ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 435 อยากเห็นคุณในชุดแต่งงาน

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 435 อยากเห็นคุณในชุดแต่งงาน

ตอนที่ 435 อยากเห็นคุณในชุดแต่งงาน

เนื่องจากภรรยาสุดที่รักไม่ชอบที่เขาไม่โกนหนวดโกนเครา เฉินเจียเหอจึงพูดอย่างใจเย็นว่า “ก็คุณไม่อยู่นี่ แล้วผมจะเสริมหล่อให้ใครดู?”

เซี่ยไห่มองทั้งสองกอดกันกลมราวกับไม่มีใครอยู่รอบข้างจนหลายคนเริ่มหยุดมอง เขาจึงเตือนด้วยความหงุดหงิดว่า “พอก่อนไหม คนมามุงดูเยอะแล้ว หยุดหวานใส่กันแล้วเดินไปเร็ว ๆ เถอะน่า”

ตอนส่งพวกเราขึ้นรถไฟก็แสดงความหวานไปแล้วทีหนึ่ง ตอนนี้ลงจากรถไฟไม่ทันไรก็แสดงความหวานใส่กันอีกแล้ว!

หลังจากเซี่ยไห่เร่งเร้า หลินเซี่ยก็ผละตัวออกจากเฉินเจียเหอไป

จากนั้นเฉินเจียเหอและหลินจินซานรีบไปช่วยขนของขึ้นรถ

วันนี้ที่หลินเซี่ยกลับมา ทุกคนในครอบครัวต่างมีความสุขกันมาก

เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงเตรียมบะหมี่ซุปใสที่เธอชอบไว้พร้อมสรรพ และตอนนี้หลายคนต่างใจจดใจจ่อรอคอยอยู่หน้าประตูเช่นกัน

เมื่อร้านเสริมสวยยังไม่มีลูกค้า ชุนฟางและอาจารย์หวังพากันออกไปยืนข้างนอกประตู และคอยมองไปรอบ ๆ

เมื่อเห็นรถที่หลินจินซานขับมาจอดกับที่ ทุกคนต่างทักทายพวกเขาอย่างมีความสุข

หลังจากไม่ได้เห็นหลานสาวแสนรักมาหลายวัน คุณแม่เซี่ยก็คิดถึงเธอมาก ตอนนี้รีบเดินอย่างกระตือรือร้นรุดหน้าไปก่อนใคร เมื่อเห็นหลินเซี่ยลงจากรถ นางก็เข้าไปจับมืออีกฝ่ายแล้วถามไถ่ว่า “หลานสาวของฉัน ในที่สุดก็กลับมาสักที เป็นยังไงบ้างเหนื่อยไหม?”

หลินเซี่ยยิ้มและตอบกลับ “ไม่เหนื่อยเลยค่ะคุณย่า”

“พ่อคะ แม่คะ”

หลินเซี่ยหันไปมองเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงยืนเคียงข้างกันพลางมองมาที่เธอ ก่อนยิ้มและทักทายพวกเขา

“เป็นไงบ้าง? เข้ามากินข้าวในร้านสิ เดี๋ยวพ่อทำบะหมี่ไว้ให้”

“ค่ะ”

คุณแม่เซี่ยดึงหลินเซี่ยเข้าไป เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงเดินตามเข้ามา ทั้งสี่คนเข้าไปในร้านอาหารด้วยสีหน้ามีความสุข

พวกเขาไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่ายังมีอีกคนอยู่ข้างหลัง

เซี่ยไห่มองตามแผ่นหลังพวกเขาด้วยความเหนื่อยใจ พลางเม้มริมฝีปากอย่างหมดคำพูด

เมื่อวานเขาทนแบกกระเป๋าระหว่างอยู่บนรถไฟ ยืนมองวิวข้างนอกทั้งคืนและไม่แม้แต่จะหรี่ตาลง คงเป็นเรื่องยากสำหรับเขาหลังกลับถึงบ้านตอนนี้ คนใจร้ายพวกนี้ไม่แม้แต่จะมองเขาเลยด้วยซ้ำ

เขากำลังคิดอะไรอยู่ล่ะเนี่ย?

“เหล่าเซี่ย เข้าไปกินข้าวกันเถอะ”

“นายเรียกฉันว่าไงนะ?”

เฉินเจียเหอสบตากับสายตาอันขึงขัง เปลี่ยนน้ำเสียงและวิธีการพูดได้อย่างฉับไวแนบเนียนมาก “อารอง เข้าไปกินข้าวข้างในกันเถอะ”

ถึงเซี่ยไห่จะหงุดหงิดมากและอยากระบายออกมา แต่เขาไม่สามารถแสดงออกต่อหน้าเฉินเจียเหอได้

ทำได้เพียงเดินตามเฉินเจียเหอเข้าไปในร้านอย่างช่วยไม่ได้

ขณะเซี่ยเหลยเข้าไปเตรียมอาหารในครัว คุณแม่เซี่ยก็เช็ดโต๊ะอย่างเร่งรีบด้วยผ้าขี้ริ้ว ก่อนเสิร์ฟกระเทียมดองรสเปรี้ยวหวานที่เพิ่งเปิดตัวที่ร้านใหม่ ๆ ให้หลินเซี่ยชิม

“เซี่ยเซี่ย ลองชิมกระเทียมดองนี่สิ แม่เธอลองดองมันดู ลูกค้าบอกว่าอร่อยกันหลายคนเลย”

“ขอบคุณค่ะคุณย่า ขอชิมเลยนะคะ”

เซี่ยไห่นั่งลงบนเก้าอี้ พลางมองหญิงชราที่กำลังติดพันหลานสาวสุดที่รัก ก่อนกระแอมไอเสียงดัง แต่หญิงชรายังไม่แม้แต่จะมองเขาเหมือนเดิม

สุดท้ายที่เซี่ยไห่อดไม่ได้ พูดขึ้นลอย ๆ ว่า “โหคุณย่า นี่ไม่เห็นลูกชายตัวน้อยคนนี้เลยเหรอ?”

แม่เซี่ยเงยหน้าขึ้นและมองเขา “ลูกตัวใหญ่สุดในนี้แล้ว แม่ไม่ได้ตาบอด”

เซี่ยไห่สวนกลับทันที “แล้วมันหมายความว่ายังไงที่ไม่สนใจผมเลย?”

คุณแม่เซี่ยมองตรงไปยังลูกชายของตน กลอกตามองอยู่สักพัก และไม่สนใจที่จะคุยกับเขาเลย

เซี่ยเหลยนำบะหมี่สองชามมาเสิร์ฟบนโต๊ะ “เซี่ยเซี่ย เจียเหอ มากินได้เลย”

เซี่ยไห่ “…”

ก่อนระเบิดจะปะทุ หลิวกุ้ยอิงเดินมาพร้อมชามบะหมี่และวางไว้ตรงหน้าเซี่ยไห่ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สำหรับอารองเองก็กินให้อร่อยนะ เพราะต้องทำงานหนักตลอดเดินทาง“

รอยยิ้มอันอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความรักของหลิวกุ้ยอิง รวมถึงน้ำเสียงตอนพูดว่าอารองช่วยบรรเทาอาการหงุดหงิดของเขาได้ทันท่วงที

ทั้งยังทำให้เขาตระหนักทันทีว่า เขาไม่ใช่น้องคนสุดท้องในครอบครัวนี้ต่อไปแล้ว

เขาได้เลื่อนสถานะขึ้นมาอีกระดับ จากนี้ไปน้องคนสุดท้องในครอบครัวคือหลานสาวของเขารวมถึงหู่จือด้วย

ในฐานะผู้อาวุโส เขาก็ควรทำตัวให้เหมือนผู้ใหญ่สักที

ไม่ควรจะมาแข่งขันกับหลานสาวตัวเองเพียงเพราะต้องการความเอาใจใส่

“ขอบคุณครับพี่สะใภ้”

เขามองไปทางเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิง พลางพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ แม่ ผมพาเซี่ยเซี่ยกลับมาอย่างปลอดภัยแล้วนะ”

เซี่ยเหลยแค่ตอบรับเบา ๆ ขณะมองลูกสาวอยู่ตลอดเวลา ก่อนเสิร์ฟถ้วยพริกป่นและน้ำส้มสายชู

หลิวกุ้ยอิงยิ้มและกล่าวขอบคุณ “ขอบคุณอารองสำหรับการทำงานอย่างหนักครั้งนี้ด้วย”

“ยินดีครับพี่สะใภ้”

แม่เซี่ยยิ้มและพูดว่า “กุ้ยอิง ทำไมถึงไปขอบคุณเขาล่ะ? เซี่ยเซี่ยเป็นหลานสาว เขาก็ต้องดูแลทุกอย่างอยู่แล้ว”

“ใช่ครับ เซี่ยเซี่ยเป็นหลานสาวผม และผมก็เป็นอารองของหล่อน เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องขอบคุณก็ได้”

หลินเซี่ยกินบะหมี่อย่างหิวโหย บางทีก็หยุดพูดคุยกับครอบครัวบ้างเกี่ยวกับสิ่งที่ได้มา และยังมอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเขาด้วย

เธอซื้อกระโปรงลายดอกไม้สุดเก๋ให้คุณแม่เซี่ยและหลิวกุ้ยอิง ซื้อมีดโกนหนวดให้เซี่ยเหลย และยาทาเล็บรุ่นใหม่ล่าสุดให้เซี่ยอวี่

ทั้งยังซื้อพวงกุญแจให้หลินจินซาน และการ์ดสำหรับหลินเยี่ยน กระเป๋าใบเล็กทั้งหมดนั้นเต็มไปด้วยของขวัญที่เตรียมไว้ให้พวกเขา

หลินเซี่ยทยอยมอบของขวัญให้ทุกคน และทั้งครอบครัวต่างมีความสุขกันมาก

หลินจินซานมองพวงกุญแจที่น้องสาวซื้อมาฝากหลังกลับมาจากเชินเฉิง ถอดพวงกุญแจอันเก่าออกทันที แล้วใส่พวงกุญแจอันใหม่และนำมาแขวนไว้ที่เอวของเขา

เมื่อเฉินเจียเหอเห็นว่าหลินเซี่ยใช้เวลาที่นั้นนานแต่ไม่มีอะไรกลับมาให้เขา ใบหน้าอันหล่อเหลาก็นั่งมองเธออย่างเศร้าหมองและคาดหวัง

หลินเซี่ยรีบพูดขึ้นว่า “ของคุณอยู่ในกระเป๋าอีกใบ ไว้กลับบ้านแล้วค่อยเปิดก็ได้”

เขายกมุมปากขึ้นทันทีแล้วตอบว่า “อืม”

หลินเซี่ยมองความเร็วของสีหน้าที่เปลี่ยนไป ไม่สามารถมองเขาเป็นคนอายุสามสิบได้เลย

อายุเขาปาไปจะครึ่งค่อนชีวิตคนแล้วนะ!

หลังจากเปิดของขวัญกันหมดแล้ว หลินเซี่ยขอให้หลินจินซานขับรถไปส่งที่ร้านใหม่ โดยวางแผนจะขนของลงที่นั่นบางส่วน

เมื่อตกแต่งร้านเสร็จ ก็ทำการติดตั้งราวแขวนเสื้อผ้าเพื่อชุดแต่งงาน จะได้มีพื้นที่สำหรับจัดแสดงโชว์ชุดแต่งงาน และสำหรับเก็บของอีกด้วย

ถึงเวลาอาหารพอดี เซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงไม่ค่อยยุ่งมากนัก พวกเขาจึงวางแผนจะตามหลินเซี่ยไปช่วยจัดแจงข้าวของ

โดยให้หญิงชราอย่างคุณแม่เซี่ยดูแลร้านอยู่ตามลำพัง

เมื่อไปถึงร้านใหม่ ทุกคนต่างอุทานด้วยความตกใจ เมื่อเห็นชุดแต่งงานถูกหยิบออกจากถุงมาจัดเรียง

นี่เป็นครั้งแรกที่หลิวกุ้ยอิงและหลินเยี่ยนได้เห็นชุดแต่งงานแบบสากลของจริง และยังมีจำนวนเยอะมาก!

เสื้อผ้าถูกจัดไว้เป็นสัดส่วน บรรจุไว้ในถุงคลุมกันฝุ่นใบใหญ่ และยังมีรอยยับเล็กน้อย

ทุกครั้งที่หลินเซี่ยหยิบชุดขึ้นมาหนึ่งชุด เธอจะขอให้เฉินเจียเหอและหลินเยี่ยนช่วยเอาไปแขวน

เซี่ยเหลยมองชุดแต่งงานปักเลื่อมแวววาวที่ลูกสาวนำกลับมาจากเชินเฉิง ดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ เบนไปหาผู้หญิงที่อยู่ข้างกายโดยไม่รู้ตัว

อดไม่ได้ที่จะจินตนาการว่า หล่อนจะดูเป็นอย่างไรเมื่อสวมชุดนี้

เช่นเดียวกับเฉินเจียเหอ เมื่อเขาแขวนชุดแต่งงานก็ไม่วายหันไปมองหลินเซี่ยเหมือนกัน

นึกอยากให้เธอสวมใส่ชุดแต่งงานพวกนั้น

เขาถือชุดแต่งงานสายเดี่ยวเปิดเนินอกในมือ และถามหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย ที่ผมขอให้คุณหาชุดที่ตัวเองชอบกลับมาด้วย คุณได้เลือกไว้หรือยัง?”

หลินเซี่ยยิ้มหวานให้เขา “ฉันเจอชุดที่ถูกใจแล้ว และตั้งใจเก็บมันไว้ให้คุณดูทีหลังน่ะค่ะ”

ดวงตาของเฉินเจียเหออ่อนโยนราวกับสายน้ำ “อืม”

เซี่ยเหลยไม่ได้แสดงออกเหมือนกับลูกเขย แต่อารมณ์ของเขาก็รู้สึกเหมือนกับอีกฝ่ายทุกประการ

สายตาของเขามองไปยังชุดแต่งงานอยู่พักหนึ่ง แล้วหันไปมองหลิวกุ้ยอิง อยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ลังเล

เมื่อหลิวกุ้ยอิงถูกเขาจ้องมองอยู่ หล่อนจึงกลอกตามองเขากลับด้วยความเขินอาย และหลีกเลี่ยงสายตาเขา

เฉินเจียเหอเหลือบมองพ่อตาแม่ยายที่แสดงท่าทีเคอะเขินและขี้อายราวกับเด็กหนุ่มและเด็กสาวสองคนที่เพิ่งรักกันใหม่ ๆ เขาก็ยิ้มและกระซิบกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย คุณย่าบอกว่าหลังคุณกับอารองกลับมา เราจะจัดงานแต่งให้พ่อแม่คุณ คุณคิดว่าชุดแต่งงานแบบไหนที่เหมาะกับแม่บ้าง?”

เมื่อฟังจบ หลินเซี่ยก็หันไปมองพ่อแม่ของเธอด้วยความประหลาดใจ “จัดงานแต่งเหรอ?”

ก่อนเธอจะไปต่างเมือง ทั้งสองคนยังรักษาระยะห่างเป็นแค่หุ้นส่วนทางธุรกิจกันอยู่เลย แค่ไม่กี่วันกลับพัฒนาเป็นคู่รักที่พร้อมจะจัดงานแต่งกันแล้วเหรอ?

เป็นคุณย่าที่พยายามผลักดันพวกเขา หรือเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองคืบหน้าด้วยความพยายามของพวกเขาเอง?

หลินเซี่ยกวาดสายตามองพ่อแม่อีกครั้ง ดวงตาของเธอแฝงไปด้วยความสงสัยมากมาย เซี่ยเหลยกระแอมไอเล็กน้อยพลางโอบแขนไว้รอบไหล่หลิวกุ้ยอิง เหมือนเป็นการตอบคำถามเธอด้วยการกระทำของเขา

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อยากเห็นเหมือนกันน้า ถ้ารุ่นพ่อแม่กับรุ่นลูกจัดงานแต่งพร้อมกันมันจะรื่นเริงขนาดไหน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท