ้านของเยว่เจินจู ก็พบว่าหล่อนอยู่บ้านคนเดียว

เยว่เจินจูรู้สึกแปลกใจมากเมื่อเห็นฉินมู่หลานมาหา จากนั้นก็รีบเช็ดหน้าเช็ตา แล้วพูดขึ้น “มู่หลาน เธอมาได้ยังไงเนี่ย?”

“ฉันได้ยินว่าเธอลาหยุด ก็เลยมาดูหน่อย ไม่เป็นไรใช่ไหม”

เยว่เจินจูรีบปั้นรอยยิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉันไม่เป็นไร”

ครั้นเห็นสีหน้าซีดเซียวของเยว่เจินจูที่ประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูแย่ยิ่งกว่าหลังร้องไห้ ฉินมู่หลานจึงพูดขึ้นตามตรง “เอาเถอะ ไม่ต้องฝืนตัวเองให้ยิ้มหรอกนะ ฉันรู้เรื่องหมดแล้ว”

เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของเยว่เจินจูก็ดูประหลาดใจ จากนั้นก็ตระหนักขึ้นได้

“มู่หลาน เธอไปที่ห้างมาเหรอ?”

“ใช่แล้ว ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกำลังเศร้าอยู่ที่บ้านคนเดียว”

เยว่เจินจูรีบส่ายหัวปฏิเสธ “เปล่านะ ฉันไม่ได้เศร้า”

ฉินมู่หลานไม่พูดมาก มองเยว่เจินจูแล้วพูดขึ้น เธอจะให้ฉันยืนอยู่ข้างนอกตลอดเลยเหรอ”

เยว่เจินจูตระหนักได้ ก็รีบหลีกทางให้ แล้วพาฉินมู่หลานเข้าไปในบ้าน

หลังจากทั้งสองเข้าไปนั่งข้างใน ฉินมู่หลานก็พูดเข้าประเด็นโดยตรง “หลิวเสวียข่ายรู้เรื่องนี้หรือยัง?”

เยว่เจินจูส่ายหัว แล้วบอกกล่าว “เขายังไม่รู้ สองวันนี้เขายุ่งมาก ไม่ได้มาหาฉันเลย ฉันเลยยังไม่มีโอกาสได้บอกเขา”

“ถ้าเธอเจอเขาก็รีบบอกนะ ให้เขาได้รู้ว่าคนในครอบครัวของเขาทำอะไร จากนั้นเขาจะได้รีบไปจัดการแก้ปัญหา เขาเองก็ชอบเธอ ถ้าอยากจะอยู่กับเธอ ก็ต้องจัดการเรื่องคนในครอบครัวด้วยตัวเอง”

ตอนแรกเยว่เจินจูยังรู้สึกอึดอัดมาก แต่หลังจากได้ฟังคำพูดของฉินมู่หลาน หล่อนก็อดพูดไม่ได้ “แต่ถ้าครอบครัวเขาไม่เห็นด้วยล่ะ”

“ไม่ได้เกี่ยวกับเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่มันอยู่ที่ว่าหลิวเสวียข่ายยอมทำเพื่อเธอได้ขนาดไหน ทั้งฝั่งเธอและครอบครัวของเขา ต้องมีฝั่งหนึ่งที่ยอมถอยให้ ทุกอย่างจึงขึ้นอยู่กับหลิวเสวียข่ายว่าจะให้ฝั่งไหนเป็นคนถอย หากครอบครัวเขาไม่เห็นด้วยแล้วเขาอยากจะเลิกกับเธอ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจ ไม่จำเป็นที่จะต้องอาลัยอาวรณ์ผู้ชายแบบนี้ แต่ถ้าหากเขายืนหยัดยอมต่อสู้กับครอบครัวเต็มที่เพื่อเธอ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจแล้ว เธอแค่รอเขาจัดการก็พอ”

“อย่าง…อย่างนั้นเหรอ?”

อารมณ์ของเยว่เจินจูในตอนแรกกำลังตกต่ำมาก รู้สึกเศร้าจนอยากจะร้องไห้ตลอดเวลา แต่หลังจากได้ฟังความคิดของฉินมู่หลานแล้ว อยู่ ๆ ก็ตระหนักได้ว่าเป็นเช่นนี้เอง เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับหลิวเสวียข่ายแล้ว ต่อให้หล่อนมัวแต่ร้องไห้เสียใจมันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไร

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ฮึบไว้นะเจินจู เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายชายแล้วว่าจะจัดการยังไง

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท