บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน [符皇] – บทที่ 1305 เฉินซีปะทะเหยียนอวิ๋น

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บทที่ 1305 เฉินซีปะทะเหยียนอวิ๋น

บทที่ 1305 เฉินซีปะทะเหยียนอวิ๋น

เมื่อการถกวิถีเต๋ารอบที่สองใกล้ถึงจุดสิ้นสุด การต่อสู้ทั้งแปดคู่จบลง และในระหว่างนี้ ศิษย์ของสำนักศึกษาเมฆาหมอก สำนักศึกษากระแสวาตะ และสำนักศึกษาเต๋าเร้นลับล้วนพ่ายแพ้ยับเยิน ทั้งยังไม่มีศิษย์คนใดที่ได้เข้าสู่การถกวิถีเต๋าในรอบสุดท้าย

กล่าวอีกนัยหนึ่ง สิ่งที่สำนักทั้งสามทำได้ในตอนนี้ มีเพียงเฝ้าดูการประลองระหว่างศิษย์ของสำนักอื่น ดังนั้นโดยปกติแล้ว พวกเขาจึงรู้สึกท้อแท้และไม่พอใจอย่างมาก แต่ไม่สามารถทำอะไรได้

เนื่องจากมันคือการถกวิถีเต๋า ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง ดังนั้นเมื่อมีผู้ชนะก็ย่อมมีผู้พ่ายแพ้เป็นธรรมดา

ในทางกลับกัน สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ตกที่นั่งลำบากเช่นเดียวกัน ซึ่งถึงขั้นที่ความเสียหายของนั้นหนักกว่าสำนักศึกษากระแสวาตะ สำนักศึกษาเมฆาหมอก และสำนักศึกษาเต๋าเร้นลับ

เนื่องจากในระหว่างการต่อสู้รอบที่สอง เยี่ยถังซึ่งเป็นหนึ่งในหกสุริยันอันเจิดจ้าของภพเซียนได้พ่ายแพ้ ยิ่งกว่านั้น ผู้สืบทอดของเผ่าวิหคอมตะจ้าวเมิ่งหลี และเจิ่นลู่ซึ่งเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับแนวหน้าของภพพุทธองค์ก็พ่ายแพ้เช่นกัน…

เมื่อรวมกับจี้เซวียนปิงที่พ่ายแพ้ในรอบแรก ศิษย์ทั้งห้าคนจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่เข้าร่วมในการถกวิถีเต๋าจึงเหลือแค่เฉินซีคนเดียวเท่านั้น!

การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักในอดีต เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดมาก่อน ดังนั้นมันจึงส่งผลกระทบต่อสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าอย่างมาก ทั้งยังทำลายขวัญกำลังใจอย่างรุนแรง

ณ ปัจจุบัน การถกวิถีเต๋าในรอบที่สองเหลือเพียงการต่อสู้คู่สุดท้ายเท่านั้น และเฉินซีซึ่งเป็นตัวแทนของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าจะประลองกับเหยียนอวิ๋นจากสำนักศึกษาระทมสันต์

หากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าประสบความพ่ายแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ก็จะหมดสิทธิ์โดยสิ้นเชิง และจะไม่สามารถเข้าร่วมการถกวิถีเต๋ารอบสุดท้ายได้

ด้วยเหตุนี้ ความหวังที่จะเป็นผู้ชนะเลิศคนสุดท้ายในการถกวิถีเต๋าก็จะดับลง

นับว่าเป็นสถานการณ์เลวร้ายอย่างถึงที่สุด!

ในขณะนี้ สภาพแวดล้อมโดยรอบเงียบสงัด เหล่าอาจารย์และศิษย์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าต่างก็รู้สึกหนักใจ และไม่สามารถรับความเป็นจริงเหล่านี้ได้

เพราะนี่คือการถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักที่จัดขึ้นในถิ่นของตนเอง หากพ่ายแพ้ต่อสำนักอื่นจริง มันก็คงจะ…เป็นเรื่องขายหน้าอย่างยิ่ง!

ในบริเวณที่สำนักศึกษามหาเดียวดาย สำนักศึกษาระทมสันต์และสำนักศึกษานภาไพศาลอยู่ล้วนเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องสรรเสริญ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์หรือเหล่าศิษย์ ทั้งหมดล้วนมีสีหน้าผ่อนคลาย และเผยท่าทางภาคภูมิของผู้ชนะ

ในการถกวิถีเต๋าครั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขามีความสุขและอิ่มเอมใจ ศิษย์ของสำนักตนแทบจะกวาดล้างศิษย์ของสำนักอื่นจนหมดสิ้น ดังนั้นแม้ว่าการถกวิถีเต๋าจะยังไม่สิ้นสุด แต่ทั้งหมดต่างตั้งตารอช่วงเวลาที่สำนักของพวกตนจะมีชื่อเสียงไปทั่วภพเซียน

เพราะตั้งแต่อวิ๋นฝูเซิงกวาดล้างสำนักต่าง ๆ เพียงลำพังเมื่อหลายปีก่อน พวกเขาก็ไม่เคยอิ่มเอมใจหรือรู้สึกถึงความรุ่งโรจน์เหมือนเช่นวันนี้มาก่อน

“ฮ่า ฮ่า! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าที่เป็นใหญ่เหนือสำนักอื่นจะต้องสิ้นชื่อในวันนี้!”

“เดิมทีข้าคิดว่าศิษย์สายในของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋านั้นต้องแข็งแกร่งมากเป็นแน่ แต่กลับไม่ได้เก่งกล้าอย่างที่คิด หากไม่มีเยี่ยถัง พวกเขาก็ไม่ต่างจากพยัคฆ์ที่ไร้เขี้ยวเล็บ”

“ในความคิดของข้า แม้ว่าหลิงชิงอู๋จะอยู่ที่นี่ แต่นางก็จะพ่ายแพ้ในการถกวิถีเต๋าเหมือนกัน!”

เป็นเรื่องง่ายที่ใครบางคนจะพึงพอใจกับชัยชนะและเกียรติยศ ดังนั้นหลังจากที่สามสำนักได้ลิ้มรสชัยชนะ เหล่าศิษย์จึงอิ่มเอมใจ และแสดงท่าทางอวดดีออกมา

ในทางกลับกัน อาจารย์ที่เป็นผู้นำกลุ่มจากทั้งสามสำนัก ต่างลูบเคราพลางยิ้มแย้ม และไม่ได้ห้ามปรามศิษย์ของพวกตน เนื่องจากศิษย์เหล่านี้อายุยังน้อย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะภาคภูมิใจในความสำเร็จที่ได้รับ

แก๊ง!

ในขณะเดียวกัน เสียงระฆังดังก้อง เป็นสัญญาณเปิดม่านการประลองคู่ที่เก้า

ซึ่งเป็นการประลองคู่สุดท้ายในรอบที่สองของการถกวิถีเต๋า การประลองระหว่างเฉินซีและเหยียนอวิ๋นจากสำนักศึกษาระทมสันต์!

“เฉินซี อย่าได้กดดันตนเองมากเกินไป” บนเมฆมงคล หวังต้าวหลูหายใจเข้าลึก ๆ และข่มความรู้สึกหนักอึ้งที่อยู่ในใจ ก่อนจะยิ้มแล้วให้กำลังใจเฉินซี

“ผู้อาวุโสโปรดอย่ากังวล” เฉินซีพยักหน้า ดวงตาลึกราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ใบหน้าหล่อเหลาปกคลุมไปด้วยความเงียบสงบ นิ่งสงบประหนึ่งจันทร์ในบ่อน้ำโบราณ ไม่ได้เผยอารมณ์ความรู้สึกใด ๆ

เยี่ยถังยิ้มแล้วกล่าวจากทางด้านข้าง “ศิษย์น้องเฉินซี ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร หลังจากการถกวิถีเต๋าจบลง พวกเราพี่น้องจะดื่มให้สาแก่ใจ!”

“แล้วศิษย์น้องอย่างข้าจะปฏิเสธคำเชิญของศิษย์พี่เยี่ยถังได้อย่างไร?” เฉินซียิ้ม

“อย่าได้เอาอย่างจี้เซวียนปิง และบีบคั้นตนเองมากเกินไป” จ้าวเมิ่งหลีกล่าวเตือนอย่างอดไม่ได้ ทว่าทันทีที่กล่าวถึงจี้เซวียนปิง ดวงตาของนางก็หม่นหมองลงทันที ทั้งยังดูเสียใจเล็กน้อย

“ใช่แล้ว ชัยชนะและความพ่ายแพ้เป็นเพียงสิ่งลวงตา เมื่อเทียบกับเส้นทางสู่การแสวงหาเต๋า มันก็แค่น้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร” เจิ่นลู่กล่าวอย่างจริงจัง

“ไว้รอดูอย่างสบายใจเถิด ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ตอนนี้เป็นเพียงรอบที่สองของการถกวิถีเต๋า และยังมีการต่อสู้ที่น่าตื่นตาตื่นใจจะปรากฏขึ้นหลังจากนี้ ดังนั้น อย่าเพิ่งรีบตื่นเต้นเกินไป” เฉินซียิ้มอย่างเบิกบาน จากนั้นหันหลังกลับและขึ้นไปที่สนามประลองทันที

“นึกไม่ถึงว่าชายคนนี้จะรู้จักกล่าวล้อเล่นเช่นกัน…” จ้าวเมิ่งหลีตกตะลึง นางจ้องมองร่างของเฉินซีที่ยืนอยู่บนสนามประลอง แต่เมื่อหวนนึกถึงคำพูดของเขาก่อนหน้านี้ ความกังวลในใจก็พลุ่งพล่านอย่างอดไม่ได้

ไม่ใช่แค่นาง แม้แต่เยี่ยถัง เจิ่นลู่และหวังต้าวหลูก็ตกตะลึง ทั้งยังจมอยู่ในห้วงความคิด…

ในอีกด้านหนึ่ง เหล่าอาจารย์และศิษย์สำนักศึกษาระทมสันต์ต่างส่งเสียงให้กำลังใจเหยียนอวิ๋น

“ศิษย์น้องเหยียนอวิ๋น เจ้านี่มันโชคดีมาก เจ้าได้ประลองกับเฉินซีจริง ๆ และชื่อเสียงของไอ้สารเลวนี้ในภพเซียนก็เป็นที่เลื่องลือมาก ถ้าเจ้าเอาชนะมันได้ ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานเจ้าก็จะโด่งดังไปทั่วโลก!”

“ฮึ่ม! มันก็แค่คนที่มีชื่อเสียงจอมปลอม ศิษย์น้องเหยียนอวิ๋น เจ้าต้องสั่งสอนบทเรียนให้กับเจ้าเด็กนั้นต่อหน้าอาจารย์และศิษย์ทุกคนของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า”

“ไอ้สารเลวนั่นยึดผนึกเทวศสวรรค์ของสำนักศึกษาระทมสันต์ของเราในสมรภูมินอกพิภพ มันช่างน่าชิงชังเสียจริง! ครั้งนี้มันต้องได้รับบทเรียน มิฉะนั้นมันอาจหลงระเริงว่าสามารถกระทำตามอำเภอใจได้ตามต้องการ!”

ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีการปิดบังใด ๆ ทั้งยังจงใจให้เหล่าอาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้ยินอย่างชัดเจน ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกโกรธมาก และเริ่มก่นด่าศิษย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์อย่างต่อเนื่อง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ เซียวเชียนซุ่ยหัวเราะอย่างเย็นชา “ฮึ่ม! ให้ข้าดูว่าพวกเจ้ายังจะด่าเราได้อีกหรือไม่? หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้จบลง!”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ดังก้องออกไป หลายคนก็หุบปากและตกอยู่ในความเงียบ และหวนนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้

แม้แต่ศิษย์พี่เยี่ยถังก็ยังพ่ายแพ้ แล้วเฉินซี…จะสามารถยืนหยัดไปจนจบได้หรือไม่?

เฉินซียังคงเฉยเมยต่อเรื่องทั้งหมดนี้และยืนอย่างเงียบ ๆ ในสนามประลอง แผ่นหลังกระทุ้งตรงดุจคันทวน ชุดสีเขียวปลิวไสว และมีเพียงดวงตาที่ลึกล้ำเท่านั้นที่เปล่งประกายด้วยความเย็นชา

ชู่ว!

ในขณะเดียวกัน เหยียนอวิ๋นก็ทะยานผ่านท้องฟ้าและลงมายังสนามประลอง รูปร่างแข็งแกร่งราวกับเนินเขาที่สูงตระหง่าน หน้าตาดูสมบุกสมบัน ที่หว่างคิ้วก็เต็มเปี่ยมด้วยกลิ่นอายที่โหดเหี้ยมอย่างน่าสะพรึง

เมื่อมองดูจากระยะไกล เขาเหมือนสัตว์ร้ายที่มาจากแดนเถื่อน ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายดุร้าย คล้ายตั้งใจที่จะกลืนกินคู่ต่อสู้ให้สิ้นซาก

“เฉินซี ข้าเคยได้ยินวีรกรรมเกี่ยวกับเจ้ามาบ้าง และในวันนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่พ่ายแพ้อย่างยับเยินเกินไป” เหยียนอวิ๋นเผยรอยยิ้มที่น่าสยดสยอง ดวงตาเปล่งประกายดุร้าย

ชิ้ง!

เขาเงื้อกระบี่ในมือขึ้น มันกว้างราวสิบสองชุ่น และมีสีแดงเข้มเหมือนเลือด คมกระบี่ของมันปกคลุมด้วยหนามแหลมคมถี่ยิบ ทั้งยังเต็มไปด้วยประกายแสงกระหายเลือดและน่าสะพรึงกลัว

ร่างแข็งแกร่งราวกับหินผา กลิ่นอายน่าเกรงขามโหดเหี้ยมและดุร้าย ประกอบกับกระบี่สีแดงเลือดเล่มนี้ ทันทีที่เหยียนอวิ๋นก้าวเท้าเข้าสู่สนามประลอง รูปลักษณ์ก็น่าทึ่งอย่างมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามถือกระบี่สีแดงเลือด ร่างกายก็แผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวจนพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ประหนึ่งมังกรเถื่อนได้ตื่นจากการจำศีลและทำลายมวลเมฆ กลิ่นอายอันน่าเกรงขามนั้นดูดุร้ายและโหดเหี้ยมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ทำให้สีหน้าของผู้ชมมากมายที่อยู่รอบข้างเปลี่ยนไป

“กลิ่นอายน่าเกรงขามที่คนผู้นี้แผ่ออกมานั้น เทียบได้กับอู่ฟางจวินที่เอาชนะเจิ่นลู่ และเหอเลี่ยนฉีที่เอาชนะจ้าวเมิ่งหลีเลย ศิษย์พี่เฉินซี จะ… ต่อกรกับเขาได้หรือไม่?” ศิษย์บางคนรู้สึกหัวใจบีบรัดและพึมพำเสียงเบา

“ดูท่าจะรับมือไม่ง่าย” บนเมฆมงคล หวังต้าวหลูก็ขมวดคิ้วเช่นกัน เขาสังเกตเห็นว่ากลิ่นอายที่น่าเกรงขามของเหยียนอวิ๋นนั้นดุร้ายและโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง นอกจากนี้ เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าสำนักศึกษาระทมสันต์มีศิษย์ที่ร้ายกาจเช่นนี้

เห็นได้ชัดว่าเหยียนอวิ๋นก็เหมือนกับเซียวเชียนซุ่ย หวังเซวี่ยชง เหอเลี่ยนฉี อู่ฟางจวิน และซ่งอวิ๋นซง ไม่ได้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่กลับสามารถระเบิดพลังฝีมือที่เกินความคาดหมายของทุกคน

ดังนั้นมันจะต้องเกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะอย่างแน่นอน!

“ศิษย์น้องเหยียนอวิ๋น รีบจัดการกับเจ้าเด็กนั่นซะ อย่าทำให้เราต้องรอการถกวิถีเต๋าในรอบสุดท้าย” ในระยะไกล เสียงที่แหลมคมและมืดมนของเซียวเชียนซุ่ยดังก้องอีกครั้ง ทำให้ใบหน้าของเหล่าอาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าไม่น่าดูยิ่งขึ้น

แต่ในขณะนี้ ไม่มีใครให้ความสนใจกับเซียวเชียนซุ่ย สายตาของทุกคนล้วนจดจ้องไปที่เฉินซี ซึ่งเผยสีหน้าวิตกและกังวล

เพราะความพ่ายแพ้ของเยี่ยถังและคนอื่น ๆ ทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นใจในตัวเฉินซี ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะวิตกกังวล

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ศิษย์พี่เซียวอย่าได้กังวล มันใช้เวลาไม่นานหรอก!” เหยียนอวิ๋นเงยหน้าขึ้น และหัวเราะดังลั่น แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับเย็นชาและน่ากลัว แล้วจึงมองไปที่เฉินซีราวกับว่ากำลังมองดูศพ สายตาเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่ไม่แยแสและดุร้าย

“มันใช้เวลาไม่นานจริง ๆ” เฉินซียักไหล่และกล่าวอย่างเฉยเมย

แก๊ง!

เสียงระฆังดังก้องไปทั่วฟ้าดิน เปิดฉากการถกวิถีเต๋ารอบสุดท้าย

โครม!

ยังไม่ทันสิ้นเสียงระฆัง เหยียนอวิ๋นก็กระทืบเท้าลงกับพื้น ร่างสูงใหญ่เหมือนหินผาก็ทะยานขึ้นจากพื้น ทำให้พื้นใต้เท้าแตกเป็นเสี่ยง ๆ

“กงล้อโลหิตทำลายล้าง จงทำลายท้องฟ้าและกลืนกินวิญญาณนภา!” ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังก้องไปทั่วฟ้าดิน สั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ทั้งเก้า ภายใต้สายตาประหลาดใจของทุกคนที่อยู่ที่นี่ กระบี่สีแดงเลือดในมือของเหยียนอวิ๋น สำแดงพลังที่สามารถผ่าแยกท้องฟ้าออกจากกัน ทิ้งเงาสีแดงเลือดไว้เบื้องหลัง ทะลวงผ่านท้องฟ้าแล้วถาโถมเข้าใส่เฉินซี

ปราณกระบี่ดูคล้ายกับทะเลเลือด พวกมันดุร้าย กระหายการฆ่าฟัน ทั้งยังกดขี่ข่มเหง และดูเหมือนตั้งใจที่จะกวาดล้างแม้กระทั่งฟ้าดินให้กลายเป็นนรกที่นองไปด้วยเลือด ดังนั้นสนามประลองทั้งหมดจึงจมอยู่ในแสงสีแดงเลือดที่พลุ่งพล่าน!

การโจมตีครั้งนี้น่ากลัวอย่างยิ่งและน่าเกรงขามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ดังนั้นศิษย์หลายคนที่อยู่รอบ ๆ จึงอุทานด้วยความตกใจ

แม้แต่เปลือกตาของเหล่าผู้อาวุโสจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ยังกระตุกวูบ เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าทันทีที่ศิษย์จากสำนักศึกษาระทมสันต์เปิดฉากโจมตี เขาจะใช้กระบวนท่าที่ทรงพลังเช่นนี้

เมื่อเผชิญหน้ากับฉากนี้ รอยยิ้มเย็นชาก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเฉินซี ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน เมื่อปราณกระบี่สีเลือดพุ่งเข้ามาใกล้ เขาก็พลิกฝ่ามืออย่างสบาย ๆ เรียกตราประทับโบราณทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่สมบูรณ์ออกมา

ตราประทับนี้ถูกปกคลุมด้วยรัศมีศักดิ์สิทธิ์สีทองเข้ม พื้นผิวถูกจารึกด้วยชั้นของอักขระเต๋าที่ลึกซึ้ง แต่กลิ่นอายกลับรุนแรงยิ่ง ราวกับสามารถแยกฟ้าดินออกจากกัน และทะลวงเต๋าแห่งสวรรค์ให้เป็นรูโหว่!

มันคือสมบัติล้ำค่าของสำนักศึกษาระทมสันต์ ผนึกเทวศสวรรค์!

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

บันทึกเส้นทางจักรพรรดิเซียน

Status: Ongoing
เกิดมาถูกตราหน้าเป็นตัวซวยประจำเมือง แต่พวกเจ้าทั้งหมดจงเตรียมตัวไว้ ข้าเฉินซีผู้นี้จะทำให้พวกเจ้าก้มหัวศิโรราบภายใต้มหาเต๋ายันต์อักขระที่ข้าสร้าง!รายละเอียด เรื่องย่อ เฉินซี เด็กหนุ่มผู้ได้รับฉายา ‘ตัวซวยสุดขีด’ ประจำเมืองสนหมอก เขาคือผู่ที่ไม่ว่าเดินไปทางใดก็มีแต่ชาวบ้านหลีกทางให้เนื่องจากกลัวติดความโชคร้าย ยามเมื่อกำเนิดลืมตาดูโลกตระกูลเฉินของเขาที่เคยยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองสนหมอกถูกสังหารหมู่ตายไปนับพันจนเหลือคนแค่เพียงหยิบมือ จากนั้นไม่นานต่อมาบิดาและมารดาหายสาปสูญ ถัดมาเมื่อเติบโตจนรู้ความ สัญญามั่นหมายถูกฉีกต่อหน้าผู้คนทั้งนคร เหตุใดชีวิตข้าจึงเป็นเช่นนี้? หรือสวรรค์เกลียดชังเคียดข้า? ทว่าใยไม่ลงโทษข้าเพียงผู้เดียวแต่กลับดลบรรดาลให้เกิดหายนะแก่ผู้คนรอบข้างข้าด้วย ไม่ยุติธรรม! ข้าไม่ยินยอม! คอยดูเถิดสวรรค์ ข้าจะบรรลุเต๋ายันต์สาปส่งเจ้า ข้าจะทำลายผู้คนที่ย่ำยีตระกูลข้าให้สิ้น ข้าจะทำให้สรรพสิ่งทั้งสามโลกก้มกราบกรานข้า ประสานเสียงแซ่ซ้องเทิดทูนข้า ‘มหาจักรพรรดิอักขระยันต์’ นี่คือเรื่องราวของเด็กหนุ่มนามเฉินซี ผู้ถูกชะตาชีวิตบังคับให้ไม่อาจบ่มเพราะได้เฉกเช่นผู้คนทั่วไปแต่ต้องศึกษาวิชาเขียนยันต์อักขระ เพื่อขายประทังชีพให้แก่ครอบครัว ทว่าในยามดิ้นรนนั้นมันกลัยทำให้เขารู้แจ้งพื้นฐานในแขนงยันต์ยิ่งกว่าผู้ใดในเมืองซึ่งท้ายที่สุดมันทำให้เขากลับกลายเป็นมหาจักรพรรดิยันต์ผู้อยู่เหนือสามโลกเก้าสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท