ตอนที่ 1414 หวั่นไหว
ตอนนี้การโดนโบยในค่ายทหารเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจถึงเพียงนี้เลยหรือ
“เจ้าดีใจถึงเพียงนี้เป็นเพราะท่านแม่กำลังหาคู่ครองให้เจ้าอยู่อย่างนั้นหรือ”
หลู่หยวนชิ่งเอ่ยถามน้องชายผู้โง่เขลาของตัวเอง
“เมื่อได้รับราชโองการเจ้าจะได้หนีรอดจากเรื่องนี้ใช่หรือไม่”
หลู่หยวนชิ่งรู้ดีว่าที่มารดาของเขารีบร้อนหาคู่ครองให้หลู่หยวนผิงเป็นเพราะนางคิดว่าการเป็นทหารของหลู่หยวนเผิงอาจทำให้เขาต้องโดนย้ายไปตามที่ต่างๆ ได้ทุกเมื่อ กองทัพไป๋ในตอนนั้นก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นท่านแม่เลยอยากถือโอกาสตอนที่หลู่หยวนเผิงอยู่ในเมืองหลวงจัดการเรื่องหมั้นหมายของเขาให้เรียบร้อย
หลู่หยวนเผิงถูกพี่ชายมองออกเช่นนี้จึงหูแดงก่ำ ทว่า ยังคงไม่ยอมรับ
“ไม่ใช่เสียหน่อย ท่านพี่คิดไปถึงไหนแล้วขอรับ!”
“เจ้ามีคนที่ชอบแล้วหรือไม่”
หลู่หยวนชิ่งเป็นคนฉลาด เขาจะมองน้องชายของตัวเองไม่ออกได้อย่างใดกัน
หลู่หยวนชิงหยิบปิ่นปักผมงดงามและป้ายหยกออกมาจากอกของตัวเองโดยไม่รอให้หลู่หยวนเผิงเอ่ยตอบ
“ข้าเจอมันอยู่ใต้หมอนของเจ้า…”
หลู่หยวนเผิงรีบล้วงมือเข้าไปใต้หมอนของตัวเองทันที ปิ่นปักผมและป้ายหยกของเขาหายไปแล้วจริงๆ ด้วย
หลู่หยวนเผิง “…”
เขาเอื้อมมือไปแย่งคืน ทว่า หลู่หยวนชิ่งกลับเบี่ยงตัวหลบเสียก่อน เขาเห็นพี่ชายของตัวเองเก็บปิ่นปักผมและป้ายหยกไว้ในอกตามเดิม จากนั้นรินชาให้ตัวเองหนึ่งแก้วพลางเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อน
“บอกมาว่าตั้งใจจะมอบให้สตรีตระกูลใด หากกล้าโกหกข้าเจ้าอย่าหวังว่าจะได้ไปออกรบ ข้าจะไปทูลขอร้องฝ่าบาทด้วยตัวเองว่าให้เจ้าหมั้นหมายให้เสร็จก่อนแล้วค่อยจากไป…”
“สมกับเป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้าจริงๆ!”
หลู่หยวนเผิงบ่นออกมาหนึ่งประโยคด้วยความจนใจ จากนั้นใช้ผ้าห่มคลุมหน้าของตัวเองราวกับหงุดหงิดที่ความลับที่ซ่อนเอาไว้ถูกคนล่วงรู้ เขาทั้งทำตัวไม่ถูก ทั้งตื่นเต้น
ตั้งแต่เล็กจนโตนี่เป็นครั้งแรกที่หลู่หยวนเผิงรู้สึกเช่นนี้ เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเขาจึงไม่กล้ากล่าวมันออกมา เขากลัวว่าอาจสูญเสียแม้แต่ความเป็นเพื่อนกับไป๋จิ่นจื้อ
คนอย่างหลู่หยวนเผิง คุณชายเจ้าสำราญที่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใดในเมืองหลวงเคยกล่าวไว้ว่าหากต้องแต่งงาน…เขาจะแต่งงานกับกุลสตรีที่เพียบพร้อมทั้งมารยาทและสติปัญญาอย่างพี่เฟิ่งหลางของเขา จะแต่งกับสตรีที่ไม่กล้าควบคุมไม่ให้เขาออกไปดื่มเหล้ากับสหายในเมืองหลวง
ทว่า ผู้ใดจะคิดว่าเขาจะไปหลงรักสตรีที่ไม่เหมือนสตรีเช่นนี้!
แถมยังเป็นสตรีตัวปลอมที่กล้าทำร้ายร่างกายเขาอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใดเช่นนี้อีก!
นางไม่เพียงไม่อ่อนโยนเท่านั้น ยามทำร้ายร่างกายเขายังไม่เคยออมมือแม้แต่น้อย หากเขาแต่งสตรีเช่นนี้เข้ามาในตระกูลเขาต้องถูกนางตีวันละสามรอบแน่นอน
หลู่หยวนชิ่งเห็นท่าทีของน้องชายจึงรู้ทันทีว่าน้องชายของตัวเองจริงจังกับสตรีผู้นี้
“ลองบอกมาสิว่านางคือสตรีของตระกูลใด”
หลู่หยวนชิ่งขยับแขนเสื้อของตัวเองเล็กน้อย
“ขอเพียงไม่ใช่สตรีสูงศักดิ์ของราชวงศ์ ต่อให้นางจะเป็นเพียงสตรีจากตระกูลธรรมดา หากเจ้าชอบข้าจะเป็นคนเกลี้ยกล่อมท่านพ่อกับท่านแม่ให้เอง”
หลู่หยวนชิ่งกล้ากล่าวเช่นนี้เพราะเขาคิดว่าคนนิสัยอย่างหลู่หยวนเผิงไม่น่าชอบสตรีของตระกูลไป๋ได้ ที่สำคัญตระกูลหลู่ได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทถึงเพียงนี้แล้ว พวกเขาควรรู้จักพอ พวกเขาไม่ควรคิดอาจเอื้อมสู่ขอสตรีของตระกูลไป๋มาเป็นสะใภ้ของตระกูลหลู่อีก
ที่สำคัญฝ่าบาทเคยตรัสไว้แล้วว่าไม่มีทางใช้งานแต่งงานของน้องๆ ของตัวเองเป็นเครื่องมือทางการเมือง ดังนั้นหากหลู่หยวนเผิงเกิดชอบพอสตรีของตระกูลไป๋ขึ้นมาจริงๆ อย่าว่าแต่ท่านพ่อท่านแม่ของเขาเลย หลู่หยวนเผิงไม่มีทางผ่านด่านท่านปู่ไปได้แน่นอน
หลู่หยวนเผิงได้ยินคำกล่าวของพี่ชายจึงได้แต่กำผ้าห่มของตัวแน่น เขาซุกหน้าอยู่ในผ้าห่มพลางกล่าวขึ้น
“ไม่มีผู้ใด! ข้าซื้อมาให้พี่เฟิ่งหลางขอรับ!”
“เจ้ากำลังหลอกผู้ใดอยู่!”
น้ำเสียงของหลู่หยวนชิ่งราบเรียบ
“ข้าลืมขอรับ!”
หลู่หยวนเผิงยังคงปากแข็ง
ยิ่งเห็นท่าทีของหลู่หยวนเผิงหลู่หยวนชิ่งก็ยิ่งสงสัย
“ตกลงคือสตรีของตระกูลใดกันแน่ถึงทำให้คนที่กล้าทำกล้ารับอย่างหลู่หยวนเผิง…”
หลู่หยวนชิ่งกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปทันที เขามองไปทางกองผ้าห่มนิ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น
“เจ้าคงไม่ได้ชอบสตรีของตระกูลไป๋ใช่หรือไม่ คุณหนูห้าหรือคุณหนูหก คุณหนูเจ็ดยังเล็กเกินไป…”
หลู่หยวนชิ่งนึกขึ้นได้ว่าหลู่หยวนเผิงคือสหายร่วมรบของคุณหนูสี่ไป๋ไป๋จิ่นจื้อ อีกทั้งยังเคยช่วยชีวิตคุณหนูสี่ในสนามรบอีกด้วย หลู่หยวนชิ่งผุดลุกขึ้นยืนทันที เขากระชากผ้าห่มของน้องชายออกอย่างแรง
“เจ้าชอบเกาอี้อ๋องอย่างนั้นหรือ”
ใบหน้าของหลู่หยวนเผิงแดงก่ำ เขากระชากผ้าห่มคืนจากพี่ชายด้วยความโมโห
“ข้าเปล่า ท่านพี่อย่ากล่าววาจาเหลวไหลนะขอรับ!”
หลู่หยวนชิ่งเห็นท่าทีของน้องชายจึงไม่ได้ยื้อผ้าห่มของเขาอีก ชายหนุ่มสงบลงและนั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิม จากนั้นกล่าวกับหลู่หยวนเผิง
“แม้ตระกูลของเราจะได้รับความเมตตาอย่างเหลือล้นจากฝ่าบาท ทว่า ฝ่าบาทเคยตรัสไว้ว่าจะไม่ใช้การแต่งงานของพระอนุชาและพระขนิษฐาของนางเป็นเครื่องมือทางการเมือง หากเจ้าชอบเกาอี้อ๋องจริงๆ ก็พยายามแสดงความสามารถของเจ้าออกมาอย่างเต็มที่ อย่าปล่อยให้นางทิ้งห่างเจ้าไปไกล จงสร้างความดีความชอบในสงครามครั้งนี้กลับมาให้ได้!”
หลู่หยวนเผิงที่หลบอยู่ในผ้าห่มได้ยินประโยคนี้จึงกำผ้าห่มแน่นจนมือชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาไม่รู้ว่าไป๋จิ่นจื้อคิดเช่นใดกับเขา
เขารู้สึกว่าไป๋จิ่นจื้อเห็นเขาเป็นเพียงท่อนไม้ที่มีชีวิตที่สามารถเป็นที่ฝึกฝนวิทยายุทธ์ของนางได้
หลู่หยวนเผิงเงียบไปครู่ใหญ่ จากนั้นกล่าวขึ้น
“ทว่า ข้ารู้สึกว่าไป๋จิ่นจื้อเห็นข้าเป็นเพียงท่อนไม้!”
หลู่หยวนเผิงไม่ได้คำตอบจากพี่ชาย หลู่หยวนชิ่งหมุนตัวเดินออกไปจากห้องทันที…
“…”
น้องชายแท้ๆ กำลังหวั่นไหวกับความรักครั้งแรก กำลังหวาดกลัวและต้องการการปลอบใจจากพี่ชาย ทว่า พี่ชายของเขาเดินหนีไปแล้ว…
ช่างดีจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นพวกของเฉิงหย่วนจื้อนอนซมอยู่ในรถม้าสำหรับเดินทาง
ไป๋จิ่นจื้อขี่ม้าออกไปส่งพวกเขาที่นอกเมืองตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อเห็นพวกซือหม่าผิง หลู่หยวนเผิงนอนคว่ำอยู่บนรถม้านางจึงหัวเราะขำจนแทบพลัดตกจากหลังม้า
หลู่เฟิ่งหลาง ฟ่านอวี้กานและหลิ่วหรูซื่อที่จะเดินทางไปเป็นทูตที่แคว้นตงอี๋เดินทางไปพร้อมกองทัพใหญ่ด้วย
ไป๋ชิงอวี๋เป็นตัวแทนไป๋ชิงเหยียนออกไปส่งพวกเฉิงหย่วนจื้อที่นอกเมือง…
เมื่อวานหลังจากที่เฉิงหย่วนจื้อได้รับราชโองการจากไป๋ชิงเหยียนเขาฝืนกายลุกขึ้นจากเตียงเพื่อไปขอเข้าเฝ้าไป๋ชิงเหยียนในวังหลวง ทว่า ไป๋ชิงเหยียนไม่ยอมพบเขา ได้แต่บอกให้เขากลับไปผักผ่อนให้เต็มที่
วันนี้ไป๋ชิงอวี๋มาเพื่อปลอบใจเฉิงหย่วนจื้อ แม้พวกเขาจะไปออกรบเพื่อทำคุณไถ่โทษ ทว่า นี่คือการให้โอกาสพวกเขาอีกครั้งของไป๋ชิงเหยียนเช่นเดียวกัน
“แม่ทัพเฉิง แม่ทัพเสิ่น ต่อจากนี้พวกท่านจงรอบคอบมากกว่านี้! กองทัพไป๋คือครอบครัวเดียวกัน ต่อไปไม่ว่ามีเรื่องอันใดสงสัยก็ควรปิดประตูคุยกันให้หายสงสัย ไม่ใช่ทำให้เรื่องกลายเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้!”
เสียงของไป๋ชิงอวี๋ดีขึ้นมากกว่าเดิมหลังจากได้รับการรักษาจากหมอหง แม้เสียงของเขาจะแหบพร่าน้อยลง ทว่า ยังคงมีความแหบอยู่ดี
“ท่านรองแม่ทัพ ข้าจะจำให้ขึ้นใจขอรับ!”
เฉิงหย่วนจื้อยกมือคารวะไป๋ชิงอวี๋
“ข้าจะจำให้ขึ้นใจเช่นเดียวกันขอรับ!”
เสิ่นเหลียงอวี้ยกมือคารวะไป๋ชิงอวี๋