ตอนที่ 1377 ได้สติ
ความง่วงและมึนงงเริ่มถาโถมเข้าใส่จนไป๋ชิงเหยียนหรี่ตาแคบลง ชุนเถาก้าวเข้าไปถามไป๋ชิงเหยียนเสียงเบา “คุณหนูใหญ่เริ่มเมาแล้วหรือเจ้าคะ ให้ข้าพาคุณหนูใหญ่ไปพักผ่อนก่อนดีหรือไม่เจ้าคะ”
แม้ชุนเถาจะรู้ว่าการออกไปจากงานเลี้ยงก่อนงานเลี้ยงเลิกคือการเสียมารยาท ทว่า ชุนเถาเป็นห่วงคุณหนูใหญ่ของตัวเองมากกว่าจึงกล้าเข้าไปถามหญิงสาวเช่นนี้
ไป๋ชิงเหยียนเห็นสายตาเป็นกังวลของชุนเถาจึงโบกมือให้นางน้อยๆ “ข้ามิเป็นอันใด เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง…”
“ดูเหมือนฝ่าบาทจะทรงอารมณ์ดีมากที่เจรจากับต้าเยี่ยนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี” ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นมองไปทางไป๋ชิงเหยียนยิ้มๆ จากนั้นยกจอกเหล้าขึ้น “ข้าขอคารวะฝ่าบาทอีกจอกพ่ะย่ะค่ะ”
“ขอโทษจักรพรรดิเทียนเฟิ่งด้วย เราร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ดื่มเหล้าได้ไม่มาก เราขอดื่มชาแทนก็แล้วกัน…” ไป๋ชิงเหยียนยกถ้วยชาขึ้น “หวังว่าจักรพรรดิเทียนเฟิ่งจะไม่ถือสา”
ใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนขาวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตอนนี้ใบหน้าของนางแดงระเรื่อเหมือนคนเมาเหล้าแล้วจริงๆ ซ่าเอ่อร์เข่อฮั่นจึงไม่ได้ตอแยอีก เขายกเหล้าดื่มจนหมดจอกอีกครั้ง
เมื่องานเลี้ยงจบลงในคืนนั้น ทูตของเทียนเฟิ่งไปพบหลิ่วหรูซื่อและมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่เขาด้วยตัวเองถึงจวนหลิ่ว เขามอบสัญญาการค้าเสรีระหว่างเทียนเฟิ่งและต้าโจวให้หลิ่วหรูซื่อ จากนั้นกล่าวว่าหยกจักจั่นที่เคยเป็นของเซียวหรงเหยี่ยนสามีของไป๋ชิงเหยียนเคยเป็นของล้ำค่าประจำแคว้นของเทียนเฟิ่งมาก่อน เขาขอให้ต้าโจวช่วงเร่งหาหยกจักจั่นชิ้นนั้นให้พบและมอบคืนให้แก่แคว้นเทียนเฟิ่ง
หลิ่วหรูซื่อตอบเช่นเดียวกับไป๋ชิงเหยียนว่าต้าโจวกำลังตามหาหยกจักจั่นชิ้นนั้นอยู่ ทว่า หยกจักจั่นชิ้นนั้นคือของล้ำค่าของเซียวหรงเหยี่ยน จักรพรรดินีแห่งต้าโจวคงไม่ยอมมอบมันให้ผู้อื่นอย่างง่ายดายแน่นอน
“อาเป่า…อาเป่า” ต่งซื่อนั่งลงบนเตียงแล้วใช้มือแตะที่ใบหน้าที่ร้อนผ่าวของบุตรสาว นางหันไปถามหมอหลวงด้วยความร้อนใจ “นี่มันเกิดอันใดขึ้น”
“ไทเฮาอย่าเพิ่งร้อนพระทัยพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหวงก้าวเข้าไปทำความเคารพต่งซื่อ “ฝ่าบาทแค่เมาสุราเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ชุนเถากูกูป้อนน้ำแกงสร่างเมาให้ฝ่าบาทแล้ว อีกสักพักฝ่าบาทก็คงสร่างเมาพ่ะย่ะค่ะ”
เดิมทีต่งซื่อเป็นห่วงกลัวว่าไป๋ชิงเหยียนจะมัวแต่อ่านฎีกาจนไม่มีเวลาพักผ่อนจึงสั่งให้ฉินหมัวมัวนำน้ำแกงมาให้ไป๋ชิงเหยียน ทว่า นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อมาถึงจะเห็นไป๋ชิงเหยียนที่ขยันมาโดยตลอดฟุบหลับลงบนโต๊ะฎีกาเช่นนี้
เดิมทีต่งซื่ออยากนำเสื้อคลุมมาห่มร่างของบุตรสาว ทว่า เมื่อเห็นใบหน้าที่แดงก่ำของบุตรสาวจึงรีบใช้มือแตะดู นางสัมผัสได้ว่าใบหน้าของบุตรสาวร้อนจี๋ เมื่อเอ่ยเรียกก็เห็นบุตรสาวลืมตาขึ้นส่งยิ้มหวานให้นางพลางเอ่ยเรียกนางเสียงอ่อนหวานว่าท่านแม่
เมื่อได้ยินหมอหลวงกล่าวเช่นนี้ต่งซื่อจึงวางใจลง
“ดีแล้ว ไม่ได้ป่วยก็ดีแล้ว” ต่งซื่อรู้สึกว่าตักของตัวเองหนักอึ้ง เมื่อก้มมองจึงเห็นไป๋ชิงเหยียนนอนหนุนตักของนางเหมือนตอนเป็นเด็กตัวเล็กๆ บุตรสาวใช้แขนโอบรอบเอวนางพลางส่งเสียงเรียกนางว่าท่านแม่เสียงอ่อนหวาน
ต่งซื่อเอื้อมมือลูบศีรษะของบุตรสาวอย่างเอ็นดู นางรู้สึกโมโห ทว่า ไม่อยากเอ็ดสั่งสอนบุตรสาวของตัวเองจึงได้แต่กล่าวเสียงเบา “ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองคอแข็งสู้น้องๆ ไม่ได้ วันนี้มีแต่แขกสำคัญทั้งนั้น เหตุใดไม่รู้จักเปลี่ยนเหล้าเป็นน้ำเปล่าแทนนะ ยังกล้าดื่มอีก”
เว่ยจงได้ยินจึงรีบเข้าไปรับผิดทันที “บ่าวไม่รอบคอบเองพ่ะย่ะค่ะ ไทเฮาได้โปรดลงโทษบ่าวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าลุกขึ้นเถิด เหตุใดข้าต้องลงโทษเจ้าด้วย อาเป่าทำตัวนางเองแท้ๆ” ต่งซื่อห่มผ้าให้บุตรสาว จากนั้นลูบหลังบุตรสาวเบาๆ พลางเอ่ยขึ้นเสียงอ่อนโยน “เอาล่ะ นอนลงดีๆ วันนี้ถือเป็นวันพักผ่อนของเจ้าก็แล้วกัน อย่าลุกขึ้นมาอ่านฎีกาอีกนะ”
ต่งซื่อกล่าวจบก็รู้สึกว่าไป๋ชิงเหยียนโอบเอวนางแน่นกว่าเดิม นางยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนอย่างคุมไม่อยู่ “เป็นแม่คนแล้วยังมาอ้อนข้าแบบนี้อีกหรือ”
“ท่านแม่…” ไป๋ชิงเหยียนซุกหน้าลงบนอ้อมกอดของต่งซื่อ จากนั้นเงยหน้ามองต่งซื่อที่กำลังก้มหน้ามองตนอยู่
“แม่อยู่นี่” ต่งซื่อทัดปอยผมของไป๋ชิงเหยียนไปทางด้านหลัง ปลดปิ่นปักผมของนางออก ให้ผมยาวของบุตรสาวสยายไปทั่วแผ่นหลัง จากนั้นใช้นิ้วช่วยจัดผมของบุตรสาวให้เรียบร้อยอย่างอ่อนโยน
“ข้าจำได้ว่าท่านปู่เคยถามข้าถึงสามครั้งว่าผู้นำที่ทรงคุณธรรมคือคนเช่นไร ครั้งแรกข้าตอบท่านปู่ไปว่าผู้ที่ทำให้ชาวบ้านกินอิ่มนอนหลับคือผู้นำที่ทรงคุณธรรม ครั้งที่สองข้าตอบท่านปู่ว่าผู้นำที่ทรงคุณธรรมคือคนที่ปกครองแคว้นด้วยความเมตตา ไม่ทำร้ายชาวบ้านผู้บริสุทธิ์ ครั้งที่สามข้ากลับมาจากสงคราม ข้าเห็นความโหดร้ายในสงครามด้วยตาของข้าเอง ข้าจึงคิดว่าผู้นำที่ทรงคุณธรรมคือผู้นำที่สามารถมอบสันติสุขที่แท้จริงให้ใต้หล้าได้เจ้าค่ะ” ใบหน้าของไป๋ชิงเหยียนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ทว่า เมื่อข้าได้เป็นจักรพรรดินีของแคว้นข้าจึงรู้ว่าการเป็นผู้นำที่ทรงคุณธรรมช่างยากเย็นเหลือเกินเจ้าค่ะ”
ต่งซื่อจัดผมให้บุตรสาวพลางเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “อาเป่าเหนื่อยหรือไม่”
“นิดหน่อยเจ้าค่ะ…” ไป๋ชิงเหยียนยิ้มให้ต่งซื่อ “ทว่า ได้กอดท่านแม่เช่นนี้ก็ดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ”
ต่งซื่อรับคำบุตรสาวด้วยรอยยิ้ม “ได้ เช่นนั้นแม่จะกอดอาเป่าของพวกเราไว้เช่นนี้”
ไป๋ชิงเหยียนหลับตาลง นางกอดเอวของมารดาแล้วหลับไปในอ้อมกอดของมารดา น้ำตาของต่งซื่อไหลพรากออกมาทันที นางรีบใช้มือเช็ดน้ำตาทิ้ง เอื้อมมือไปตบหลังบุตรสาวแผ่วเบาพลางร้องเพลงกล่อมให้บุตรสาวหลับสบายเหมือนตอนนางยังเป็นเด็ก
บุตรสาวของนางไม่เคยบอกว่าเหนื่อยหรือท้อออกมา ตอนนี้นางบอกว่านางรู้สึกเหนื่อยเล็กน้อยแสดงว่านางเหนื่อยมากแล้ว
ต่งซื่อสงสารบุตรสาวมาก ทว่า นางช่วยเหลือสิ่งใดบุตรสาวไม่ได้ นางรู้สึกปวดใจยิ่งนัก
ทว่า ในเมื่อตอนนี้สองแคว้นทำสัญญาตกลงกันเรียบร้อย สามปีหลังจากนี้สองแคว้นจะกลายเป็นแคว้นเดียวกัน เมื่อถึงเวลานั้นเซียวหรงเหยี่ยนจะกลับมาอยู่ข้างกายอาเป่า อาเป่าคงไม่ต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้อีก
“เว่ยจง…” ต่งซื่อก้มมองดูบุตรสาวที่กำลังหลับสนิท จากนั้นเอ่ยเรียกเว่ยจง “เจ้าลอบส่งคนไปเชิญอ๋องเก้าแห่งต้าเยี่ยนเข้ามาในวังที”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เว่ยจงรับคำและออกไปสั่งองครักษ์ลับทันที
ต่งซื่อวางศีรษะของไป๋ชิงเหยียนลงบนหมอนอย่างระมัดระวัง นางห่มผ้าให้บุตรสาว จากนั้นนั่งลงข้างเตียงใช้พัดโบกให้บุตรสาวของตัวเองหลับสบายที่สุด
ไป๋ชิงเหยียนไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าใดแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะนางเผลอหลับไปตอนอ่านฎีกาอยู่นางจึงสะดุ้งตื่นขึ้นทันที เมื่อลืมตาขึ้นจึงเห็นสายตาดำขลับของคนคนหนึ่งทันที
ไป๋ชิงเหยียนเห็นเซียวหรงเหยี่ยนที่นอนตะแคงอยู่ข้างกายของนางจึงรีบผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตกใจ นางมองข้ามเซียวหรงเหยี่ยนไปทางด้านนอกแวบหนึ่ง เมื่อเห็นภายในห้องมีแค่พวกนางสองคนจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ท่านมาได้อย่างไรกัน”
เซียวหรงเหยี่ยนลุกขึ้นนั่ง เขาขยับผ้าห่มที่ตกลงคลุมร่างของไป๋ชิงเหยียนอีกครั้ง จากนั้นกล่าวขึ้น “ท่านแม่ให้คนไปตามข้าเข้ามาในวัง ท่านคงคิดว่าพรุ่งนี้ข้าต้องเดินทางกลับต้าเยี่ยนแล้วจึงอยากให้พวกเรามีเวลาอยู่ด้วยกันอีกสักนิด”
ตั้งแต่เข้ามาในวังเซียวหรงเหยี่ยนไม่อยากปลุกไป๋ชิงเหยียนให้ตื่นจากการพักผ่อน แค่ได้มองนางนอนหลับอยู่ข้างกายเช่นนี้เขาก็มีความสุขมากแล้ว
ไป๋ชิงเหยียนมองดูเซียวหรงเหยี่ยนห่มผ้าให้นางอย่างตั้งใจ นางเห็นชายหนุ่มแขวนถุงเงินลายห่านป่าคู่ที่สลักคำว่าเหยี่ยนไว้ที่เอวจึงเอื้อมมือไปลูบถุงเงินนั่นอย่างแผ่วเบา จากนั้นเงยหน้ามองเซียวหรงเหยี่ยน “ท่านแขวนถุงเงินไว้อย่างเปิดเผยเช่นนี้ไม่กลัวคนของไทเฮาเห็นและกลับไปฟ้องไทเฮาอย่างนั้นหรือ”