ตอนที่ 423 พูดถึงเรื่องแต่งงาน
ตอนที่ 423 พูดถึงเรื่องแต่งงาน
เมื่อหลี่เหม่ยเฟิ่งพูดถึงเรื่องแต่งงาน คุณแม่เซี่ยก็หัวเราะร่วนอย่างมีความสุข “ฉันเองก็อยากรีบจัดการเรื่องการแต่งงานโดยเร็วที่สุดเช่นกัน แต่เรายังต้องเคารพการตัดสินใจของลูก ๆ ในฐานะพ่อแม่ ลูกเราต่างก็โตขนาดนี้แล้ว ไม่อยากให้พวกเขาลอยชายไร้ฝั่งฝา”
คุณแม่เซี่ยถอนหายใจและพูดว่า “แม่เสี่ยวเย่ ฉันจะบอกความจริงกับคุณ ถึงเซี่ยอวี่ของฉันจะประสบความสำเร็จด้านอาชีพการงานจนคนนอกต่างขนานนามหล่อนว่าเป็นราชินีภาพยนตร์อย่างยิ่งใหญ่ มีแฟนคลับมากมายที่รักและสนับสนุนผลงาน ทั้งยังสดใสและสวยมีเสน่ห์มากจนคนอื่นต่างก็อิจฉาฉันในฐานะแม่ แต่ในใจฉันไม่เคยรู้สึกมั่นคงเลย สิ่งที่ทำให้ฉันกังวลมากที่สุดคือปัญหาส่วนตัวของหล่อนนี่แหละ ที่ไม่ว่าหล่อนจะประสบความสำเร็จด้านอาชีพการงานแค่ไหนก็ยังขาดคนข้างกายที่พร้อมจะเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด ฉันกังวลตลอดว่าถ้าวันหนึ่งมีอะไรเกิดขึ้น ถ้าฉันไม่อยู่แล้ว ใครจะดูแลหล่อน? ไม่คาดคิดเลยว่าฉันจะได้เจอกับเสี่ยวเย่ทันทีที่มาถึงไห่เฉิง แถมทั้งสองคนตกหลุมรักกันตั้งแต่แรกเห็น ช่างเป็นโชคชะตาจริง ๆ”
เมื่อคุณแม่เซี่ยพูดจบ รอยยิ้มบนริมฝีปากก็กว้างขึ้น แทบจะฉีกไปถึงใบหูอย่างมีความสุข
“ใช่แล้ว ช่างเป็นโชคชะตาจริงๆ ค่ะ”
หลี่เหม่ยเฟิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เราก็กังวลเกี่ยวกับปัญหาส่วนตัวของเจ้าลูกชายมากเหมือนกัน เขาสนใจแต่การเรียน และยุ่งมากกับงานที่โรงพยาบาล หลังเลิกงานก็ขลุกอยู่กับหนังสือทางการแพทย์ตลอดทั้งวัน ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องความสัมพันธ์เลย ญาติ ๆ เคยแนะนำให้เขารู้จักกับผู้หญิงคนอื่นมาก่อน ฉันกับพ่อเขาจะกังวลมากแค่ไหน เราก็ไม่กล้ารบกวนหรือทำให้เขาเสียสมาธิ ไม่ได้คาดหวังเลยว่าเขาจะมีความสามารถขนาดนี้ ถึงกับคบหาแฟนสาวที่มีความสามารถยอดเยี่ยมและงดงาม ครอบครัวเราทุกคนชอบเซี่ยอวี่มาก โดยเฉพาะฉันที่เป็นแฟนตัวยงของหล่อนตกใจมากเมื่อเห็นหล่อนในวันนั้น เย่ไป๋เก็บเป็นความลับมาตลอด ทุกวันนี้ยังประหลาดใจไม่หายเลยที่เย่ไป๋สามารถหาแฟนระดับเซี่ยอวี่ได้ นับเป็นพรของเราจริง ๆ ค่ะ บรรพบุรุษต้องกำลังอวยพรพวกเราอยู่แน่”
ผู้หญิงสองคนได้พบกันเป็นครั้งแรก แต่ทั้งสองฝ่ายต่างมีหัวข้อสนทนาที่น่าสนใจมาก หยิบยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาแข่งขันกันเอง
แน่นอนว่าพวกหล่อนพึงพอใจมากกับแฟนที่ลูกๆ พากลับมาให้ดูตัวจากก้นบึ้งหัวใจ
เย่เจิ้งหัวข้ามฝั่งมาที่ร้านอาหารหลังจากตัดผมแล้ว
หลี่เหม่ยเฟิ่งลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ ดึงเย่เจิ้งหัวไปหาคุณแม่เซี่ย และแนะนำว่า “พี่สาวคะ นี่เย่เจิ้งหัวสามีของฉัน พ่อของเย่ไป๋ค่ะ”
“ส่วนนี่คือแม่ของเซี่ยอวี่ ว่าที่สะใภ้ในอนาคตของเราไงคะ” หลี่เหม่ยเฟิ่งพูดอย่างร่าเริง
“สวัสดีครับ”
“พ่อเสี่ยวเย่ นั่งลงเร็วเข้าค่ะ”
ขณะนี้ไม่มีใครอยู่ในร้านอาหาร คุณแม่เซี่ยจึงเรียกเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงซึ่งกำลังยุ่งอยู่ในครัวออกมา แล้วแนะนำเย่เจิ้งหัวกับหลี่เหม่ยเฟิ่งให้พวกเขารู้จัก
ทั้งยังพูดคุยเกี่ยวกับเซี่ยอวี่ที่ยอมตามเย่ไป๋กลับบ้านไปเจอพ่อแม่ของเขา
เดิมทีเซี่ยเหลยมักจะสงสัยว่าเย่ไป๋กับเซี่ยอวี่ตกหลุมรักกันเร็วเกินไป และสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
แต่เมื่อได้ยินว่าหล่อนแอบไปเจอพ่อแม่ของฝ่ายชายโดยไม่บอกกล่าว เซี่ยเหลยก็เริ่มเชื่อจากก้นบึ้งหัวใจว่าน้องสาวของเขาคงคิดจะสละโสดแน่แล้ว
หลิวกุ้ยอิงยิ้มและถามว่า “พวกคุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหมคะ? เดี๋ยวฉันจะเข้าไปทำให้”
เย่เจิ้งหัวตอบว่า “อย่าเป็นธุระเลยครับ วันนี้พวกเราบังเอิญมาที่นี่เพื่อตัดผมที่ร้านของเซี่ยเซี่ย ก็เลยแวะเข้ามาทักทายเท่านั้นเอง”
“เราขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงพวกคุณเองค่ะ จะได้นั่งคุยกันไปพลางทานอาหารกันไปพลาง”
เมื่อเย่เจิ้งหัวเห็นเซี่ยเหลย เขาก็เดินไปจับมือกับอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้นมาก
คุณแม่เซี่ยมองไปที่เย่เจิ้งหัวแล้วถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณทำงานอะไรอยู่เหรอคะ?”
เขาดูเป็นคนติดดิน ทั้งยังมีความเป็นกันเองสูงมาก
เย่เจิ้งหัวตอบอย่างนอบน้อมและสุภาพว่า “ผมทำงานในแวดวงวรรณกรรมครับ”
หลี่เหม่ยเฟิ่งกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้ม “เขาเป็นนักเขียนที่มีความคิดสร้างสรรค์ค่ะ ฝีมือดีเสียจนได้ตีพิมพ์หนังสือถึงสองเล่ม ไม่คาดคิดว่าแม้แต่คุณเซี่ยอวี่เองก็ยังคงเป็นแฟนหนังสือของเขาด้วย หล่อนบอกว่าชอบอ่านหนังสือของเขามาก ครั้งสุดท้ายที่หล่อนไปบ้านของเรา เราได้พูดคุยสิ่งที่น่าสนใจมากมายเลยล่ะค่ะ
ขณะนี้เขากำลังหารือเรื่องลิขสิทธิ์กับผู้กำกับที่มาติดต่อซื้อ ถ้าขายและดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ได้สำเร็จ เขาตั้งใจว่าจะเชิญคุณเซี่ยอวี่มาแสดงนำ”
“นักเขียนงั้นเหรอคะ?”
คุณแม่เซี่ยมองเย่เจิ้งหัวด้วยความชื่นชม “ครอบครัวปัญญาชนนี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกคุณสามารถเลี้ยงดูลูกชายที่โดดเด่นแบบเย่ไป๋ได้ น่าชื่นชมมากจริง ๆ”
คุณแม่เซี่ยพอใจมากยิ่งขึ้นที่เซี่ยอวี่กำลังจะได้แต่งเป็นสะใภ้ของครอบครัวนักวิชาการ
ภูมิหลังครอบครัวของเย่ไป๋นั้นดีกว่าพวกนักธุรกิจในฮ่องกงก่อนหน้านี้เสียอีก
ขณะที่พวกเขากำลังนั่งคุยกัน หลิวกุ้ยอิงก็เข้าไปในห้องครัวเพียงลำพัง ไม่นานก็ยกอาหารออกมาเสิร์ฟ
เครื่องเคียงและอาหารผัดสี่จานถูกนำมาวางเรียงรายบนโต๊ะในเวลาอันสั้น
คุณแม่เซี่ยมองดูผู้หญิงที่เปี่ยมด้วยคุณธรรมและคล่องแคล่วว่องไวคนนี้ด้วยสีหน้าอ่อนโยน
นางพูดว่า “กุ้ยอิง นั่งลงด้วยกันสิ”
ขณะที่หลิวกุ้ยอิงกำลังจะนั่ง ลูกค้าอีกคนก็เข้ามาซื้ออาหาร
เมื่อเซี่ยเหลยกำลังจะลุกขึ้น หลิวกุ้ยอิงก็พูดว่า “นั่งลงเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันทำเอง”
เนื่องจากเซี่ยอวี่เป็นฝ่ายตามเย่ไป๋กลับไปที่บ้านตระกูลเย่เพื่อเจอกับพ่อแม่ของเขาแล้ว ในความเห็นของพวกเขา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองมีแนวโน้มว่าจะมั่นคงมาก พวกเขาทั้งคู่ไม่ใช่เด็ก ๆ หลังจากพบปะพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย ขั้นตอนต่อไปก็คงไม่พ้นพูดคุยเกี่ยวกับการแต่งงาน
ดังนั้นทุกคนจึงผ่อนคลายต่อกันมากในขณะที่พูดคุยสัพเพเหระกัน
คุณแม่เซี่ยเป็นคนใจดีมาก เย่เจิ้งหัวและหลี่เหม่ยเฟิ่งเป็นทั้งปัญญาชน มีระดับการศึกษาที่ดี ทั้งยังมีฐานะดี ด้วยความที่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายต่างมีฐานะกันทั้งคู่ ทำให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องกังขาเรื่องเงินทองหรือปัจจัยภายนอกอื่น ๆ
ทุกคนมีช่วงเวลาที่ดีในการพูดคุย
เซี่ยเหลยช้ากว่าใครเพราะเขาไม่ใช่คนช่างพูด เย่เจิ้งหัวก็ตื่นเต้นมากเช่นกันเมื่อเจอเซี่ยเหลยเป็นครั้งแรก เนื่องจากตอนนี้พวกเขาคุ้นเคยกันในระดับหนึ่งแล้ว เขาจึงมองไปที่เซี่ยเหลยด้วยความชื่นชม และพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “สหายเซี่ยเหลย คุณเป็นทหารที่มีจิตใจยิ่งใหญ่มาก จิตวิญญาณของคุณสมควรแก่การเรียนรู้และยึดถือเป็นแบบอย่างจากพวกเราทุกคน”
เซี่ยเหลยยิ้มบาง ๆ และตอบกลับว่า “ขอบคุณสำหรับคำชมเชยครับ”
เย่เจิ้งหัวทำหน้าจริงจังมาก “ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมเคารพและศรัทธาคุณจากก้นบึ้งของหัวใจ ถ้าเรามีโอกาส ในอนาคตมาดื่มด้วยกันสักสองสามแก้วดีกว่า เป็นไปได้ผมอยากบันทึกเรื่องราวระหว่างคุณกับสหายกุ้ยอิงเอาไว้”
เซี่ยเหลยเหลือบมองไปทางห้องครัว แสงอันนุ่มนวลส่องผ่านใบหน้าของเขา ก่อนจะพยักหน้า “ได้ครับ”
เซี่ยเหลยยินดีที่จะแบ่งปันเรื่องราวของพวกเขา นี่ทำให้เย่เจิ้งหัวยิ่งปลื้มปีติยิ่งกว่าเก่า
เขายืนขึ้น ยื่นมือออกไปจับมือกับเซี่ยเหลยและขอบคุณเขาว่า “ขอบคุณครับ เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมจะได้เขียนถ่ายทอดเรื่องราวของคุณ”
“ด้วยความยินดีครับ”
เซี่ยเหลยรู้สึกเป็นเกียรติเช่นเดียวกันที่นักเขียนชื่อดังอย่างเย่เจิ้งหัวเต็มใจที่จะบันทึกเรื่องราวของพวกเขา
หากเรื่องราวของพวกเขาสามารถบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรได้ คงเป็นเรื่องดีสำหรับทั้งสองที่จะเก็บไว้อ่านเมื่อแก่ตัวลง
หลี่เหม่ยเฟิ่งมองดูป้ายห้องเต้นรำที่อยู่ตรงข้ามในแนวทแยง แล้วถามคุณแม่เซี่ยว่า “ได้ยินมาว่าห้องเต้นรำที่อยู่ข้าง ๆ ก็เป็นกิจการของอารองของเซี่ยเซี่ยด้วย ใช่ไหมคะ?”
คุณแม่เซี่ยยิ้มและตอบว่า “ใช่ค่ะ ลูกชายคนเล็กของฉันเป็นเจ้าของเอง เขาเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันกับเย่ไป๋และเจียเหอ แต่ตอนนี้ไม่ได้อยู่ในไห่เฉิง เขาพาเซี่ยเซี่ยไปซื้อของที่เชินเฉิงด้วยกันน่ะค่ะ”
หลี่เหม่ยเฟิ่งถอนหายใจ “เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่มองการณ์ไกลจริง ๆ”
“เขาแค่ชอบการทำธุรกิจค่ะ หลังปลดประจำการออกจากกองทัพ เขาก็เบนสายไปทำธุรกิจนานหลายปีแล้ว ไม่กี่ปีมานี้เขายังตั้งหลักได้ไม่มั่นคงในเชินเฉิงด้วยซ้ำ ตอนนี้ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทางหมดแล้ว สังคมรอบข้างก็เติบโตตาม เขาเลยยังคว้าโอกาสทำเงินได้ กระทั่งมีเงินทุนมากพอที่จะเปิดห้องเต้นรำสองสาขา ในที่สุดเขาก็มีความมั่นคงแล้วค่ะ”
แม้คุณแม่เซี่ยจะพูดถึงเรื่องนี้ผ่านสีหน้าเรียบเฉย แต่ก็ไม่สามารถซ่อนเร้นความภาคภูมิใจที่มีได้
“เป็นเรื่องน่าทึ่งมากที่เขามีหัวคิดเฉียบแหลมทางด้านธุรกิจ ฉันได้ยินจากเย่ไป๋ว่าเถ้าแก่เซี่ยคนนี้มีความกล้ามากพอที่จะเสี่ยง พวกเขาถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มดี มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยสนับสนุนการพัฒนาสังคม”
ทุกคนในตระกูลเซี่ย รวมถึงเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยต่างก็มีความสามารถที่โดดเด่น มีแรงบันดาลใจเต็มเปี่ยม และความขยันสู้งานไม่ย่อท้อ หลี่เหม่ยเฟิ่งรู้สึกว่าพวกเขาช่างมีพลังเหลือเกิน
พอลองเปรียบเทียบกับเรื่องดังกล่าว สถานะตระกูลเย่ของพวกเขาดูเหมือนจะด้อยกว่าเล็กน้อย
เซี่ยอวี่เองก็โดดเด่นมากไม่แพ้กัน พี่ใหญ่ของหล่อนเป็นถึงวีรบุรุษทหารผ่านศึก น้องชายเป็นเถ้าแก่ใหญ่ ทั้งครอบครัวมีเสถียรภาพแข็งแกร่งมาก
อย่างไรก็ตาม พอลองคิดอีกครั้ง เหล่าเย่ของหล่อนเองก็เป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงวรรณกรรม เขาแค่มีนิสัยถ่อมตัวและไม่ชอบโอ้อวด
ลูกสาวของหล่อนก็มีอาชีพการงานที่มั่นคงของราชการ มีแค่หล่อนคนเดียวที่กลายเป็นเพียงแม่บ้านธรรมดา ๆ หลังเกษียณ
หลี่เหม่ยเฟิ่งรู้สึกเสียใจที่ตนปลดเกษียณเร็วไปหน่อย
ไม่อย่างนั้นพอเซี่ยอวี่แต่งงานกับลูกชายของหล่อนซึ่งเป็นศาสตราจารย์นายแพทย์ที่อายุยังน้อยอนาคตไกล ในฐานะสมาชิกครอบครัวแล้ว พวกเขาย่อมไม่ต้องการเป็นตัวปัญหาหรือภาระให้กับลูกชาย
คุณแม่เซี่ยนั่งฟังการสนทนาระหว่างเย่เจิ้งหัวและเซี่ยเหลย จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อเย่ไป๋ ฉันไม่คาดคิดเลยว่าคุณจะเป็นนักเขียนชื่อดังของวงการ เย่ไป๋คนนั้นไปมาหาสู่กับเราบ่อยแท้ ๆ แต่เขาไม่ได้เปิดเผยภูมิหลังใด ๆ ให้เรารับรู้เลย”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ ผมไม่ใช่นักเขียนที่โด่งดังอะไร”
หลังจากนั่งไปได้สักพัก ลูกค้าก็ทยอยเข้ามาในร้านอาหารทีละคน เพื่อไม่ให้รบกวนเวลาส่วนตัวของลูกค้าคนอื่น เย่เจิ้งหัวและหลี่เหม่ยเฟิ่งจึงยืนขึ้นเตรียมตัวจะจากไป “ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อน รอให้เด็กทั้งสองว่างตรงกัน เราจะเป็นฝ่ายเชิญพวกคุณไปกินอาหารดี ๆ สักมื้ออย่างเป็นทางการนะครับ”
“ค่ะ ไว้วันหลังเราค่อยนัดกินข้าวด้วยกัน”
ขณะที่กลุ่มคนกำลังจะเดินออกไป ‘ครอบครัวสามคน’ ก็เดินสวนเข้ามาในร้านอาหาร
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ผู้ใหญ่จากทั้งสองบ้านคุยตกลงกันจะแต่งงานแล้ว แผนแฟนปลอมๆ ท่าทางจะถอนตัวยากแล้วล่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)