ตอนที่ 1304 จริงจัง
เขาช่วยแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทไม่ได้ ทั้งยังสร้างปัญหาเพิ่มให้ฝ่าบาทอีก ประมุขไป๋อย่างเขาบกพร่องต่อหน้าที่ เขาควรลาออกจากตำแหน่งและรับโทษจากฝ่าบาท
เมื่อได้ยินเว่ยจงให้เขาเข้าไปได้ไป๋ฉีเหอจึงยืนขึ้น เขาจัดเครื่องแต่งกายของตัวเองให้เรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปในตำหนัก ไป๋ฉีเหอก้มศีรษะคำนับไป๋ชิงเหยียนแนบพื้นอย่างนอบน้อม
จากนั้นยอมรับผิดออกมา “ฝ่าบาท ความจริงกระหม่อมควรเข้ามารับผิดกับฝ่าบาทตั้งแต่เมื่อวานตอนที่ฝ่าบาทเสด็จกลับเมืองหลวง ทว่า เมื่อคิดได้ว่าฝ่าบาทเพิ่งเสด็จกลับมาอาจเหนื่อยล้ามากแล้วกระหม่อมจึงมาวันนี้แทนพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินว่าใต้เท้าซือหม่าผู้ช่วยผู้ตรวจการทูลเรื่องของไป๋ชิงสือและไป๋ชิงฝานให้ฝ่าบาทรับรู้แล้ว ไป๋ฉีเหอควบคุมคนในตระกูลได้ไม่ดีพอจนสร้างปัญหาให้ฝ่าบาท ฝ่าบาทได้โปรดลงโทษกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ชุนจือและชุนเถาถือของวางเข้ามาให้ไป๋ชิงเหยียนและไป๋ฉีเหอ
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ “ประมุขไป๋ลุกขึ้นก่อนเถิด ท่านคือประมุขของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ก็จริง ทว่า ท่านมีความสามารถจำกัด ท่านไม่สามารถจับตาดูพวกเขาทุกวันได้…”
“ทูลฝ่าบาท ความจริงกระหม่อมผิดสังเกตเรื่องของไป๋ชิงสืออยู่บ้าง ทว่า กระหม่อมประมาทเกินไปพ่ะย่ะค่ะ…”
ไป๋ฉีเหอหลับตาพลางสารภาพกับไป๋ชิงเหยียนตามความจริง
“เมื่อไป๋ชิงสือถูกตัดสินเนรเทศ ปู่ของเขามาขอร้องให้กระหม่อมเห็นแก่ที่ทุกคนเป็นคนในตระกูลเดียวกันไปช่วยพูดกับกรมราชทัณฑ์และกรมการคลังให้ช่วยเปลี่ยนตัวนักโทษตอนเนรเทศให้เขาที จากนั้นมอบทะเบียนราษฎร์ใหม่ให้ไป๋ชิงสืออยู่ในเมืองหลวงต่อไป ข้าบอกกับปู่ของไป๋ชิงสือว่าทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายของต้าโจว ไป๋ชิงสือทำผิดกฎหมายจึงไม่มีผู้ใดช่วยเขาได้ ปู่ของไป๋ชิงสือกล่าวอย่างโมโหว่าเหตุใดไป๋ชิงฝานทำได้แล้วประมุขอย่างกระหม่อมถึงทำไม่ได้ กระหม่อมไม่ต้องการช่วยเขาชัดๆ พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ฉีเหอรู้สึกผิดมาก “ตอนนั้นกระหม่อมรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ทว่า ไม่ได้คิดสิ่งใดมาก ต่อมากระหม่อมสืบเรื่องของไป๋ชิงฝาน ทว่า ไม่พบว่าเขาทำผิดกฎหมายใดๆ ของต้าโจว กระหม่อมจึงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้อีก นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึง…”
“ลุกขึ้นเถิด!” ไป๋ชิงเหยียนกล่าว “นั่งดื่มชาและทานของว่างก่อน ข้ายังไม่ทานสิ่งใดเลยตั้งแต่ออกว่าราชการตอนเช้า พวกเราทานไปสนทนากันไปเถิด”
ไป๋ฉีเหอได้ยินจึงรีบรับคำ จากนั้นลุกขึ้นนั่งด้านหลังโต๊ะเล็กที่เว่ยจงให้คนจัดเตรียมไว้ให้
ไป๋ชิงเหยียนรู้ดีว่าไป๋ฉีเหอทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ไป๋ฉีเหอเป็นเพียงประมุขของตระกูล เขาไม่มีองครักษ์ลับที่สามารถส่งไปจับตาดูคนเหล่านั้นได้ตลอดเวลา
ตอนนี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การควบคุมและดูแลของไป๋ฉีเหอ คนในตระกูลเริ่มทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน แม้ตอนนี้คนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะช่วยงานนางไม่ได้ ทว่า อย่างน้อยคนส่วนใหญ่ก็เริ่มพยายามแล้ว!
ยกตัวอย่างเช่นการสอบขุนนางในครั้งนี้ ไป๋ชิงเหยียนเห็นรายชื่อของคนตระกูลบรรพบุรุษไป๋อยู่หลายคนและมีคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋อีกจำนวนไม่น้อยไปเข้าร่วมกองทัพแล้ว
หากไม่ใช่เพราะไป๋ฉีเหอ ตอนนี้คนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋คงเอาแต่นอนเสวยสุขเพราะคิดว่าพวกเขาคือเชื้อพระวงศ์แล้ว
ตระกูลบรรพบุรุษใดไม่มีตัวปัญหาอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนตระกูลบรรพบุรุษไป๋เหิมเกริมวางอำนาจในเมืองซั่วหยางจนเคยชินเป็นนิสัยมานานหลายปีแล้ว
ประมุขไป๋ไป๋ฉีเหอรับตำแหน่งได้ไม่นานก็สามารถเปลี่ยนแปลงคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ได้ถึงเพียงนี้ก็เหนือความคาดหมายของไป๋ชิงเหยียนมากแล้ว
“ท่านควบคุมคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋ได้ดีมาก ดีกว่าที่ข้าคิดไว้มาก!”
ไป๋ชิงเหยียนยกชาขึ้นจิบพลางกล่าวขึ้น
“คนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ก่อปัญหาจนติดเป็นนิสัย พวกเขาเปลี่ยนไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้โดยการควบคุมของท่านก็พิสูจน์แล้วว่าข้าไม่ได้มองท่านผิดไป!”
“ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้กระหม่อมรู้สึกละอายใจยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” ไป๋ฉีเหอก้มศีรษะคำนับไป๋ชิงเหยียนอีกครั้ง เขาไม่เคยลืมว่าตอนนั้นไป๋ชิงเหยียนเข้มงวดอยากให้เขากลายเป็นประมุขตระกูลไป๋ที่ดีมากเพียงใด ไป๋ฉีเหอตะลึงงันไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าตอนนั้นเป็นเพราะว่าเขาอ่อนแอไม่ได้เรื่องจนเกินไปหรือตอนนี้ไป๋ชิงเหยียนอ่อนโยนลงเพราะเป็นแม่คนกันแน่
ไป๋ฉีเหอคิดแล้วก็รู้สึกว่าคงจะเป็นอย่างแรกมากกว่า ไป๋ชิงเหยียนเป็นคนเด็ดเดี่ยว ถึงแม้นางจะโมโหเพียงใดก็ไม่มีทางกล่าวหรือทำสิ่งใดลงไปเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบแน่นอน ไป๋ฉีเหอมีบทเรียนเรื่องนี้เป็นอย่างดี
“เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเรามากำหนดมาตรฐานไว้ ตอนนี้คือปลายเดือนสี่แล้ว ผู้ช่วยผู้ตรวจการฟ้องร้องคดีของตระกูลบรรพบุรุษไป๋สองคดีแล้ว ปีนี้ท่านห้ามปล่อยให้คนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ก่อคดีขึ้นในปีนี้อีกแม้แต่คดีเดียว ปีหน้าจะลดลงเหลือเพียงคดีเดียวเท่านั้น ส่วนปีต่อไป…”
ไป๋ชิงเหยียนใช้ตะเกียบคีบขนมขึ้นมาพลางมองไปทางไป๋ฉีเหอ
“ท่านเป็นประมุขตระกูลไป๋มาหลายปีแล้ว ข้าเคยมอบโอกาสตอนท่านทำผิดให้ท่านไปแล้ว ตอนนี้ท่านต้องจัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบ ดังนั้นอีกสองปีหลังจากนี้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ห้ามทำผิดกฎของตระกูลและกฎหมายของต้าโจวอีก!”
ไป๋ฉีเหอรีบก้มศีรษะคำนับไป๋ชิงเหยียน
“ไป๋ฉีเหอเข้าใจแล้ว ขอบพระทัยฝ่าบาทมากพ่ะย่ะค่ะ”
“ลุกขึ้นทานของว่างก่อนเถิด ช่วงนี้ท่านคงทานสิ่งใดไม่ค่อยลงเหมือนกัน…” ไป๋ชิงเหยียนกัดขนมคำเล็ก จากนั้นดื่มน้ำชาตามจึงรู้สึกสบายขึ้น
เมื่อไป๋ฉีเหอเห็นว่าไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ต้องการเอาผิดเขาจึงทานอาหารอย่างโล่งใจเช่นเดียวกัน
ความจริงช่วงนี้ไป๋ฉีเหอไม่ได้อยู่เฉยๆ เขากำลังคิดว่าจะจัดการกับคนในตระกูลบรรพบุรุษไป๋เช่นไรดี ตอนนี้เขามีแผนในใจแล้ว กฎของตระกูลไป๋ต้องร้ายแรงกว่ากฎหมายของต้าโจว!
ทว่า หากไป๋ฉีเหอต้องการแก้ไขกฎของตระกูลเขาต้องการผู้ช่วย เมื่อรับประทานของว่างเสร็จไป๋ฉีเหอจึงบอกเรื่องนี้กับไป๋ชิงเหยียน จากนั้นก้มศีรษะขอร้องไป๋ชิงเหยียนอย่างกล้าหาญ
“กระหม่อมขอบังอาจทูลขอให้ฝ่าบาทเรียกตัวไป๋ชิงผิงมาจากซั่วหยางเพื่อช่วยกระหม่อมแก้ไขกฎของตระกูลบรรพบุรุษไป๋พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ฉีเหอมีความเห็นแก่ตัวเช่นกัน หากไป๋ชิงผิงอยู่ที่เมืองซั่วหยางต่อ วันหน้าเขาต้องได้เป็นประมุขของตระกูลไป๋แน่นอน ทว่า ใจจริงแล้วไป๋ฉีเหออยากให้เป็นชิงผิงเข้าร่วมการสอบขุนนางมากกว่า
ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าพลางวางตะเกียบในมือลง หญิงสาวรับผ้าขนหนูจากชุนเถามาเช็ดมือ จากนั้นกล่าวขึ้น “ช่วงนี้ข้าก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
“อาผิงเป็นเด็กดี เขาอยู่ที่ซั่วหยางเพื่อช่วยข้าดูแลควบคุมค่ายทหารซั่วหยาง เขาไม่อยากให้ความพยายามที่พวกเราทำที่ค่ายทหารซั่วหยางต้องสูญเปล่า ทว่า หากปล่อยให้เขาอยู่ที่ซั่วหยางต่อไปไม่เป็นผลดีต่อหนทางข้างหน้าของอาผิง ทว่า ข้ายังไม่มีคนที่เหมาะสมกว่าเขาเรื่องนี้จึงล่าช้าไปบ้าง”
ไป๋ชิงเหยียนกล่าวพลางมองไปทางไป๋ฉีเหอยิ้มๆ
“ท่านไม่ต้องห่วง ข้าใส่ใจเรื่องนี้อยู่เสมอ ข้าจะเรียกตัวอาผิงมายังเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ท่านเตรียมตัวแก้ไขกฎของตระกูลได้เลย หากคนไม่พอสามารถไปขอจากพ่อบ้านเหาและลุงผิงได้”
“พ่ะย่ะค่ะ ขอบพระทัยฝ่าบาทมากพ่ะย่ะค่ะ!”
ไป๋ฉีเหอก้มศีรษะคำนับไป๋ชิงเหยียนอีกครั้งอย่างจริงจัง ที่แท้ไป๋ชิงเหยียนยังไม่เคยลืมอาผิง
เมื่อไป๋ฉีเหอจากไป ไป๋ชิงเหยียนจึงสั่งให้คนไปเชิญเสิ่นเทียนจือเสนาบดีกรมโยธามาพบ ไป๋ชิงเหยียนถือโอกาสช่วงที่เสิ่นเทียนจือยังมาไม่ถึงแวะไปดูลูกทั้งสองของตน