ตอนที่ 433 ขอให้แฟนคุณช่วยป้อนสิ
ตอนที่ 433 ขอให้แฟนคุณช่วยป้อนสิ
หมอคนเดียวกันกับที่เย็บแผลให้เย่ไป๋เข้ามาเปลี่ยนขวดยา ทำให้เขาบังเอิญได้ยินบทสนทนาระหว่างเย่ไป๋กับเฉินเจียเหอ ดวงตาของเขาจับจ้องไปทางเซี่ยอวี่ที่ยืนอยู่ตรงมุมห้อง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นขอให้แฟนคุณช่วยป้อนสิ”
เซี่ยอวี่พยายามอย่างยิ่งที่จะซ่อนการมีอยู่ของตัวเอง แต่เมื่อหมอออกปากพูด หล่อนก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้อีก จึงต้องก้าวไปข้างหน้าและลากเก้าอี้มานั่ง หยิบตะเกียบจากมือของเย่ไป๋แล้วพูดว่า “ฉันช่วยเอง”
ผู้ชายคนนี้ได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยชีวิตหล่อน หมอบอกว่าเขาเกือบตาย พระคุณแห่งการช่วยชีวิตยิ่งใหญ่กว่าฟ้า แค่ป้อนข้าวเขาจะเป็นไรไป?
หมอหนุ่มเปลี่ยนขวดยาเสร็จ เขาก็หันมาแจ้งให้เฉินเจียเหอไปทำเรื่องเอกสารการเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลของเย่ไป๋ ก่อนจะจากไป
เขาต้องนอนนิ่ง ๆ อย่างนี้ต่อไปสักสองสามวัน
ทันทีที่เฉินเจียเหอจากไป ภายในห้องจึงเหลือแค่เซี่ยอวี่และเย่ไป๋สองคน
เนื่องจากต้องป้อนบะหมี่ให้เขา ระยะจึงใกล้ชิดกับเขามาก พอเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นแพขนตาที่โค้งงอนของหล่อนอย่างชัดเจน
กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ จากร่างกายของหล่อนลอยกรุ่นมาเข้าจมูก ทำให้กลิ่นอันไม่พึงประสงค์ของยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาลเจือจางลงไปมาก
การป้อนอาหารของเซี่ยอวี่นับว่าชำนาญและเป็นธรรมชาติมาก ตอนที่พี่ใหญ่ของหล่อนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย หล่อนและแม่ต้องผลัดกันป้อนอาหารให้เขาเป็นเวลานาน ดังนั้นไม่แปลกที่หล่อนจะมีประสบการณ์
หลังจากป้อนบะหมี่เย่ไป๋เสร็จแล้ว หล่อนก็ต้องการช่วยประคองเย่ไป๋ให้นอนลง แต่อาการบาดเจ็บบริเวณเอวส่วนล่างอยู่ด้านหลัง เขาไม่สามารถนอนราบตามปกติได้ ขยับนิดเดียวบาดแผลก็เหมือนจะฉีกออก ทำให้เย่ไป๋ขมวดคิ้วและร้องโอดครวญเบาๆ
เธอถามเบา ๆ “เจ็บเหรอคะ?”
เย่ไป๋พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เจ็บ”
เขาเลือกที่จะนั่งตัวตรงต่อไปเพื่อป้องกันแรงกดทับจากบาดแผล “เพิ่งจะกินข้าวเสร็จ ขอนั่งพักสักหน่อยแล้วกัน”
เซี่ยอวี่ยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าเขาแสร้งทำเหมือนมันไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร
“เย่ไป๋ ขอบคุณนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ” เย่ไป๋สบตาหล่อนแล้วตอบกลับเบา ๆ “ผมจะบาดเจ็บยังไงไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณจะต้องปลอดภัยดี”
คำพูดของเขาหนักแน่น ความอบอุ่นโอบล้อมหัวใจของเซี่ยอวี่จนอดไม่ได้ที่ใจจะเต้นระรัว
นอกเหนือจากพี่ชายและน้องชายของหล่อน ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเลยที่ยอมเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเพื่อปกป้องหล่อนถึงขนาดนี้
ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของหล่อนมาก่อนความปลอดภัยส่วนตัวของตัวเอง
เซี่ยอวี่มองเขาด้วยอารมณ์ซับซ้อนมากมายที่ผสมปนเปกันอยู่ในใจ เมื่อเย่ไป๋เห็นว่าหล่อนเอาแต่จ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า จึงยิ้มแล้วพูดว่า “ผมไม่ได้เจ็บปวดอะไรขนาดนั้นจริง ๆ อย่าเก็บมาเป็นภาระทางจิตใจเลย”
ทันใดนั้น ประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดออก ตามด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจในเครื่องแบบสองนายที่ตามเข้ามา
เฉินเจียเหอและเซี่ยเหลยก็มาด้วย
เฉินเจียเหอบอกกับพวกเขาว่า “สหายตำรวจสองคนนี้มาเพื่อสอบปากคำเกี่ยวกับสถานการณ์”
“สวัสดีค่ะ สหายตำรวจ”
เซี่ยอวี่ถามอย่างกระตือรือร้น “อันธพาลพวกนั้นถูกจับแล้วใช่ไหมคะ?”
สหายตำรวจตอบว่า “เราตามจับได้หมดแล้วครับ”
เซี่ยเหลยถามสั้น ๆ เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเย่ไป๋ จากนั้นตำรวจทั้งสองก็เริ่มจดบันทึกคำให้การจากปากของเย่ไป๋และเซี่ยอวี่
“หมอเย่ครับ จากนี้อย่าลืมดูแลรักษาตัวดี ๆ คนร้ายพวกนั้นถูกควบคุมตัวไว้โดยพวกเราแล้ว ต่อไปนี้พวกเราจะสอบสวนพวกเขาอย่างจริงจัง”
“ครับ ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของคุณ”
เซี่ยเหลยกล่าวขอบคุณและแสดงความห่วงใยต่อเย่ไป๋ ตอนนี้ดึกมากแล้ว เย่ไป๋จึงรีบบอกให้พวกเขารีบกลับไปก่อน
“คืนนี้ฉันยังต้องกลับไปทำงานล่วงเวลา ต้องรื้อตัวถังของหัวรถจักรคันเก่า ฉันเลยต้องเฝ้าอยู่ที่ไซต์งานเพื่อคุมงาน คงจะอยู่เฝ้านายไม่ได้” เขาถามเย่ไป๋ “คืนนี้นายนอนคนเดียวได้ไหม?”
“ไม่มีปัญหา นายกลับไปเถอะ”
เซี่ยเหลยขอให้เซี่ยอวี่อยู่เฝ้าเขาในฐานะผู้ช่วย เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นแฟนกัน แถมแฟนหนุ่มก็ต้องมาเจ็บปวดเพราะช่วยชีวิตหล่อนไว้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสมควรที่หล่อนต้องอยู่ดูแล
เย่ไป๋เหลือบมองเซี่ยอวี่ แล้วปฏิเสธข้อเสนอของเซี่ยเหลย “พี่ใหญ่ วันนี้หล่อนเพิ่งพบเจอเรื่องสะเทือนใจมา ให้หล่อนกลับไปพักผ่อนเถอะครับ โรงพยาบาลคือถิ่นของผม ถ้ามีอะไรเดือดร้อน เพื่อนร่วมงานของผมสามารถช่วยได้”
เซี่ยเหลยตอบกลับ “ได้ งั้นพวกเราขอตัวกลับก่อนนะ ไว้จะให้เซี่ยอวี่มาส่งอาหารให้นายพรุ่งนี้เช้า”
เดิมทีเซี่ยอวี่ต้องการคุยกับเฉินเจียเหอเกี่ยวกับการลงทุนของหลินเซี่ยในวันนี้ แต่ด้วยหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้น ทำให้หล่อนไม่มีอารมณ์จะคุยเรื่องนี้อีกต่อไปเมื่อได้เจอหน้าเฉินเจียเหอ
ที่สำคัญคือพี่ใหญ่ก็อยู่ข้าง ๆ หลินเซี่ยเพิ่งบอกกับหล่อนอย่างชัดเจนว่าไม่อยากให้พ่อแม่รู้เรื่องนี้
หลังออกจากโรงพยาบาล พวกเขาก็เรียกแท็กซี่กลับบ้าน เซี่ยอวี่ถามเฉินเจียเหอว่า “เจียเหอ ได้โทรหาเซี่ยเซี่ยบ้างหรือเปล่า?”
เฉินเจียเหอตอบว่า “วันนี้ผมเพิ่งติดต่อหล่อนไปตอนเที่ยงครับ หล่อนบอกว่าจะเดินทางกลับมาภายในวันพรุ่งนี้”
เซี่ยอวี่ประหลาดใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น “จริงเหรอ?”
ในเมื่อหลินเซี่ยกลับมาเร็วกว่าที่คิดไว้ หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องถามเฉินเจียเหอเกี่ยวกับความคิดในการลงทุนของหลินเซี่ย จนกว่าหลินเซี่ยจะกลับมาคุยด้วยตัวเอง
…
หลินเซี่ยตระเวนซื้อของในเมืองเชินเฉิงให้เสร็จโดยเร็วที่สุด วางแผนที่จะกลับไปยังไห่เฉิงก่อนกำหนดเพื่อหาเวลาพูดคุยกับเซี่ยอวี่เกี่ยวกับการยืมเงินด้วยตัวเอง นอกจากนี้เธอยังต้องปรึกษากับเฉินเจียเหออย่างจริงจังเพื่อถามความคิดเห็นของเขา และชักชวนให้เขายินยอมให้เธอลงทุน ไม่อย่างนั้นในอนาคตสองสามีภรรยาต้องผิดใจกันแน่
เซี่ยไห่ไม่เห็นด้วยกับการลงทุน หลินเซี่ยจึงไม่คิดที่จะโต้แย้งกับเซี่ยไห่เกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
ถึงอย่างนั้นเธอก็ไปคุยกับเซี่ยไห่ บอกว่าเธออยากเป็นตัวแทนไปเจรจากับอู๋เซิ่งหงในนามของเขาเกี่ยวกับจำนวนหุ้นในที่ดินนั้น ๆ
“เดี๋ยวฉันต่อรองเองก็ได้ เธอไปเดี๋ยวก็โดนเขาหลอกอีก ฉันคิดว่าคนคนนี้ไม่น่าไว้วางใจ ถ้าเจรจาไม่ได้ผลก็ไม่ต้องขายให้เขาซะเลย”
เมื่อหลินเซี่ยได้ยินแบบนั้น เธอก็กังวลและพูดว่า “อารอง ถ้าคุณไม่คิดจะขายที่ดินนั้นให้กับอู๋เซิ่งหง ถ้าอย่างนั้นคุณก็ขายให้ฉันเอาไปลงทุนเองเถอะ”
เมื่อเห็นเธอยืนกรานว่าบริษัทของอู๋เซิ่งหงจะยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งขึ้นในอนาคตแน่ ๆ เซี่ยไห่ก็โบกมืออย่างเสียไม่ได้ “เอาเถอะ ไปคุยกันเองแล้วกัน ไม่นานเฉียนต้าเฉิงก็จะมาถึงแล้ว ฉันค่อยมอบหมายให้เขารับช่วงงานส่วนนี้ต่อ”
“ค่ะ ฉันจะไปคุยกับเขาในนามคุณ”
หลินเซี่ยนัดเจอกับอู๋เซิ่งหง ถ่ายทอดความตั้งใจของเซี่ยไห่ให้เขาทราบก่อนเป็นอย่างแรก
“เถ้าแก่อู๋ ฉันต้องขอโทษด้วยนะคะ อารองของฉันมีแผนจะขยายธุรกิจของเขา ดังนั้นเขาไม่สามารถเสียเงินเพิ่มเพื่อลงทุนกับคุณได้จริง ๆ เขามอบหมายให้ฉันมาอธิบายให้คุณฟัง และหวังว่าเราจะได้ทำงานร่วมกันอีกครั้งในอนาคต”
การแสดงออกของอู๋เซิ่งหงหม่นหมองลงหลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด เขาพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสงบสติอารมณ์ มองหน้าเธอแล้วพูดว่า “เสี่ยวหลิน เถ้าแก่เซี่ยได้ศึกษาทำความเข้าใจแผนดำเนินโครงการของเราอย่างจริงจังแล้วหรือยัง? ผมสามารถอธิบายรายละเอียดให้เขาฟังได้นะ”
หลินเซี่ยยักไหล่ด้วยความรู้สึกผิดและช่วยอะไรไม่ได้ “เถ้าแก่อู๋ อารองของฉันแสดงท่าทางชัดเจนว่าเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทคุณค่ะ”
อู๋เซิ่งหงไม่สามารถซ่อนความผิดหวังไว้ได้อีก “น่าเสียดายจริง ๆ”
ทุกวันนี้เขาได้ตระเวนไปเจรจากับเจ้าของธุรกิจหลายราย แต่ไม่มีใครเลยที่เต็มใจจะเป็นหุ้นส่วนกับเขา อู๋เซิ่งหงกังวลมากจนต้องหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบเพื่อกลบเกลื่อน ดวงตาฉายแววสับสน
เขายังไม่อยากยอมแพ้ทั้งแบบนี้
เมื่อเห็นเขาดูเศร้า หลินเซี่ยก็พูดต่อ “แต่ฉันสนใจอยากจะลงทุนกับคุณนะคะ”
“ว่าไงนะ?” อู๋เชิงหงเงยหน้าขึ้นมองหลินเซี่ยด้วยความประหลาดใจ
หลินเซี่ยมองไปที่เขาและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เถ้าแก่อู๋ ฉันอยากวางเงินลงทุนในฐานะหุ้นส่วนของคุณค่ะ”
อู๋เซิงหงมองดูเด็กสาวที่ดูบอบบางและอ่อนต่อโลกตรงหน้า เห็นว่าเธอมีสีหน้าจริงจังกับเรื่องที่พูด แต่แล้วเขาก็ฝืนยิ้ม และถามตามมารยาทไปอย่างนั้น “เสี่ยวหลินคิดว่าจะวางเงินลงทุนเท่าไหร่ล่ะ?”
“สามแสนค่ะ”
อู๋เซิ่งหง “…”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ไม่ต้องเป็นแฟนหลอกๆ แล้วค่ะ เป็นแฟนจริงๆ ไปเลยเถอะ
ไหหม่า(海馬)