ตอนที่ 1341 การแต่งงาน
ตอนนี้บุรุษที่มีความทะเยอทะยานหลายคนอยากได้ตำแหน่งพระภัสดาของจักรพรรดินีแห่งต้าโจวพวกเขาจะได้กลายเป็นบุรุษที่มีฐานะสูงศักดิ์ที่สุดของแคว้นเช่นเดียวกับสตรีสูงศักดิ์ที่มีความสามารถและใบหน้างดงามในแคว้นต้าจิ้นที่เคยแก่งแย่งกันเพื่อชิงตำแหน่งสูงสุดอย่างฮองเฮาของแคว้น
ทว่า ตอนราชวงศ์ต้าจิ้นยังไม่ดับสูญ ความคิดเรื่องบุรุษสูงส่งสตรีต่ำศักดิ์ถูกฝักรากลึกอยู่ในใจของทุกคน ไม่ว่าตอนนี้บุรุษจะอยากได้ตำแหน่งพระภัสดาของจักรพรรดินีมากเพียงใดก็ยังกลัวว่าหากใช้อุบายต่ำช้าจะถูกคำครหาจากผู้อื่น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้จงใจแต่งตัวดูดีเกินไปหรือแสดงออกมาเท่าสตรี ทว่า พวกเขามีแผนการในใจไม่ต่างกัน
เดิมทีทุกคนคิดว่าต้าเยี่ยนคงไม่ได้มาร่วมงานเลี้ยงชมดอกไม้ในครั้งนี้แล้วเพราะเกิดเรื่องการลอบสังหารขุนนางต้าโจวขึ้น ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับเชิญขุนนางของต้าเยี่ยนมาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ในฐานะทูตของต้าเยี่ยนด้วย
ตอนนี้คือเดือนห้าแสงแดดในช่วงกลางวันจึงค่อนข้างจ้า สตรีตระกูลสูงศักดิ์ที่แต่งกายงดงามราวกับดอกไม้ต้องลงจากรถม้าตั้งแต่หน้าประตูวังหลวงและเดินตามผู้ใหญ่ของตระกูลเข้าไปในวังด้วยตัวเองตามกฎของวังหลวง ใบหน้าของสตรีที่สวมชุดหลายชั้นเกินไปจนทำให้เหงื่อออกเป็นเดิมทีอยู่แล้วยิ่งมีเหงื่อซึมมากกว่าเดิมระหว่างเดินตามหลังขันทีเข้าไปในวังหลวงเป็นเวลานาน เครื่องประทินโฉมบนใบหน้าของพวกนางเริ่มละลาย
ส่วนต่งถิงเจินและหลู่เป่าหวาแต่งกายเรียบง่ายด้วยชุดสีอ่อน แม้พวกนางจะมีเหงื่อออกเช่นเดียวกัน ทว่า ใบหน้ากลับแค่แดงระเรื่อเพียงเล็กน้อยจนทำให้ดูน่ามองมากขึ้น
หลี่ซื่อและหวังซื่อจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ขึ้นที่ตำหนักผินเซียง เดิมทีตำหนักผินเซียงเคยเป็นตำหนักของถงกุ้ยเฟยซึ่งเป็นสนมของจักรพรรดิต้าจิ้น ว่ากันว่าจักรพรรดิต้าจิ้นสร้างตำหนักนี้ขึ้นเพื่อถงกุ้ยเฟยโดยเฉพาะ…
ตำหนักผินเซียงสร้างขึ้นท่ามกลางดอกไม้หลากหลายชนิดซึ่งส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วตำหนัก สี่ด้านของตำหนักไม่ใช่กำแพงแต่เป็นเสาต้นหนาเคลือบสีขาวหยกลายดอกบัวหลายต้นวางเรียงรายต่อกันจนเปรียบเสมือนกำแพงของตำหนัก เสาไม้กฤษณาแกะสลักเป็นรูปหงส์เป็นตัวค้ำยันหลังคาแผ่นใหญ่ของทั้งตำหนักเอาไว้ ทั่วทั้งตำหนักเต็มไปด้วยแผ่นกระเบื้องสีทองเปล่งประกาย แม้แต่ปลายของคานบนเพดานสูงยังแกะสลักเป็นรูปหงส์สีทอง
ใต้หลังคาตรงระเบียงทางเดินมีกระดิ่งสีทองแดงและถุงสมุนไพรไล่ยุงและแมลงแขวนประดับอยู่ เมื่อลมพัดผ่านจะได้ยินเสียงกระดิ่งกระทบกันดังขึ้นอย่างน่าเพลิดเพลิน
ผ้าม่านผืนบางสำหรับกั้นระหว่างเสาแต่ละต้นถูกเกี่ยวอยู่บนตะขอทองแดงบนเสากลมสองด้านของตำหนักโดยมีการไล่สีตั้งแต่สีเข้มไปยันสีอ่อนจึงให้ความรู้สึกเหมือนกลีบของดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน
พื้นของตำหนักปูด้วยไม้กฤษณา ไม่มีราวกั้นบดบังทัศนียภาพทางสายตา มีเพียงโคมไฟนกกระเรียนขนาดประมาณครึ่งตัวคนห้าดวงวางอยู่ด้านข้าง ดอกไม้นานาชนิดอยู่ใกล้แค่ระดับสายตา ขอเพียงยืนอยู่กลางตำหนักก็สามารถได้กลิ่นหอมของดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ เรียกได้ว่าประดับตกแต่งได้งดงามประณีตทั่วทั้งตำหนัก
หากออกไปยืนอยู่ด้านนอกตำหนักผินเซียงยามท้องฟ้าสว่างจะมองเห็นดอกไม้หลากหลายชนิดถูกแสงแดดส่องกระทบจนเปล่งประกายเป็นสีทองระยิบ ฉากหลังคือท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาวอันงดงาม แสงสีทองระยิบที่เปล่งประกายทั่วบริเวณนั้นงดงามสะดุดตายิ่งกว่าดอกไม้นานาพันธุ์เสียอีก
วันนี้บรรดาสตรีต่างแต่งกายกันมาอย่างงดงาม สาวน้อยวัยแรกแย้มที่งามราวกับดอกไม้หลายคนวาดรูปดอกไม้ไว้ตรงระหว่างคิ้วของตัวเอง พวกนางแต่งกายด้วยเครื่องแต่งกายสีสันสดใสหลากหลายสี เป็นภาพที่ดูงดงามยิ่งนัก
งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม ต่งซื่อให้ฮูหยินของแต่ละตระกูลพาบุตรหลานของตัวเองไปเดินชมดอกไม้ในตำหนักได้ตามใจชอบ ทุกที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของทุกคน เป็นบรรยากาศที่ครึกครื้นยิ่งนัก
ตำหนักผินเซียงคือจุดแบ่งเขต ฝั่งซ้ายคือบรรดาขุนนางในราชสำนักที่กำลังยืนชมดอกไม้พลางสนทนากันอย่างสนุกสนาน บ้างก็แนะนำบุตรหลานของตัวเองให้สหายในราชสำนักรู้จัก บ้างก็ขอคำแนะนำจากบัณฑิตรุ่นลูกหลานที่มีความรู้มากกว่าตน เสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ สิ่งที่สนทนากันล้วนเป็นความรู้และสิ่งที่น่าสนใจ
ฝั่งขวาคือเหล่าไท่จวินของแต่ละตระกูลที่พาสตรีในตระกูลของตัวเองมาร่วมงานและกำลังจับกลุ่มสนทนาพลางหัวเราะเบาๆ กันอย่างสนุกสนาน
ต่งเหล่าไท่จวินนั่งอยู่บนเก้าอี้ถัดจากต่งซื่อภายในศาลารับลม นางมองดูสตรีสาวจากตระกูลสูงศักดิ์ต่างๆ แล้วรู้สึกว่าแต่ละคนล้วนมีข้อดีของตัวเอง เพียงแค่ไม่รู้ว่าสตรีจากตระกูลใดจะมีวาสนากับฉางหยวนหลานชายของนาง
ก่อนหน้านี้ต่งเหล่าไท่จวินหมายปองหวงอาหรงหลานสาวของหมอหลวงหวง ย่าของหวงอาหรงรับรู้เรื่องนี้ดีวันนี้จึงจงใจให้หลานสาวแต่งตัวอย่างงดงาม วันนี้สาวน้อยสวมเสื้อสีขาวหิมะ กระโปรงยาวสีฟ้าน้ำทะเล ช่างดูสบายตาและน่ามองยิ่งนัก
หวงอาหรงยืนอยู่กับคุณหนูสามตระกูลเจิน สองสาวที่ไม่ได้เจอกันนานรีบเข้าไปจับมือกันพลางสลับกันทำความเคารพอีกฝ่าย จากนั้นคุณหนูสามตระกูลเจินใช้พัดกลมปิดปากกระซิบบางอย่างข้างหูของหวงอาหรง หวงอาหรงเบิกตาโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ ดวงตากลมโตเป็นประกายคู่นั้นน่าเอ็นดูยิ่งนัก
ต่งเหล่าไท่จวินยิ่งรู้สึกเอ็นดูเด็กสาวมากขึ้นกว่าเดิม ต่างกล่าวกันว่าดวงตาเป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนที่แท้จริงได้ชัดเจนที่สุด เด็กสาวที่ร่าเริงและไร้เดียงสาอย่างหวงอาหรงต้องอยู่ร่วมกับฉางหยวนได้อย่างมีความสุขและปรองดองแน่นอน
คุณหนูสามตระกูลเจินเขียนข้อความลงบนฝ่ามือของหวงอาหรง “ข้าให้คนทำหอกยาวประมาณนี้เตรียมไว้แล้ว หากยาวกว่านี้พวกเราจะถือไม่ถนัดมือ ท่านพ่อข้ารับปากข้าในจดหมายแล้วว่าเมื่อข้าฝึกฝนจนพอใช้ได้แล้วจะให้ข้าไปเข้าร่วมกองทัพ ถึงเวลานั้นพวกเราจะไปสมัครเป็นทหารในกองทัพไป๋ด้วยกัน!”
“ข้าเคยเรียนวิชาจากเสี่ยวซื่อมาบ้าง พรุ่งนี้พอได้หอกมาข้าจะสอนเจ้าเอง…ถือเป็นคำขอบคุณสำหรับของขวัญ! หากเจ้าไม่ให้ข้าทำสิ่งใดเลยข้ายิ่งรู้สึกเกรงใจ” หวงอาหรงกล่าว
“ตกลง!” คุณหนูสามตระกูลเจินนึกถึงภาพตอนที่ไป๋ชิงเหยียนสวมชุดเกราะถือหอกกลับมาจากสนามรบด้วยชัยชนะอย่างองอาจสง่างาม นางรู้สึกอิจฉาไป๋ชิงเหยียนยิ่งนัก
เมื่อคิดได้ว่าพรุ่งนี้นางจะได้รับหอกที่สั่งทำไว้นานแล้วคุณหนูสามตระกูลเจินจึงกำพัดในมือด้วยท่าเดียวกับการจับหอก จากนั้นลองตวัดดูสองสามกระบวนท่าอย่างรอไม่ไหว “เมื่อใดพวกเราจะได้เป็นแม่ทัพใหญ่เหมือนฝ่าบาทของพวกเราบ้างนะ”
คุณหนูสามตระกูลเจินคิดว่าจุดที่พวกนางยืนอยู่ค่อนข้างลับตาผู้คน ผู้อื่นไม่มีทางสังเกตเห็น ทว่า นางไม่คิดเลยว่าทุกอย่างอยู่ในสายตาของต่งเหล่าไท่จวินพอดี
“พวกเราต้องทำได้แน่นอน!” หวงอาหรงกล่าวอย่างมั่นใจ “เสี่ยวซื่อของตระกูลไป๋บอกว่าขอเพียงทนลำบากได้ ทุกคนล้วนทำได้! ตอนนี้ฝ่าบาททรงอนุญาตให้สตรีเข้ารับราชการในราชสำนัก สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ของตัวเองแล้ว พวกเราไม่ได้เรียนเก่งเหมือนหลู่เฟิ่งหลาง ต่งถิงเจินและถานเหยาจ้ง หากพวกเราไม่อยากถูกผู้อื่นดูถูกพวกเราก็ต้องเข้าร่วมกองทัพให้ได้!”
“ความจริงตระกูลของเจ้าเป็นหมอ เหตุใดเจ้าต้องลำบาก…” คุณหนูสามตระกูลเจินรู้ความสามารถทางการแพทย์ของหวงอาหรงดี นางอายุแค่นี้กลับสามารถไปตรวจชีพจรให้ท่านย่าของนางที่จวนได้แล้ว ช่างเก่งกาจเสียจริง
“ข้าคือสหายของเสี่ยวซื่อ! เมื่อนางเข้าร่วมกองทัพนางมักไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ข้าไม่ได้พบนางนานแล้ว หากข้าเข้าร่วมกองทัพเหมือนกันก็คงได้อยู่กับนางทุกวัน! พวกเราตกลงกันไว้แล้วว่าจะไม่แยกจากกัน” หวงอาหรงยืนเอามือไขว้หลังพลางยืดอกเลียนแบบท่าทางของไป๋จิ่นจื้อ “ที่สำคัญข้าจะทำให้เสี่ยวซื่อเห็นว่าข้าไม่ได้อ่อนแอเหมือนที่นางคิด นางไม่จำเป็นต้องคอยปกป้องข้า ข้าจะไปทำให้นางตกใจที่หนานเจียง!”
หวงอาหรงไม่ได้บอกออกไปว่านางรู้ว่าวันนี้ท่านย่าของนางจงใจแต่งกายให้นางงดงามเป็นพิเศษ ไม่แน่ท่านย่าอาจอยากหมั้นหมายนางให้กับคุณชายตระกูลใดสักตระกูลในวันนี้ก็ได้