ตอนที่ 1422 มีเอกลักษณ์
ทว่า คนที่หลิ่วหรูซื่อต้องสนับสนุนใหขึ้นครองราชย์ให้ได้เป็นคนแรกคือองค์ชายใหญ่!
ทว่า หากสุดท้ายแล้วองค์ชายใหญ่ไม่สามารถขึ้นครองราชย์ได้จริงๆ อย่างน้อยพวกเขาต้องทำสัญญาพันธมิตรกับองค์ชายสองให้ได้!
ฝ่าบาททรงวางพระทัยให้เขารับหน้าที่สำคัญนี้ เขาต้องควบคุมสถานการณ์ในตงอี๋ให้ได้ด้วยความสามารถทั้งหมดของเขา จะปล่อยให้เกิดเรื่องคาดฝันขึ้นไม่ได้เด็ดขาด
เมื่อเห็นฟ่านอวี้กานจ้องมาที่เขาไม่วางตาหลิ่วหรูซื่อจึงเอ่ยถามขึ้น
“ในเมื่อไม่มีเรื่องลำบากใจ เหตุใดต้องจ้องข้าเช่นนี้ด้วย”
เขาได้ยินฟ่านอวี้กานเอ่ยถามยิ้มๆ
“ใต้เท้าหลิ่ว ข้ากำลังเสียสละเพื่อแคว้น ข้าสามารถเบิกเงินจากใต้เท้าได้หรือไม่ขอรับ”
หลู่เฟิ่งหลาง “…”
หลิ่วหรูซื่อนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ เมื่อเห็นท่าทีคุณชายเจ้าสำราญของฟ่านอวี้กานจึงหลุดขำออกมาทันที เขากล่าวขึ้น
“ลำบากเจ้าเสียสละเพื่อแคว้นจริงๆ ไปขอเงินจากบ่าวรับใช้ของข้าได้เลย”
“ขอรับ!”
ฟ่านอวี้กานโค้งกายคำนับหลิ่วหรูซื่อ
“ข้าจะไปเปลี่ยนแครื่องแต่งกาย จากนั้นออกไปเดินเล่นที่หอนางโลมของแคว้นตงอี๋สักรอบขอรับ!”
“อย่าลืมพาองครักษ์ไปด้วย”
หลิ่วหรูซื่อยังคงไม่วางใจ
“ใต้เท้าหลิ่วไม่ต้องเป็นห่วง ข้าถนัดเรื่องการเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่สุดขอรับ!”
ฟ่านอวี้กานกล่าวยิ้มๆ
คืนนั้นฟ่านอวี้กานพาองครักษ์ออกไปเที่ยวเล่นที่หอนางโลมที่มีชื่อเสียงที่สุดของแคว้นตงอี๋อย่างเปิดเผย เขาไปชมความงามสาวงามของแคว้นตงอี๋ ทุ่มเงินให้พวกนางอย่างคนใจป้ำ ถึงขนาดกล้าแย่งสาวงามกับคุณชายตระกูลสูงศักดิ์ของตงอี๋ ทำตัวเสเพลเหมือนตอนที่อยู่ในเมืองหลวงของต้าโจวไม่มีผิดเพี้ยน
ตอนแรกแคว้นตงอี๋ยังไม่รู้ประวัติอย่างละเอียดของหลิ่วหรูซื่อ หลู่เฟิ่งหลางและฟ่านอวี้กาน
ทว่า แคว้นเทียนเฟิ่งอาสาสืบประวัติของคนทั้งสามให้แคว้นตงอี๋ เมื่อขุนนางของต้าโจวเข้าเฝ้าจักรพรรดิของตงอี๋เสร็จขุนนางของตงอี๋จึงรู้ฐานะและนิสัยของคนทั้งสามจากคนเทียนเฟิ่ง
หลิ่วหรูซื่อคือขุนนางคนสำคัญของแคว้นต้าโจว เขาขึ้นชื่อเรื่องวาทศิลป์ที่เก่งกาจ
ทว่า พวกเขารู้เรื่องเกี่ยวกับหลู่เฟิ่งหลางไม่ค่อยมาก หลู่เฟิ่งหลางคือสตรีตระกูลสูงศักดิ์ที่ก่อนหน้านี้อาศัยอยู่แต่ใจจวน คนของแคว้นเทียนเฟิ่งไม่สามารถยื่นมือเข้าไปในจวนหลู่ได้
ทว่า พวกเขาสืบประวัติฟ่านอวี้กานจนรู้แน่ชัดว่าเขาเคยเป็นคุณชายเจ้าสำราญที่ขึ้นชื่อในเมืองหลวงของต้าโจว ก่อนหน้านี้บิดาของเขาทำผิดจนถูกจับขังคุก ฟ่านอวี้กานจึงหันมาตั้งใจอ่านหนังสือเพื่อสอบเป็นขุนนาง ทว่า เมื่อเดินทางมาถึงแคว้นตงอี๋เขากลับไปเที่ยวเล่นในหอนางโลม เห็นได้ชัดว่าสันดานไม่ได้แก้กันได้ง่ายๆ เมื่อเห็นว่าแคว้นตงอี๋อยู่ห่างไกลจากสายตาของจักรพรรดินีแห่งต้าโจวจึงเผยธาตุแท้ของตัวเองออกมา ขุนนางตงอี๋จึงไม่ได้สนใจฟ่านอวี้กานมากนัก
ฟ่านอวี้กานออกไปเที่ยวเล่นที่หอนางโลมถึงสามวันติด หอนางโลมในแคว้นตงอี๋มีมากมายฟ่านอวี้กานจึงเปลี่ยนสถานที่เที่ยวเล่นทุกวันเพื่อความแปลกใหม่ บางคืนเขาไปถึงสองสามที่ สาวงามมีมากมายดังนั้นเขาต้องได้ยลโฉมอย่างทั่วถึง ไม่เพียงเท่านี้เขายังเรียนรู้ภาษาตงอี๋จากพวกนางอีกด้วย
เมื่อฟ่านอวี้กานพบคุณชายเจ้าสำราญของแคว้นตงอี๋จึงใจป้ำเลี้ยงอาหารพวกเขา อาจเป็นเพราะเป็นคนประเภทเดียวกันฟ่านอวี้กานจึงตีสนิทคุณชายเจ้าสำราญเหล่านั้นได้ในเวลาไม่นาน
คุณชายเจ้าสำราญเหล่านั้นได้รับคำสั่งจากคนในครอบครัวให้ตีสนิทกับฟ่านอวี้กานเพื่อล้วงข้อมูลของต้าโจวเช่นเดียวกัน
ฟ่านอวี้กานแสดงบทบาทคุณชายเจ้าสำราญไร้สมองได้อย่างสมบทบาท ตอนแรกที่ผู้อื่นถามสิ่งใดเขาเขาจะปิดปากสนิท ทว่า เมื่อเหล้าเข้าปากไปได้สักพักเขาจะเผลอบอกความลับออกมา จากนั้นกอดคอของผู้ถามแน่นพลางกำชับว่าห้ามไปบอกคนที่สามอีก!
ดังนั้นหลายวันมานี้คุณชายเจ้าสำราญของแคว้นตงอี๋จึงล้วงความลับที่หลิ่วหรูซื่อต้องการให้คนตงอี๋รับรู้ผ่านฟ่านอวี้กานไปได้ไม่น้อย
ฟ่านอวี้กานไปเที่ยวเล่นในหอนางโลมถึงสามวันติด ในที่สุดวันที่สี่เขาก็ได้พบองค์ชายสอง ทว่า ฟ่านอวี้กานกลับเผลอไปแย่งตัวสาวงามอันดับหนึ่งของหอนางโลมกับองค์ชายสอง เมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายจึงได้แต่ยิ้มแห้งพลางกล่าวขอขมา เขาบอกว่าหากรู้ว่าอีกฝ่ายคือองค์ชายสองจะไม่มีวันแย่งสาวงามกับองค์ชายสองแน่นอน
ฟ่านอวี้กานกล่าวว่าตนคงอยู่ในแคว้นตงอี๋อีกไม่นานก็ต้องจากไปแล้ว ถึงเวลานั้นเขาคงต้องกลับไปเป็นคนที่อยู่ในกรอบเกณฑ์เช่นเดิม ตอนนี้เขาจึงอยากปลดปล่อยอย่างเต็มที่เสียก่อน หวังว่าองค์ชายสองจะไม่ถือสาเขา
องค์ชายสองผู้อารมณ์ร้อนเห็นฟ่านอวี้กานยืนโซเซไปมาอยู่ตรงหน้าจึงขมวดคิ้วยุ่ง ทว่า เขาไม่ได้โมโหอย่างที่ทุกคนคิด ยังให้คนไปช่วยพยุงอย่างของฟ่านอวี้กานด้วยความหวังดีอีก องค์ชายสองกล่าวอย่างใจกว้าง
“แค่นางคณิกาที่บรรเลงพิณได้ดีเท่านั้น! ฟังคนเดียวหรือสองคนก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก ใต้เท้าฟ่านคือแขกจากแดนไกล หากไม่รังเกียจก็เชิญมาฟังด้วยกันสิ!”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ร่างของฟ่านอวี้กานถูกประคองขึ้นไปชั้นบน เขานั่งฟังสาวงามอันดับหนึ่งของหอนางโลมบรรเลงพิณอยู่กับองค์ชายสองของแคว้นตงอี๋ ทั้งยังตะโกนตำหนิหาว่าสาวงามบรรเลงพิณไม่ไพเราะ จากนั้นลงมือบรรเลงเพลงของกองทัพไป๋ด้วยตัวเอง
แม้ว่าฟ่านอวี้กานจะเมาแล้ว ทว่า เขายังคงบรรเลงเพลงพิณได้อย่างคล่องแคล่ว แม้จะไม่ได้ใช้ผีผาใช้เพียงพิณธรรมดาก็บรรเลงออกมาได้อย่างฮึกเหิมปลุกใจยิ่งนัก องค์ชายสองต้องมองเขาใหม่จริงๆ
ฟ่านอวี้กานจำได้ดีว่าองค์ชายสองชอบเสียงพิณ
แม้ฟ่านอวี้กานจะเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ทว่า เขาเกิดมาในตระกูลสูงศักดิ์ ดังนั้นการบรรเลงพิณคือเรื่องถนัดของเขา
ฟ่านอวี้กานรู้สึกขอบคุณนางรำคังน่าของแคว้นซีเหลียงจริงๆ ที่แต่งบทเพลงที่ไพเราะและโดดเด่นมีเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างบทเพลง ‘กองทัพไป๋ออกศึก’ บทเพลงนี้ขึ้นมา
องค์ชายสองชอบเสียงพิณดังนั้นเขาจึงมองฟ่านอวี้กานไม่เหมือนเดิมจริงๆ ขณะที่องค์ชายสองกำลังจะเอ่ยชมเขาก็เห็นฟ่านอวี้กานลุกขึ้นด้วยท่าทีโซเซ จากนั้นล้มลงบนพื้นแล้ว…หลับไปทันที
“องค์ชาย”
องครักษ์ขององค์ชายสองเหลือบมองไปทางฟ่านอวี้กานแวบหนึ่ง จากนั้นหันไปบอกองค์ชายสอง
“ดูเหมือนจะหลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์ชายสองเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเป็นจังหวะ จากนั้นส่งสายตาให้องครักษ์ลองทดสอบดูว่าฟ่านอวี้กานเมาหลับไปจริงหรือไม่…
องครักษ์ตบหน้าฟ่านอวี้กานเบาๆ
“ใต้เท้าฟ่าน ใต้เท้าฟ่านขอรับ!”
ฟ่านอวี้กานอยากยกมือขึ้นปัดมือขององครักษ์ออก ทว่า ยกขึ้นได้เพียงนิดเดียวก็ไร้เรี่ยวแรงเสียก่อน ลมหายใจของเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าหึ่ง เขาบ่นพึมพำอันใดสักอย่างที่องครักษ์ได้ยินไม่ชัด
องครักษ์หันไปพยักหน้าให้องค์ชายสอง
องค์ชายสองมองไปทางร่างของฟ่านอวี้กานนิ่ง จากนั้นกล่าวขึ้น “เจ้าพาใต้เท้าหลิ่วไปส่งให้เรียบร้อย…”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ไม่นานร่างของฟ่านอวี้กานที่เมาจนสลบไม่ได้สติจึงถูกองครักษ์แบกออกไปจากหอนางโลม
หลิ่วหรูซื่อและหลู่เฟิ่งหลางรู้เรื่องจึงรีบไปที่ห้องของฟ่านอวี้กาน พวกเขาเห็นร่างของฟ่านอวี้กานที่สลบไม่ได้สติถูกองครักษ์ขององค์ชายสองวางลงบนเตียง
“ใต้เท้าหลิ่ว ข้าบอกแล้วว่าฟ่านอวี้กานเพิ่งพาไม่ได้ ไม่ควรพาเขามาที่นี่ด้วย! เขามันตัวปัญหาชัดๆ หากไม่มีฝ่าบาทคอยปรามก็ไม่มีผู้ใดคุมเขาได้หรอกเจ้าค่ะ!”
พอหลู่เฟิ่งหลางก้าวธรณีประตูเข้ามาด้านในก็ขมวดคิ้วแน่นทันทีราวกับไม่คิดว่าองครักษ์ขององค์ชายสองจะอยู่ที่นี่ด้วย นางได้แต่ยืนเม้มปากนิ่งอยู่ด้านหลังหลิ่วหรูซื่อด้วยไม่กล่าวสิ่งใดอีกทั้งสิ้น