ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 453 ใกล้คลอด(2)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 453 ใกล้คลอด(2)

ตอนที่ 453 ใกล้คลอด(2)

เมื่อคิดได้แบบนั้น อยู่ ๆ อารมณ์ของเยว่เจินจูก็ดีขึ้นอย่างทันตา

“มู่หลาน เธอพูดถูกแล้ว เรื่องนี้ควรบอกให้หลิวเสวียข่ายรู้ จากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป ก็ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าแล้วกล่าวขึ้น “ใช่แล้ว อย่างนั้นแหละ”

เยว่เจินจูเช็ดหน้าเช็ดตาอีกครั้ง จากนั้นก็หันมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยถาม “มู่หลาน วันนี้เธอมาหาฉันมีธุระอะไรหรือเปล่า?”

“ตอนแรกฉันว่าจะมาคุยกับเธอเรื่องจัดหานักแสดง แต่เอาไว้ฉันค่อยคุยกับเธอครั้งหน้าดีกว่า”

เยว่เจินจูส่ายหัวแล้วกล่าว “ไม่ต้องหรอกมู่หลาน คุยตอนนี้ได้เลย”

เมื่อเห็นแววตาของฉินมู่หลานดูสงสัย เยว่เจินจูก็รีบกล่าวทันที “มู่หลาน ตอนนี้ฉันดีขึ้นมากแล้ว คุยตอนนี้เลยก็ได้”

ฉินมู่หลานเห็นว่าอารมณ์ของเยว่เจินจูดีขึ้นแล้วจริง ๆ ก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าว “อย่างนั้นก็ได้ พวกเรามาคุยกันให้เสร็จตอนนี้เลย”

จากนั้นฉินมู่หลานก็เริ่มเล่าแผนของเธอ “ฉันได้ยินว่ามีละครโทรทัศน์หลายเรื่องที่กำลังจะถ่ายทำ พวกเราแค่ตรงเข้าไปที่กองถ่าย จากนั้นก็ลองแต่งหน้าให้นักแสดง ให้พวกเขาได้เห็นประสิทธิภาพของเครื่องสำอางแบรนด์มู่เสวี่ยของเรา ฉันเชื่อว่าวิธีการนี้ได้ผลที่สุด”

เมื่อได้ยินแบบนี้ แววตาของเยว่เจินจูก็เปล่งประกาย แล้วพูดขึ้น “ใช่แล้ว และเราก็ทำการแต่งหน้าแบบต่าง ๆ ให้เหมาะสมตามละครทีวีได้ด้วย แบบนี้ทุกคนก็จะได้เห็นว่าเครื่องสำอางของพวกเราดีไหน”

“แต่ว่าถ้าเป็นอย่างนั้น ฉันก็อยากจะให้เธอไปด้วย เพราะไม่มีใครแต่งหน้าได้ดีเท่ากับเธออีกแล้ว เพราะฉะนั้นเธอลองคิดดูนะ”

เยว่เจินจูตอบตกลงทันที

“มู่หลาน ถ้าเป็นตอนนี้ฉันก็ไปได้เลยนะ”

เมื่อเห็นเยว่เจินจูดูกระตือรือร้น ฉินมู่หลานก็อดยิ้มแล้วกล่าวเสียไม่ได้ “ใช่ ต้องแบบนี้สิ”

บางครั้งงานก็เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิง อย่ามัวจมปลักไปกับความรัก ขอเพียงแค่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี เท่านี้ก็สามารถเปล่งประกายได้

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอะไรแล้ว หลังจากติดต่อเรียบร้อย ฉันจะมาบอกเธอนะ”

“ได้ ฉันจะรอข่าวจากเธอ”

เมื่อมีเรื่องที่ต้องทำ จิตวิญญาณของเยว่เจินจูจึงแตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

ฉินมู่หลานไม่ได้พูดเรื่องหลิวเสวียข่ายอีก เธอตั้งใจจะออกไปหาเขาเองเมื่อมีเวลา ถึงอย่างไรผู้อาวุโสเซี่ยก็ยังไม่มาที่นี่จนกว่าจะถึงช่วงปลายเดือนธันวาคม เพราะฉะนั้นยังมีเวลาอีกเยอะ “ได้เลย ฉันขอตัวกลับก่อนนะ”

“ได้”

จากนั้นฉินมู่หลานก็ได้ทราบเรื่องของหลิวเสวียข่ายกับเยว่เจินจูมานิดหน่อย ว่าหลิวเสวียข่ายอยากอยู่กับเยว่เจินจูจริง ๆ แต่ทางฝั่งครอบครัวเขายังคงไม่เห็นด้วย

หลังจากซูหว่านอี๋กับเหยาจิ้งจือทราบก็อดส่ายหัวไม่ได้ ก่อนจะกล่าวขึ้น “ไม่ร็ว่าสุดท้ายแล้วเยว่เจินจูกับหลิวเสวียข่ายจะได้ลงเอยกันไหม”

“ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับว่าหลิวเสวียข่ายโน้มน้าวกับทางครอบครัวได้หรือเปล่านั่นแหละ”

กรณีนี้ คนนอกเข้าไปยุ่งไม่ได้ ขึ้นอยู่กับตัวของหลิวเสวียข่ายเอง

เหยาจิ้งจือก็กล่าวตาม “ใช่แล้ว หลิวเสวียข่ายทำได้แค่ยืนหยัดสู้เท่านั้น สุดท้ายแล้วตระกูลหลิวก็ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ฉันก็เคยเจอตระกูลหลิวมาก่อนนะ ก็ไม่เห็นว่าพวกเขาจะมีอำนาจอะไรขนาดนั้น”

ซูหว่านอี๋ส่ายหัวแล้วบอกกล่าว “นั่นเป็นเพราะว่าไม่ได้มีอะไรมาเดิมพันยังไงล่ะ ก็เลยไม่ได้วางท่าให้เห็น”

เหยาจิ้งจืออดพยักหน้าไม่ได้ เมื่อนึกย้อนกลับไปช่วงที่มาปักกิ่งแรก ๆ ก็มีคนมากมายดูถูกหล่อนและครอบครัวของหล่อนเหมือนกัน

หลังจากพูดคุยกันไม่กี่ประโยค ก็เปลี่ยนไปพูดถึงเรื่องเสิ่นหรูฮวนแทน

“จริงสิมู่หลาน หรูฮวนใกล้คลอดแล้ว ลูกได้เตรียมของขวัญรับขวัญหลานหรือยัง”

เมื่อได้ยินซูหว่านอี๋พูด ฉินมู่หลานก็พยักหน้าแล้วบอกกล่าวตามตรง “เตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ หนูจะส่งไปให้หรูฮวนในอีกไม่กี่วันนี้”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ตอนนี้ซวี่ตงยังไม่กลับมา ถ้าลูกไปพูดคุยกับหล่อนสักหน่อยก็คงดี ถ้าปล่อยอยู่คนเดียวหล่อนอาจจะเบื่อ”

ฉินมู่หลานก็คิดจะไปเยี่ยมเสิ่นหรูฮวนอยู่พอดี จึงหาวันหยุดในสัปดาห์หน้า แล้วไปหาเสิ่นหรูฮวนที่บ้าน

เสิ่นหรูฮวนเห็นฉินมู่หลานมาหา สีหน้าก็เต็มไปด้วยความปีติยินดี “มู่หลาน ทำไมวันนี้เธอถึงว่างมาล่ะ รีบเข้ามาข้างในก่อนสิ”

ฉินมู่หลานจ้องมองท้องอันใหญ่โตของเสิ่นหรูฮวน แล้วรีบบอกให้หล่อนนั่งลง “เธอไม่ต้องลำบากหรอก ฉันนั่งเองได้”

ถงทิงผิงก็มีความสุขมากเหมือนกันที่ฉินมู่หลานมาเยี่ยมลูกสาว จึงรีบเข้าครัวไปเตรียมชาและของว่างบางส่วน

“มู่หลาน ฉันได้ข่าวจากซวี่ตงแล้ว เขาบอกว่าจะกลับมาหาในอีกสิบวัน ถึงตอนนั้นก็จะอยู่กับฉันได้แล้ว”

เมื่อเห็นสีหน้ายิ้มแย้มของเสิ่นหรูฮวน ฉินมู่หลานก็อดยิ้มไม่ได้ “ก็ดีแล้ว แต่เธอต้องไปโรงพยาบาลล่วงหน้าสักสองสามวันก่อนคลอดหรือเปล่า”

“ล่วงหน้าสองสามวันเหรอ ไม่ใช่ว่ารอพร้อมแล้วไปคลอดที่โรงพยาบาลได้เลยเหรอ”

“ก็มีบางคนที่ไปล่วงหน้าสองสามวัน จะได้อุ่นใจหน่อย อย่างเช่นฉันที่เคยท้องลูกแฝด ตอนนั้นกลัวภาวะคลอดก่อนกำหนด ก็เลยไปโรงพยาบาลเร็วหน่อย”

เมื่อเห็นฉินมู่หลานบอกแบบนี้ เสิ่นหรูฮวนก็ตัดสินใจแบบเดียวกัน “ก็ได้ ฉันก็จะไปโรงพยาบาลล่วงหน้าสักสองสามวันเหมือนกัน ถึงเวลาปวดท้องคลอด จะได้ไม่ต้องรีบร้อนไปโรงพยาบาล จะได้คลอดที่โรงพยาบาลได้เลย”

“ใช่แล้ว”

ระหว่างทั้งสองคุยกัน ถงทิงผิงก็นำผลไม้ ขนมและชาด้วย “มู่หลาน จิบชาก่อนเถอะ”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะน้าถง”

ฉินมู่หลานเพิ่งจิบชาเสร็จ ข้างนอกก็มีการเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้าประตู

ถงทิงผิงหันไปมองแล้วบอกทั้งสอง “พวกลูกคุยกันไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่ไปเปิดประตู”

ไม่นานนัก ถงทิงผิงก็พานายท่านฟู่กับคุณนายฟู่เข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา

เสิ่นหรูฮวนคิดไม่ถึงว่าแม่สามีของเธอจะมา จึงรีบกล่าวทักทาย “แม่ มาทำอะไรเหรอคะ”

คุณนายฟู่ได้ยินแบบนี้ก็อดพูดไม่ได้ “ฉันจะมาเยี่ยมลูกสะใภ้ไม่ได้เหรอ”

“หนู…หนูไม่ได้หมายความอย่างนั้นค่ะ”

ถงทิงผิงทนเห็นลูกสาวถูกรังแกไม่ไหว จึงรีบเอ่ยขึ้นทันที “ญาติลูกเขย หรูฮวนของเราก็แค่ถาม ยังไม่ได้บอกเลยว่าคุณจะมาไม่ได้ แถมปกติหล่อนก็เลี้ยงลูกอยู่ที่บ้าน ก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นพวกคุณจะมาเยี่ยมเลย พอวันนี้เห็นพวกคุณมาหา ก็ต้องรู้สึกแปลกใจอยู่แล้วค่ะ”

เมื่อได้ยนแบบนี้ สีหน้าของคุณนายฟู่ก็ดูไม่ค่อยดี เรื่องนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าหล่อนละเลยลูกสะใภ้ แต่ก็พยายามถอนหายใจเพื่อสงบอารมณ์ แล้วหันมองเสิ่นหรูฮวนก่อนจะพูดขึ้น “เธอใกล้จะคลอดแล้วใช่ไหม เพราะฉะนั้นกลับไปรอคลอดที่บ้านเถอะ”

“อะไรนะคะ…”

เสิ่นหรูฮวนรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย หล่อนสะดวกอยู่ที่บ้านตัวเองมากกว่า เพราะไม่ค่อยสนิทกับพ่อแม่ของสามีสักเท่าใด หากไปบ้านตระกูลฟู่คงรู้สึกไม่สบายใจแน่นอน ตอนนี้หล่อนจวนจะคลอดแล้ว ช่วงนี้จึงไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด

ถงทิงผิงก็ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว หล่อนจ้องมองคุณนายฟู่แล้วกล่าว “พวกเราดูแลหรูฮวนอยู่ที่บ้านอย่างดี ทำไมถึงต้องกลับไปด้วยล่ะคะ ก่อนหน้านี้พวกคุณก็ไม่ได้มาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบอะไร พอตอนใกล้จะคลอดกลับเพิ่งมาพูดแบบนี้ มันหมายความยังไงกันคะ”

คุณนายฟู่คิดไม่ถึงว่าสองแม่ลูกเสิ่นหรูฮวนจะปฏิเสธ หล่อนจึงแค่นเสียงเย็นชา แล้วเอ่ย “ลูกสาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วมีใครเขาอยู่ที่บ้านตัวเองแล้วไม่ไปอยู่ที่บ้านสามีกัน ตอนนี้หล่อนใกล้จะคลอดแล้ว ก็ควรจะกลับไปคลอดที่บ้านของพวกเราหรือเปล่า ถึงเวลาก็ต้องใช้แซ่ฟู่ ไม่ใช่แซ่เสิ่น”

เมื่อได้ยินแบบนี้ สีหน้าของถงทิงผิงก็มืดมนลง

แม้แต่สีหน้าของเสิ่นหรูฮวนก็ดูไม่ดีนัก

ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ ก็หาโอกาสเหมาะสมเอ่ยขึ้นจากข้าง ๆ “คุณน้าฟู่ หรูฮวนใกล้จะคลอดแล้ว หากเปลี่ยนที่อยู่กะทันหันคงไม่เหมาะ ให้หล่อนอยู่ที่บ้านเถอะค่ะ”

เมื่อเห็นคุณนายฟู่มองมา ฉินมู่หลานก็ยิ้มแล้วบอกกล่าวขึ้นทันที “คุณน้าฟู่ น้าคงจะทราบว่าฉันเป็นหมอใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นเรื่องที่ฉันพูดย่อมถูกต้องแน่นอนค่ะ”

“เธอ…”

คุณนายฟู่ปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้ สุดท้ายจึงไม่ได้พาเสิ่นหรูฮวนกลับไป แล้วจากไปพร้อมกับสีหน้ายับยู่

………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เป็นแม่สามีประสาอะไรเนี่ย สะใภ้ท้องตั้งนานไม่มาดูแล มาหวังเห็นหน้าหลานตอนใกล้คลอดเนี่ยนะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท