ตอนที่ 461 ตามเจตนา(2)
ตอนที่ 461 ตามเจตนา(2)
ซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ก็อดพูดไม่ได้ “อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ก็ใกล้จะถึงวันเกิดของเซี่ยฉางชิงแล้ว”
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หล่อนก็นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง จึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อได้ยินว่ามู่หลานจะพาลูกทั้งสองคนของเธอไปด้วย ซูหว่านอี๋ก็ห้ามปรามทันที “มู่หลาน ตอนนี้ลูกท้องแล้ว ไม่ต้องพาเด็ก ๆ ไปหรอก ไม่อย่างนั้นลูกตัวคนเดียวคงจะยุ่งวุ่นวายมากแน่นอน คงกินข้าวดี ๆ ไม่ได้แน่”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองท้องอีกรอบแล้ว
ขออภัย
เกิดเหตุขัดข้องในการเชื่อมต่อ กรุณาลองใหม่อีกครั้ง
“ก็จริงค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปคนเดียว”
ลองใหม่อีกครั้ง
เมื่อถึงวันเกิดของเซี่ยฉางชิง ฉินมู่หลานก็ไปเพียงคนเดียว
เซี่ยฉางชิงเห็นลูกสาวกลับมาก็รู้สึกดีใจ แต่เมื่อพบว่าหลานสาวกับหลานชายไม่ได้มาด้วย จึงอดถามไม่ได้ “มู่หลาน ชิงชิงกับเฉินเฉินล่ะ ทำไมพวกเขาไม่มา”
“พวกเขาอยู่ที่บ้านค่ะ ฉันกลัวว่าฉันแค่คนเดียวจะดูแลทั้งสองคนไม่ได้ ก็เลยไม่ได้พาพวกเขามาด้วย”
คุณนายเซี่ยชอบชิงชิงกับเฉินเฉินมาก ตอนแรกดีใจมากว่าวันนี้จะได้เจอเด็กสองคนนั้น ไม่คิดว่ามู่หลานจะไม่พามาด้วย สีหน้าจึงดูไม่ดีขึ้นมาทันที “พวกเราก็มีกันอยู่ตั้งเยอะ จะดูแลพวกเขาสองคนไม่ไหวได้ยังไงกัน”
ตอนที่ 461 ตามเจตนา(2)
ตอนที่ 461 ตามเจตนา(2)
ซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ก็อดพูดไม่ได้ “อย่างนี้นี่เอง ที่แท้ก็ใกล้จะถึงวันเกิดของเซี่ยฉางชิงแล้ว”
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หล่อนก็นึกย้อนกลับไปถึงเรื่องราวในอดีตอีกครั้ง จึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก แต่เมื่อได้ยินว่ามู่หลานจะพาลูกทั้งสองคนของเธอไปด้วย ซูหว่านอี๋ก็ห้ามปรามทันที “มู่หลาน ตอนนี้ลูกท้องแล้ว ไม่ต้องพาเด็ก ๆ ไปหรอก ไม่อย่างนั้นลูกตัวคนเดียวคงจะยุ่งวุ่นวายมากแน่นอน คงกินข้าวดี ๆ ไม่ได้แน่”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองท้องอีกรอบแล้ว
“ก็จริงค่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปคนเดียว”
เมื่อถึงวันเกิดของเซี่ยฉางชิง ฉินมู่หลานก็ไปเพียงคนเดียว
เซี่ยฉางชิงเห็นลูกสาวกลับมาก็รู้สึกดีใจ แต่เมื่อพบว่าหลานสาวกับหลานชายไม่ได้มาด้วย จึงอดถามไม่ได้ “มู่หลาน ชิงชิงกับเฉินเฉินล่ะ ทำไมพวกเขาไม่มา”
“พวกเขาอยู่ที่บ้านค่ะ ฉันกลัวว่าฉันแค่คนเดียวจะดูแลทั้งสองคนไม่ได้ ก็เลยไม่ได้พาพวกเขามาด้วย”
คุณนายเซี่ยชอบชิงชิงกับเฉินเฉินมาก ตอนแรกดีใจมากว่าวันนี้จะได้เจอเด็กสองคนนั้น ไม่คิดว่ามู่หลานจะไม่พามาด้วย สีหน้าจึงดูไม่ดีขึ้นมาทันที “พวกเราก็มีกันอยู่ตั้งเยอะ จะดูแลพวกเขาสองคนไม่ไหวได้ยังไงกัน”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็เหลือบมองคุณนายเซี่ย
คุณนายเซี่ยเห็นหลานสาวทำตัวแบบนี้ก็รู้สึกขุ่นเคืองมาก เซี่ยฉางชิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงรีบเอ่ยเกลี้ยกล่อมให้ทุกอย่างราบรื่น “แม่ครับ ถึงชิงชิงกับเฉินเฉินมา คนที่ต้องดูแลมากที่สุดก็ต้องเป็นมู่หลาน การที่หล่อนกลัวว่าจะดูแลทั้งสองไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติ พวกเรารีบเข้าไปข้างในกันเถอะครับ”
เมื่อเห็นลูกชายพูดแบบนี้ คุณนายเซี่ยก็ทำได้เพียงสงบสติอารมณ์ ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปข้างใน
เซี่ยฉางชิงเห็นแม่ของตนเดินเข้าไปแล้ว จึงรีบหันมองแล้วพูดกับฉินมู่หลานอย่างรวดเร็ว “มู่หลาน คุณย่าก็ชอบชิงชิงกับเฉินเฉินเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอย่าถือสาเลยนะ”
“วางใจค่ะ ฉันไม่ถือสาอยู่แล้ว”
ฉินมู่หลานกล่าวเสียงเบา สีหน้าเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง เธอไม่ค่อยชอบนายท่านเซี่ยกับคุณนายเซี่ยมากนัก ตอนนี้จะมีเรื่องไม่พอใจกันก็เป็นเรื่องปกติ
เซี่ยฉางชิงเห็นแบบนี้ ก็ไม่เพียงแต่โล่งใจเท่านั้น แต่ยังถอนหายใจด้วยความโล่งอก ด้วยรู้ดีว่าลูกสาวกับครอบครัวของเขาเข้ากันไม่ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
“มู่หลาน วันนี้กินข้าวกันแค่คนในบ้านนะ ไม่มีคนอื่นมาหรอก”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็พยักหน้า ไม่มีคนอื่นก็ดีแล้ว เธอก็ไม่ชอบกินข้าวร่วมกับคนอื่นที่ไม่ค่อยสนิทเหมือนกัน “แค่คนในครอบครัวก็คึกครื้นพอแล้วค่ะ”
ขณะพูดก็หยิบของขวัญที่เตรียมเอาไว้ออกมาแล้วยื่นให้ พลางกล่าว “เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด ก็เลยไม่ได้เตรียมอะไรมาก คุณพ่อรับไปสิคะ”
ยังไม่สายที่เซี่ยฉางชิงจะมีความสุข เขาจะไม่ชอบได้อย่างไร
“มู่หลาน ขอบคุณลูกมากนะ” เซี่ยฉางชิงมองดูกล่องผ้าแสนสวยตรงหน้า พลันอยากรู้เล็กน้อยว่าลูกสาวให้อะไรเขาเป็นของขวัญ แต่ลูกสาวยังอยู่ตรงนี้ หากเปิดดูเลยคงไม่ดีนัก เขาจึงต้องอดทนไม่เปิดมันก่อน
หลังจากทั้งสองเข้าไป เซี่ยฉางชิงก็เชิญให้มู่หลานนั่งลงแล้วดื่มชา
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วนั่งลง แต่ไม่ได้ดื่มชา ดื่มเพียงแค่น้ำเปล่าหนึ่งแก้ว
เริ่นม่านนีเห็นฉินมู่หลานมา ก็รีบยิ้มแล้วเดินเข้ามาหา “มู่หลาน เธอมาเหรอ ไม่เจอกันนานเลย”
“ไม่เจอกันนานเลยค่ะ”
ฉินมู่หลานยิ้มแล้วตอบกลับอย่างเป็นกันเอง
เริ่นม่านนีกับสามีสองคนอยู่ที่นี่ตั้งแต่พบว่าฉินมู่หลานมา ทั้งสองสนิทสนมกับฉินมู่หลานมาก จึงสามารถพูดคุยเรื่องปัญหาครอบครัวบางอย่างกับฉินมู่หลานได้แล้ว “จริงสิมู่หลาน เยว่เจินจูเป็นพนักงานร้านเครื่องสำอางของมู่เสวี่ยใช่ไหม”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็หันไปมอง จากนั้นก็พยักหน้าแล้วบอกล่าว “ใช่ค่ะ เจินจูเป็นพนักงานของมู่เสวี่ย ทำไมอยู่ ๆ พูดถึงเจินจูเหรอคะ”
เริ่นม่านนีก้าวเข้าไปอยู่ข้าง ๆ มู่หลาน แล้วบอกกล่าวเรื่องที่ได้ยินมาให้ฟัง
“หลิวเสวียข่ายคบกับเยว่เจินจูแต่ตระกูลหลิวไม่เห็นด้วยใช่ไหมล่ะ แต่ได้ยินว่าตอนนี้ตระกูลหลิวยอมปล่อยแล้วนะ หลิวเสวียข่ายกับเยว่เจินจูดูเหมือนจะได้ลงเอยกันแล้ว”
ฉินมู่หลานไม่รู้เรื่องนี้เลย เธอเอ่ยถามด้วยความอยากรู้ “จริงเหรอ พี่ไปได้ยินเรื่องนี้มาจากไหนคะ?”
“เป็นอย่างนั้นจริงนะ ก่อนหน้านี้แม่สามีฉันจะแนะนำหลานสาวของเธอให้หลิวเสวียข่าย แต่ปรากฎว่าหลิวเสวียข่ายมีแฟนแล้ว ก็เลยล้มเลิกความคิดนี้ไป ใครจะไปรู้ว่าตระกูลหลิวจะไม่เห็นด้วย แม่สามีของฉันก็เลยมีความคิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่เสียดายที่ยังไม่ทันลงมือ หลิวเสวียข่ายก็ต่อต้านคนในครอบครัว แล้วตัดสินใจแต่งงานกับเยว่เจินจู หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาโน้มน้าวพ่อแม่ของเขายังไง แต่ถึงอย่างนั้นตระกูลหลิวก็ยอมปล่อยแล้ว”
ฉินมู่หลานไม่คิดว่าจะได้ยินข่าวนี้ในวันนี้ จึงรู้สึกยินดีกับเยว่เจินจูเป็นธรรมดา
เมื่อเห็นฉินมู่หลานพูดแบบนั้น เริ่นม่านนีก็พบว่าตนหยิบยกหัวข้อสนทนาขึ้นมาได้ถูกต้อง มู่หลานสนใจเรื่องนี้จริง ๆ หล่อนจึงเล่าเรื่องตระกูลหลิวให้เธอฟังเพิ่มเติม
ฉินมู่หลานให้ความสนใจมากจริง ๆ จึงคอยฟังเริ่นม่านนีพูดคุยเกี่ยวกับตระกูลหลิวและเรื่องซุบซิบในปักกิ่ง
ว่านจี้อวิ๋นเดินเข้ามา เมื่อเห็นลูกสะใภ้กับมู่หลานพูดคุยหัวเราะคิกคักกัน จึงยิ้มแล้วเดินเข้ามา พลางเอ่ยขึ้น “มู่หลาน ม่านนี พวกเธอกำลังคุยอะไรกันอยู่เหรอ ท่าทางมีความสุขจัง”
“แม่คะ พวกเราคุยเรื่องทั่วไปค่ะ”
เห็นลูกสะใภ้พูดแบบนี้ ว่านจี้อวิ๋นจึงไม่เอ่ยถามมากอีก เพราะหล่อนที่นี่เพราะเรื่องของลูกชาย “มู่หลาน พี่เธอเขาออกไปทำงานตั้งแต่เช้า อีกไม่นานก็จะกลับมาแล้ว ถึงตอนนั้นช่วยตรวจชีพจรให้เขาหน่อยนะ”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ไม่ปฏิเสธ เมื่อเซี่ยอวี๋เซิงกลับมาก็ตรวจชีพจรให้เขาทันที ก่อนจะพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “พี่อาการดีขึ้นมาแล้วค่ะ อดทนต่อไปอีกหน่อยก็เรียบร้อยแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยอวี๋เซิงก็อดพยักหน้าไม่ได้ ก่อนจะเอ่ย “ได้ ฉันจะทำตามเธอแน่นอนมู่หลาน”
ฉินมู่หลานชอบคนไข้ที่เชื่อฟัง จึงยิ้มแล้วพยักหน้า
เมื่อเซี่ยฉางชิงมา ก็พบว่าลูกสาวกับหลานชายและหลานสะใภ้ค่อนข้างสนิทกัน แววตาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “มู่หลาน อวี๋เซิง ม่านนี กินข้าวได้แล้ว”
“ค่ะ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้”
เริ่นม่านนียิ้มแล้วตอบกลับ จากนั้นก็ไปที่ห้องอาหารพร้อมกับมู่หลานและคนอื่น
ถึงแม้งานเลี้ยงจะไม่ใหญ่โต แต่วันนี้เป็นวันเกิดของเซี่ยฉางชิง ตระกูลเซี่ยจึงเตรียมอาหารเลิศรสเอาไว้มากมาย หลังจากทุกคนเริ่มกินก็มีช่วงเวลาที่ดี แต่ที่แปลกสุดคือฉินมู่หลาน ตอนแรกเธออยากอาหาร แต่พอเริ่มกินจริง ก็พบว่ารู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อย เธอจึงไม่กินอีกต่อไป
เซี่ยฉางชิงเห็นแบบนี้ก็รีบเอ่ย “มู่หลาน อาหารไม่ถูกปากหรอ ให้ในครัวทำเพิ่มอีกสักสองสามอย่างไหม”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ส่ายหัวแล้วบอกกล่าว “ไม่ต้องหรอกค่ะ พวกนี้ก็ดีมากแล้ว”
“แน่นอนว่าดีอยู่แล้ว เธอรู้ไหมว่าฉางชิงทุ่มเทกับของพวกนี้ขนาดไหน เป็นเพราะเขารู้ว่าเธอชอบกิน ก็เลยเตรียมอาหารให้เธอเยอะมาก” คุณนายเซี่ยรู้สึกว่าฉินมู่หลานตั้งใจทำแบบนั้น ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าชอบกินของพวกนี้อย่างเห็นได้ชัด
ฉินมู่หลานก็สังเกตได้ เพราะมีของโปรดที่เธอเคยชอบกินหลายอย่างมาก แต่ตอนนี้แย่กว่าเดิมตรงที่รู้สึกพะอืดพะอมแค่เพียงเห็น ไม่ต้องพูดถึงว่าจะกินเลย
เมื่อเห็นมู่หลานไม่กิน เซี่ยฉางชิงจึงทราบว่าเธอไม่อยากกินจริง ๆ จึงรีบชวนเธอให้กินอาหารจานอื่น
ฉินมู่หลานเลือกอาหารรสเบาแล้วกินเพียงสองสามคำ หลังจากนั้นก็ไม่อยากอาหารอีกแล้ว
คุณนายเซี่ยอยากจะพูดอะไรสักหน่อย แต่เมื่อเห็นฉินมู่หลานเป็นแบบนี้ จึงไม่พูดอะไรมาก หลานสาวคนนี้ไม่ใช่คนที่นางจะตำหนิได้ตามใจชอบ
เวลารับประทานอาหารหนึ่งมื้อถูกใช้ไปกับอารมณ์เบื่อหน่ายของฉินมู่หลาน เมื่อกินเสร็จเธอก็วางแผนจะกลับก่อน
“พ่อ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ เอาไว้มีเวลาจะมาใหม่ค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
คุณนายเซี่ยจะทำตัวน่าเคารพนับถือกี่โมง
ท้องนี้ผู้หญิงหรือผู้ชายนะ แพ้ท้องหนักมากเลย
ไหหม่า(海馬)