บทที่ 368 แรงบันดาลใจที่สวนทางกับศักยภาพ
ไป๋เยี่ยไม่เคยลืมการฝึกอบรมแพทย์ฉุกเฉิน แต่เขาไม่คิดว่าคำขอของเฉินเจิ้นปั่งจะฉุกเฉินขนาดนี้ และเขายังต้องการเร่งการฝึกครั้งนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนวันกองทัพด้วย
จะบอกว่ายากก็ไม่ยาก แต่จะบอกว่าง่ายก็ไม่ง่าย
อันที่จริง เรื่องนี้ก็ตำหนิเฉินเจิ้นปั่งไม่ได้ มันไม่ใช่ความคิดชั่ววูบ แต่เป็นการตัดสินใจโดยที่เขาเองก็หวังว่าจะได้เห็นผลลัพธ์
ตอนแรกที่เฉินเจิ้นปั่งก่อตั้งทีมกู้ภัยฉุกเฉินขึ้นมาก็ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก ทุกคนถึงขั้นคิดว่าเฉินเจิ้นปั่งเป็นพวกทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เสียจนคิดว่าทีมกู้ภัยจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้บ้าง
จริงๆ แล้วเฉินเจิ้นปั่งต้องการฝึกทีมกู้ภัยเพียงเพราะอยากแสดงให้ทุกคนเห็นถึงศักยภาพของทีมกู้ภัยและประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของกองทัพ
นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมการฝึกในครั้งนี้
ส่วนสวีเสี่ยวเฉียนนั้น ในแง่ของความสามารถคงไม่อาจปฏิเสธได้ เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ ไม่เช่นนั้นเขาคงทำอะไรมากมายขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อยไม่ได้ หัวหน้าแผนกวัยเพียงสามสิบหกปีนับว่าหายากมากในโรงพยาบาลทหาร
แค่อายุสามสิบหกปีก็เพียงพอต่อการดูแคลนคนในวัยเดียวกันแล้ว
เดิมทีเฉินเจิ้นปั่งอยากให้ไป๋เยี่ยเป็นผู้รับผิดชอบทีมนี้ แต่ไป๋เยี่ยไม่ได้วางแผนไว้ จึงได้แต่ช่างมันไป หลังจากที่คัดเลือกคนมาแล้ว เฉินเจิ้นปั่งก็ตัดสินใจปล่อยให้สวีเสี่ยวเฉียนซึ่งเป็นผู้มีพื้นฐานทางวิชาชีพเข้ามาเป็นผู้นำ ทว่าสวีเสี่ยวเฉียนไม่ได้เป็นหัวหน้าบ่อยนัก เขาจึงให้เฉินจวินเข้ามาดูแลและร่วมมือกันในแง่ของการจัดการและการฝึก
ไป๋เยี่ยไม่สนใจว่าใครคือหัวหน้า เขาเป็นแค่คนที่ถูกเชิญมา เพราะว่าเฉินเจิ้นปั่งคือคนที่ช่วยทำให้เขาได้ครอบครองที่ดินผืนนี้ และทำให้เขาสร้างทีมกู้ภัยที่มีประสิทธิภาพได้ นับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก
หลังจากออกมาจากห้องทำงานของเฉินเจิ้นปั่งแล้ว สวีเสี่ยวเฉียนก็เป็นฝ่ายเริ่มคุยก่อน เขาเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ไปนั่งคุยกันหน่อยไหม มาทำความเข้าใจเรื่องการฝึกกันเถอะ เวลาเรามีน้อยแถมงานก็หนัก มีเวลาก่อนจะถึงกำหนดการฝึกไม่ถึงห้าสิบวันด้วยซ้ำ เราจะต้องพยายามให้มากๆ แล้ว”
ไป๋เยี่ยพยักหน้าเห็นด้วย ส่วนเฉินจวินที่เงียบอยู่นั้นก็พยักหน้าเช่นกัน
อย่างไรเสียการฝึกทหารครั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ความตั้งใจของเฉินเจิ้นปั่งคือการให้ทีมกู้ภัยดังกล่าวได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการฝึกด้วย
มีการเตรียมการสำหรับการฝึกครั้งนี้มาเป็นเวลานานและมีกำหนดการอยู่ในเดือนสิงหาคม
อุบัติเหตุต่างๆ มักเกิดขึ้นระหว่างการฝึกซ้อม ถึงแม้ว่าจะมีการวางเรื่องจำนวนกระสุนที่จะใส่ในปืนและปืนใหญ่ กระทั่งวิถีและจุดตกของกระสุนก็ตาม แต่หลังจากการฝึกซ้อมก็มักจะมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอยู่บ้าง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากระหว่างการซ้อมรบของประเทศอังกฤษและอเมริกา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตนับพันคน เหตุการณ์นี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาดังกล่าว
หลังจากเรื่องการก่อตั้งทีมกู้ภัยของเฉินเจิ้นปั่งถูกส่งต่อไปตามเขตกองทัพหลักอื่นๆ ทุกคนก็ต่างหัวเราะและพูดว่าเฉินเจิ้นปั่งเป็นพวกเพ้อฝันไม่มองความเป็นจริง
อย่างไรเสียกองทัพก็มีโรงพยาบาลสนามและเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เฉพาะทาง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องสร้างทีมเช่นนี้ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้เองทุกคนจึงพูดกันไปต่างๆ นานา
ความคิดนี้ของเหล่าเฉินเกิดขึ้นจากแรงกระตุ้นภายในใจของเขา เขาต้องการให้ทีมกู้ภัยฉุกเฉินเข้าร่วมการฝึกทหารและร่วมมือกับกองทัพเพื่อดูว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร
นั่นจึงเป็นสาเหตุของเรื่องในวันนี้
อันที่จริงไป๋เยี่ยเองก็รู้สึกชื่นชมในวิสัยทัศน์ของเฉินเจิ้นปั่ง เพราะว่าการแพทย์ฉุกเฉิน แพทย์สนามและโรงพยาบาลทหารนั้นแตกต่างกัน แต่สิ่งที่แพทย์ส่วนใหญ่จำเป็นต้องใช้ระหว่างเกิดสงครามคือความรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉิน
ในปัจจุบันที่องค์ความรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉินเติบโตมากขึ้นนั้น กลับมีเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จำนวนมากที่ไม่มีความสามารถในการกู้ภัย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพวกเขาไม่เข้าใจว่าการกู้ภัยคืออะไร พวกเขาเพียงแค่มีจรรยาบรรณของแพทย์เท่านั้น
ดังนั้นการสร้างทีมแบบนี้ขึ้นย่อมก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลในระยะยาว
หลังจากที่ทั้งสามมาถึงที่ทำงาน สวีเสี่ยวเฉียนก็ให้ทั้งสองคนนั่งลง ส่วนตัวเขาก็ไปรินน้ำมาให้ด้วยท่าทีกระตือรืนร้น เขาลูบตอหนวดบนคางของตนเองเบาๆ ก่อนจะเงียบไปสักพัก
เขาต้องการฟังความคิดเห็นของทั้งสองคน ในฐานะที่สวีเสี่ยวเฉียนเป็นผู้นำของทีมนี้ เขาคิดว่าเรื่องนี้จะทำออกมาได้ดีหรือไม่ดีก็ล้วนตกที่ตัวเขาทั้งนั้น หากทำได้ดี ทั้งสามคนก็ต้องได้รับความดีความชอบ แต่ถ้าไม่ ก็ต้องรับบทลงโทษทั้งสามคน
สวีเสี่ยวเฉียนมีความคิดมากมาย เขามองว่าทีมกู้ภัยฉุกเฉินคือโอกาส และเมื่อได้รู้ว่าทีมนี้จะได้เข้าร่วมในการฝึกทหารด้วย สวีเสี่ยวเฉียนก็ยิ่งดีใจ
เขาสืบข้อมูลของทั้งเฉินจวินและไป๋เยี่ย เฉินจวินเป็นเพียงทหารทั่วไป พื้นเพของเขาเป็นคนชนบท เข้ากรมมาตั้งแต่อายุสิบแปดปี ต่อมาเขาทำคุณูปการครั้งยิ่งใหญ่มาสองครั้งจึงได้รับตำแหน่งในหน่วยทหารเกียรติยศและถูกย้ายไปเป็นหัวหน้าหมวดทหารเกณฑ์ใหม่ เขาเป็นคนเรียบง่าย ซื่อตรง พูดน้อยแต่ทำงานหนัก
สวีเสี่ยวเฉียนชอบคนแบบนี้มาก เพราะว่าเป็นคนจำพวกที่เชื่อฟังและทำงานหนัก
แต่เขากลับปวดหัวกับไป๋เยี่ยมาก
หลังจากที่ไปสืบมา เขาก็พบว่าเด็กหนุ่มคนนี้รับมือยากมากจริงๆ พื้นเพของไป๋เยี่ยไม่ชัดเจน แต่ความสามารถของเขาถูกเชิดชูจนสูงส่ง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกันยันตอนนี้ สวีเสี่ยวเฉียนก็มักจะลอบมองไป๋เยี่ยอยู่ประจำว่าแท้จริงเขาเป็นคนแบบไหนกันแน่
สวีเสี่ยวเฉียนไม่ใช่คนโง่ กลับกัน เขามีพื้นเพที่ดีและได้พบเจอสิ่งต่างๆ มาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องระวังตัวให้มาก
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะหนึ่ง เงียบกระทั่งได้ยินเสียงดื่มน้ำ
เฉินจวินยังคงนิ่งเงียบ เขานั่งนิ่งๆ อยู่กับที่พลางทอดสายตาไปข้างหน้า โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ส่วนไป๋เยี่ยก็นั่งเป่าชาให้เย็นลง ดูเหมือนว่าน้ำชานี่จะร้อนมากจริงๆ
สวีเสี่ยวเฉียนยิ้มก่อนจะส่ายหัวเบาๆ “คุณคือไป๋เยี่ยสินะ ผมอายุมากกว่าคุณ งั้นขอเรียกว่าเสี่ยวเยี่ยแล้วกันนะ คุณต้องใส่ใจกับการฝึกฝนครั้งนี้หน่อยนะ พวกเราขึ้นเรือลำเดียวกันแล้ว ต้องตั้งใจทำงานร่วมกัน”
“ทีมของเราจะเข้าร่วมในการฝึกทหารด้วย ดังนั้นเราจะต้องใช้เวลานี้ทำงานออกมาให้ดี เพราะหากมีอะไรผิดพลาดก็คงไม่ใช่เรื่องดีนัก”
ไป๋เยี่ยยกยิ้มเล็กน้อยพลางค่อยๆ วางถ้วยชาลง คำพูดของสวีเสี่ยวเฉียนแฝงนัยยะบางอย่างไว้ ราวกับว่าเขาเป็นเจ้านายที่กำลังมอบหมายงานให้ไป๋เยี่ย
“ครับ ผมรับปากกับเฉินเจิ้นปั่งไว้ว่าจะสร้างทีมกู้ภัยขึ้นมา ผมใส่ใจกับงานนี้แน่นอน” ไป๋เยี่ยพยักหน้า ทว่าตอนนี้เขาอยากจะส่งคำเชิญชวนนั้นคืนให้เฉินเจิ้นปั่งเหลือเกิน เขากำลังทำการทดลองอยู่ ในหัวของเขามีแต่เรื่องการฟื้นตัวของกระดูก ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยอยากใส่ใจสวีเสี่ยวเฉียนนัก
สวีเสี่ยวเฉียนรู้สึกว่าไป๋เยี่ยคงไม่กล้าทำเรื่องผิดพลาด เพราะเฉินเจิ้นปั่งเป็นคนสั่งเขาเอง ยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ยินมาว่าไป๋เยี่ยติดหนี้บุญคุณอีกฝ่ายเรื่องที่ดินโรงพยาบาล 903 ด้วย แล้วเขาจะชดใช้บุญคุณอย่างไรล่ะ
ก็ต้องชดใช้ด้วยทีมกู้ภัยน่ะสิ
สวีเสี่ยวเฉียนยิ้ม เขาไม่สนใจสิ่งที่ไป๋เยี่ยพูด และก็ไม่คิดจะเข้าไปพัวพันด้วย จึงได้แต่พยักหน้ารับ
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เอาอย่างนี้แล้วกัน ผบ.เฉินกลับไปเตรียมการและเริ่มการฝึกฝนโดยเร็วที่สุด ครั้งนี้สมาชิกส่วนใหญ่ในทีมมาจากโรงพยาบาลทหาร มีทหารไม่กี่คน แต่พวกเขาต้องมารับการฝึกแบบทหาร ผมกลัวว่าพวกเขาจะทำได้ไม่ดี ยังไงก็ฝากผบ.เฉินด้วยนะครับ ผมคงช่วยอะไรได้ไม่มาก”
เฉินจวินตอบรับอย่างสุขุม
สวีเสี่ยวเฉียนเห็นท่าทีของเฉินจวินก็ยกยิ้มและหันไปทางไป๋เยี่ย “ส่วนน้องไป๋เยี่ย เราต้องมาวางแผนสำหรับการฝึกกันนะ ผมก็เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ฉุกเฉิน ผมน่าจะพอแบ่งเบาภาระได้บ้าง เอาแบบนี้แล้วกัน ผมจะกลับไปจัดตารางให้ แล้วพวกเราก็มาวางแผนกันอีกที”
ไป๋เยี่ยไม่ได้คัดค้านและตอบตกลงในทันที
หลังจากที่สวีเสี่ยวเฉียนกลับมาถึงบ้าน เขาก็เล่าเหตุการณ์ในวันนี้ให้พ่อของเขาซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลฟัง
สวี่เม่าเซินและสวีเสี่ยวเฉียนนั่งอยู่ในห้องอ่านนั่งสือพร้อมกับกาน้ำชาร้อนๆ บนโต๊ะ สวีเม่าเซินได้ฟังคำของลูกชายก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“แกดูร้อนรนนะ” สวี่เม่าเซินเอ่ยขึ้นช้าๆ พร้อมกับจิบชาในถ้วย
สวีเสี่ยวเฉียนเห็นท่าทีของผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าพ่อของเขามีเรื่องจะพูด
สวี่เม่าเซินวางถ้วยชาลงพลางเหลือบมองลูกชายของตนเอง “กว่าจะเข้าทีมนี้ได้ แกก็พยายามมาไม่น้อย พ่อก็รู้ดีว่าแกอยากแสดงความสามารถและได้รับการยอมรับโดยเฉินเจิ้นปั่งและคนอื่นๆ แต่มีอย่างหนึ่งที่แกลืมไป รู้ไหมว่ามันคืออะไร”
สวีเสี่ยวเฉียนเม้มริมฝีปากแน่น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็คิดไม่ออกจริงๆ “อะไรครับพ่อ”
สวี่เม่าเซินถอนหายใจ เด็กคนนี้ไม่มีปัญหาเรื่องทักษะ แต่เขาจัดการกับเรื่องที่ต้องอาศัยความรอบคอบไม่ได้
อย่างไรก็ตาม สวีเสี่ยวเฉียนก็เดินไปในเส้นทางนี้แล้ว เขาจึงอยากช่วยให้ลูกชายของตนได้ดีบ้าง จึงเอ่ยว่า “จุดประสงค์ในการสร้างทีมนี้ของเฉินเจิ้นปั่งคืออะไร แล้วจุดยืนของไป๋เยี่ยในการสร้างทีมคืออะไร”
สวี่เม่าเซินไม่ได้คาดหวังว่าลูกชายของเขาจะให้คำตอบที่ดีได้ จึงพูดต่อ “แกจะดูถูกไป๋เยี่ยไม่ได้ ทำเรื่องยิ่งใหญ่และผลงานมากมายได้ตั้งแต่อายุยี่สิบห้าแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้”
“หลังจากที่แกเข้าทีมนี้แล้ว พ่อก็ไปรู้มาว่าไป๋เยี่ยคือตัวแปรสำคัญในการก่อตั้งทีมกู้ภัยฉุกเฉินนี้ ถ้าไม่มีไป๋เยี่ย ทีมกู้ภัยก็อาจจะเกิดขึ้นช้ากว่านี้ แกคิดว่าไป๋เยี่ยสำคัญไหม”
“ไป๋เยี่ยดังมาก ดังกว่าพ่อแกอีก เขามาอยู่ที่ปักกิ่งกี่ปีแล้วล่ะ ก็แค่ปีเดียวเท่านั้น เขาเพิ่งได้เรียนปริญญาโทกับหลิวป๋อหลี่เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้วเอง ระยะเวลาแค่หนึ่งปีกับชื่อเสียงที่มากล้นขนาดนี้ แกคิดว่ามันตลกไหม”
สวีเสี่ยวเฉียนได้ยินพ่อของเขาชื่นชมไป๋เยี่ยออกนอกหน้าก็ย่อมรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาเป็นธรรมดา เขาไม่คิดเลยว่าไป๋เยี่ยจะเก่งกาจถึงขั้นนั้น เขาคิดว่าไป๋เยี่ยแค่แสดงเกินจริง ไม่ก็ถูกคนยกย่องเท่านั้น คนคนหนึ่งจะประสบความสำเร็จในสาขาที่แตกต่างกันได้อย่างไร
เมื่อสวี่เม่าเซินเห็นท่าทีของสวีเสี่ยวเฉียน เขาก็อดประเมินลูกชายคนที่สองของตนเองต่ำลงไม่ได้
เขากลัวว่าสวีเสี่ยวเฉียนจะสร้างปัญหาจึงกล่าวเตือนสักหน่อย “แกควรทำหน้าที่ของแกให้ดีเหมือนที่พูดไว้ ไป๋เยี่ยไม่ได้มีผลกับแกขนาดนั้น ไม่ว่าทีมนี้จะประสบความสำเร็จมาแค่ไหน คนที่ได้ผลประโยชน์มากสุดก็คือแก ไป๋เยี่ยก็แค่ลูกมือของแกเท่านั้น”
“เพราะฉะนั้นทนไว้ อย่าจุกจิกกับอะไรมากเกินไป เรื่องนี้ก็ลองเอาไปคุยกับพี่แกดูแล้วกัน พ่อเหนื่อยแล้ว จะรีบไปนอน”
สวี่เม่าเซินพูดจบก็หยุดดื่มชาก่อนจะลุกออกไปจากห้อง
สวีเสี่ยวเฉียนได้แต่เอ่ยทิ้งท้าย “ครับพ่อ รีบนอนเถอะ”
ถึงแม้ว่าเขาจะขานรับไปเช่นนั้น แต่ยิ่งได้ฟังสิ่งที่พ่อพูด เขาก็ยิ่งไม่สบายใจมากขึ้น เขามีพี่ชายอายุสี่สิบปีชื่อสวีเสี่ยวฮุย ซึ่งก็มีชื่อเสียงอยู่พอสมควร
ที่สวีเสี่ยวเฉียนได้เข้ามาในทีมนี้ก็คงต้องขอบคุณแม่และพี่ชายของเขา แต่เมื่อได้ฟังพ่อบอกให้เขาไปคุยกับพี่ชายก็พลันรู้สึกอึดอัดขึ้นมาในทันที
ต่อให้เป็นพี่ชายก็ไม่ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นหรอก…
เขาลุกออกจากห้องของพ่อ ภายในใจยังคงคิดว่าตนจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรได้บ้าง