ตอนที่ 442 อย่างเลวร้ายที่สุดคือช่วยกันใช้หนี้
ตอนที่ 442 อย่างเลวร้ายที่สุดคือช่วยกันใช้หนี้
พอเฉินเจียเหอถามถึงชีวิตในอดีตของพวกเขา ดวงตาของหลินเซี่ยหรี่ลงเล็กน้อย จู่ ๆ หัวใจของเธอก็ราวถูกบีบรัดขึ้นมาดื้อ ๆ เธอกอดเอวเขาไว้ ซบพิงหน้าอกของเขาและพูดเบา ๆ
“ชาติที่แล้ว การแต่งงานของพวกเรากินเวลาไม่นานเลย หลังกลับมาจากชนบท ฉันก็ถูกหลิวจื้อหมิงกับเสิ่นอวี้อิ๋งเกลี้ยกล่อมให้ฉันกลับไปหาตระกูลเสิ่น ต่อมา ฉันก็รับเลี้ยงลูกสาวนอกกฎหมายของเสิ่นอวี้อิ๋งโดยที่ไม่รู้ตัว ฉันไม่เคย แต่งงานใหม่ หลังจากที่คุณหย่ากับฉัน คุณก็ไม่ได้แต่งงานใหม่เหมือนกัน คิดแล้วฉันก็รู้สึกเสียใจที่ตอนนั้นเราสองคนมีอันพลัดพราก ดังนั้นเมื่อได้เกิดใหม่ชาตินี้ ฉันถึงอยากรักและดูแลคุณให้ดีที่สุด ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันจะไม่มีวันทิ้งคุณไปไหนอีก แล้วคุณก็ห้ามทิ้งฉันไปไหนด้วย”
หัวใจของเฉินเจียเหอเจ็บปวดรวดร้าวทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ
ชาติที่แล้วพวกเขาสองคนมีอันต้องหย่าขาดจากกันงั้นเหรอ?
เขาหอมแก้มเธอฟอดใหญ่ มองหน้าเธอด้วยความรักล้นอก แล้วตอบกลับเบา ๆ “เราจะไม่มีวันแยกจากกันอีก”
ในความเข้าใจของเฉินเจียเหอเกี่ยวกับสิ่งที่หลินเซี่ยพูดเกี่ยวกับชาติที่แล้ว คือเหตุการณ์เหล่านั้นน่าจะเป็นแค่ความฝันของเธอ
แต่เขาก็เข้าใจด้วยว่า เพราะความฝันนี้ หลินเซี่ยจึงรักและทะนุถนอมความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขามากขึ้น และพยายามทำงานอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนแปลงจุดจบอันเลวร้ายในความฝัน
ครั้งแรกที่เธอแต่งงานกับเขา ตอนนั้นเธอยังแสดงท่าทางต่อต้านเขาอยู่เลย แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่คืน จู่ ๆ เธอก็เต็มใจที่จะใช้ชีวิตคู่กับเขาโดยดี ยอมรับหู่จือเป็นลูกแท้ ๆ หรือนี่ก็เป็นเพราะความทรงจำจากอดีตชาติที่เธอพูดถึงเหมือนกัน?
อารมณ์ของเฉินเจียเหอพลันซับซ้อนในชนิดที่ไม่อาจบรรยายได้ พร้อมกันนั้นเขาก็รู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นความทรงจำจากชาติที่แล้ว หรือเป็นแค่ความฝัน เขาสามารถยอมรับได้ทั้งนั้นเมื่อมันทำให้เธอรักเขามากขึ้น
เฉินเจียเหอมองไปที่เธอ และพูดอย่างจริงจังว่า “เซี่ยเซี่ย ผมสนับสนุนการลงทุนของคุณ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาสำเร็จหรือไม่ก็ตาม ผมจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน แล้วเราจะเผชิญกับมันด้วยกัน”
เธอพยายามอย่างเต็มที่เพื่อประคับประคองความรักให้ดีที่สุด ในฐานะผู้ชาย เขาควรเคารพในการตัดสินใจของเธอ ยอมบุกน้ำลุยโคลนเคียงข้างเธอด้วยกัน อย่างเลวร้ายที่สุด หากผลออกมาล้มเหลว พวกเขาก็แค่ช่วยกันใช้หนี้
“ขอบคุณนะคะ” หลินเซี่ยโอบแขนกอดคอเขาไว้ ดวงตาของเธอเปียกชื้นไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ก่อนจะสูดน้ำมูกและพูดอย่างจริงใจ “ขอบคุณมากสำหรับความเชื่อมั่นที่คุณมีในตัวฉัน อดทนกับฉัน และสนับสนุนการตัดสินใจฉันทุกอย่าง ถ้าฉันสามารถทำเงินได้มากมาย ฉันจะทำให้คุณกับหู่จือมีช่วงชีวิตที่ดีที่สุด”
เฉินเจียเหอหัวเราะเบา ๆ และตอบว่า “อืม พวกเราสองพ่อลูกจะรอให้คุณทำเงินได้มากมายและมีชีวิตที่ดี”
เขายกกับข้าวไปอุ่นร้อนแล้วยกออกมาให้เธออีกครั้ง พูดว่า “กินข้าวกันเถอะ”
“ค่ะ”
หลินเซี่ยหยิบชามและตะเกียบขึ้นมา เริ่มตักอาหารเข้าปาก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ารสชาติของมันแตกต่างจากก่อนหน้านี้ลิบลับ
พออารมณ์ดี ทุกอย่างที่กินก็อร่อยขึ้นมาทันตา
หลังจากกินข้าวเสร็จ หลินเซี่ยก็ยืนกรานที่จะให้เฉินเจียเหอพักผ่อน ส่วนเธอไปล้างจานด้วยตัวเอง
หลังจากที่เธอจัดระเบียบห้องครัวเรียบร้อย ก็ถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินออกมา พูดกับเฉินเจียเหอว่า “ร้านโทรศัพท์ยังไม่ปิด พวกเราออกไปโทรหาเถ้าแก่อู๋กันเถอะค่ะ”
ตราบใดที่เรื่องยังไม่จบเธอต้องตีเหล็กตอนที่ยังร้อน เผื่อว่าอะไร ๆ อาจจะเปลี่ยนไปอีกหลังจากตื่นนอน…
เฉินเจียเหอบอกว่า
“ผมคิดว่าเราควรเชิญเถ้าแก่อู๋มาที่ไห่เฉิง ผมพอมีเพื่อนที่เรียนจบกฎหมายมาโดยตรงอยู่ ขอให้เขาแสดงเนื้อหาภายในเอกสารสัญญาให้ทางเราดู ถ้าไม่ติดปัญหาอะไรเราก็จะลงนามทันที”
หลินเซี่ยพยักหน้า “ดีเหมือนกันค่ะ คุณเป็นคนที่รอบคอบมาก”
หลินเซี่ยคล้องแขนของเฉินเจียเหอ จากนั้นคู่หนุ่มสาวก็เดินลงไปที่ตู้โทรศัพท์หน้าประตูอาคารพักอาศัยเพื่อโทรออก
หลินเซี่ยบอกอู๋เซิ่งหงว่าตอนนี้เธอได้เงินทุนพร้อมแล้ว แต่สามีของเธอรู้สึกเป็นห่วง ไม่อยากให้เธอเดินทางไปที่เชินเฉิงตามลำพังพร้อมกับเงินก้อนโต ดังนั้นจึงอยากให้พวกเขาได้เซ็นสัญญากันในไห่เฉิง
อู๋เซิ่งหงคิดอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ตอบตกลง
ท้ายที่สุด ในเวลานี้เขายังไม่สามารถหาหุ้นส่วนรายอื่นมาสนับสนุนเงินลงทุนได้ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเชื่อในตัวหลินเซี่ย
อู๋เซิงหงบอกว่า
“เสี่ยวหลิน ผมจะออกเดินทางวันพรุ่งนี้เลย โปรดบอกที่อยู่และข้อมูลติดต่อของคุณให้ผมด้วย”
หลินเซี่ยบอกที่อยู่ของร้านตัดผมให้เขา และขอให้เขาแวะไปที่ร้านโดยตรงเพื่อตามหาเธอเมื่อเขามาถึงไห่เฉิงแล้ว
หลินเซี่ยโทรไปนัดหมายวันเซ็นสัญญากับอู๋เซิ่งหงต่อหน้าเฉินเจียเหอ เท่ากับการลงทุนได้รับการยืนยันแน่ชัดแล้ว ในฐานะลูกผู้ชาย เฉินเจียเหอไม่น่าจะกลับคำพูดของเขาอีกต่อไป
หลินเซี่ยผ่อนคลายความกังวลทั้งหมดลงได้เสียที เธอวิ่งไปข้างหน้า มองดูดวงดาวพราวพร่างบนท้องฟ้า จากนั้นก็ร้องตะโกนเพื่อปลดปล่อยอย่างมีความสุข
ตอนนี้ เธอเต็มไปด้วยความคาดหวังสำหรับอนาคตอันสดใส
เธอเริ่มจินตนาการว่า ถ้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์เซิ่งหงกลายเป็นบริษัทชั้นนำของประเทศในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ส่วนเธอก็เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ นั่งประชุมร่วมกับเจ้าของบริษัท และมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของทุก ๆ โครงการ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ก็ตื่นเต้นมาก
เฉินเจียเหอเดินตามเธอไป มองไปยังหญิงสาวที่วิ่งกรีดร้องอยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้าอันทรงเสน่ห์ รู้สึกพึงพอใจและมีความสุขอย่างท่วมท้นในใจ
การได้เห็นเธอมีความสุข ทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองประสบความสำเร็จ
แม้ว่าความสุขของเธอครั้งนี้จะต้องใช้จ่ายเงินถึงสามแสนก็ตาม
ทันทีที่พวกเขาทั้งสองมาถึงประตูลานกว้างหน้าอาคาร พวกเขาก็ได้ยินเสียงเอะอะดังลั่นมาจากด้านใน เสียงดนตรีที่เปิดคลอประกอบการเต้นรำเงียบสนิท ชายร่างอ้วนยืนอยู่กลางวง กำลังถ่มน้ำลายและสาปแช่ง
หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอหันมองหน้ากัน จากนั้นเธอก็ถามอย่างสงสัย “ผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันคะ?”
เฉินเจียเหอตอบว่า “ลูกชายของลุงหลี่”
ชายคนนั้นสวมเสื้อลายดอก กางเกงขายาวทรงบาน ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาถมึงถึง เหมือนมีปากเสียงทะเลาะกับลุงหลี่จนหน้าแดงคอหนา
เนื่องจากเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นความขัดแย้งระหว่างพ่อกับลูก ทั้งยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งมุงรอบตัวเขา เฉินเจียเหอจึงไม่ต้องการเข้าไปยุ่ง และดึงหลินเซี่ยกลับบ้าน
อย่างไรก็ตาม หลังจากเดินไปแค่ไม่กี่ก้าว ลูกชายของลุงหลี่ก็มองเห็นพวกเขาด้วยสายตาที่เฉียบคม
เขาตะโกนไปทางทั้งสองอย่างดุเดือด “ภรรยาเฉินเจียเหอ หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะ”
หลินเซี่ยถูกเรียกให้หยุด ทั้งคู่ก็หยุดเดิน และหันกลับมามองเขาด้วยความสับสน
ลูกชายของลุงหลี่ที่มีสีหน้าไม่รับแขก รีบเดินปรี่ลากรองเท้าแตะเข้ามาอย่างหาเรื่อง
เฉินเจียเหอปกป้องหลินเซี่ยไว้ในอ้อมแขน มองมาที่เขาแล้วถามอย่างเย็นชา “มีเรื่องอะไร?”
ดวงตาที่เฉียบคมของหลี่ชิงกั๋วจ้องมองไปยังหญิงสาวที่เฉินเจียเหอโอบไว้ “เธอชื่อหลินเซี่ยใช่ไหม?”
หลินเซี่ยเงยหน้าขึ้น สบตากับสายตาที่ดุร้ายของอีกฝ่าย และตอบว่า “ฉันหลินเซี่ยเอง ทำไมคะ? คุณมีเรื่องอะไรกับฉันมิทราบ?”
“มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” หลี่ชิงกั๋วถามด้วยความโกรธ “เธอใช่ไหมที่เป็นคนสอนพ่อฉันเต้นรำ?”
หลินเซี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ดีเช่นกัน “สอนเต้นแล้วยังไง? ผิดกฎหมายตรงไหนหรือเปล่า?”
“ที่แท้ก็เป็นเธอนั่นเองที่สั่งสอนให้พ่อฉันใจแตก ฉันจะบอกอะไรให้ รู้ไหมว่าพ่อฉันกำลังจะโดนนังจิ้งจอกเฒ่าหลอกเอาเงิน? ถ้าไม่ใช่เพราะเธอที่สอนพ่อฉันเต้นรำ คนอย่างเขาหรือจะหลงใหลได้ปลื้มกับการเต้นรำไร้สาระนั่น? เขาออกงานสังคม พบเจอสาวแก่แม่ม่ายเป็นขโยง ตอนนี้ก็กำลังจะแต่งงานกับยายแก่ผัวตาย เธอจะรับผิดชอบกับเรื่องพวกนี้ยังไง?”
หลี่ชิ่งกั๋วร่ายยาวด้วยความโกรธ หลังจากหลินเซี่ยได้ยินคำพูดของเขา หลินเซี่ยก็พอจะเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น
กิจกรรมเต้นรำทำให้ลุงหลี่ได้พบรักครั้งใหม่กับหญิงชราคนหนึ่ง และต้องการแต่งงานกับนางสินะ?
หลินเซี่ยบอกว่า
“ตอนแรกพวกเราเต้นรำกันเป็นกลุ่มเพื่อฝึกซ้อมสำหรับเข้าร่วมการประกวดเต้นรำ และนำเกียรติยศมาสู่โรงงาน หลังจบงานฉันก็แนะนำให้ผู้สูงอายุทั้งหลายเต้นแอโรบิกเพื่อออกกำลังกาย การที่ลุงหลี่ซึ่งเป็นโสดได้เจอเพื่อนรู้ใจขณะทำกิจกรรมเต้นรำถือเป็นสิ่งที่ดี คุณในฐานะลูกชาย นอกจากจะไม่สนับสนุนแล้ว ยังมาที่นี่เพื่อกล่าวโทษว่าเป็นความผิดของฉันอีก ทำไมคุณถึงได้เห็นแก่ตัวขนาดนี้?”
“ดีกับผีอะไรล่ะ? ยายแก่คนนั้นหว่านเสน่ห์ใส่เขาก็เพราะหวังอยากได้เงินบำนาญของพ่อฉันต่างหากเล่า”
หลี่ชิ่งกั๋วมองไปที่หลินเซี่ย กัดฟันกรอด โกรธเคืองอย่างกับเธอไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษของเขาขึ้นมา
ลุงหลี่รีบวิ่งไปกระชากตัวหลี่ชิ่งกั๋วออกมา
“ถ้าแกอยากด่าคนก็มาหาด่าฉันคนเดียวสิ ทำไมต้องไปสร้างปัญหาให้เสี่ยวหลินด้วย?”
หลี่ชิ่งกั๋วมองไปที่ลุงหลี่ จากนั้นข่มขู่ด้วยใบหน้าที่มืดมนว่า “ด่าพ่อได้เหรอ? ถ้าอย่างนั้นพ่อก็เลิกกับนังจิ้งจอกเฒ่านั่นซะ ไม่อย่างนั้นก็ตัดพ่อตัดลูกกันซะวันนี้เลย อีกหน่อยแก่ตัวไปก็อย่าหวังเลยว่าลูกชายคนนี้จะดูแล”
“ไอ้ลูกทรพี พูดจาให้มันเห็นแก่หน้าฉันหน่อย ไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเลยหรือไง?” ลุงหลี่มองชายอ้วนตรงหน้าด้วยสีหน้าผิดหวัง พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง “คนอย่างแกน่ะเหรอจะมาเลี้ยงดูฉันตอนแก่ ฉันอยู่ที่นี่ตัวคนเดียวมานานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงินเดือนของฉันตลอดหลายปีที่ผ่านมา หรือเงินบำนาญทั้งหมด แกก็เอาไปเกลี้ยงจนแทบไม่เหลือ แกกลัวว่าฉันจะโดนเมียปอกลอกงั้นเหรอ? แกกลัวตัวเองไม่มีเงินให้ถลุงมากกว่า ถ้าอย่างนั้นก็ตัดสัมพันธ์พ่อลูกกันเดี๋ยวนี้เลยสิ หายนะจะได้หมดไปจากชีวิตฉันอีกคน ไม่มีลูกสุรุ่ยสุร่ายแบบแก บั้นปลายชีวิตฉันคงสงบสุขพิลึก”
หลี่ชิ่งกั๋วไม่ได้คาดหวังว่าคำข่มขู่ของตัวเองจะใช้ไม่ได้ผลกับผู้เป็นพ่อ เขาโกรธมากจนพูดได้แค่ “พ่อ…”
เมื่อเห็นว่าชายชราไม่กลัวท่าทางคุกคามของเขาเลย หลี่ชิ่งกั๋วก็พยายามระดมพลังของมวลชน อาศัยความคิดเห็นของสาธารณชนเพื่อเอาชนะเขา “พวกคุณทุกคนฟังทางนี้ พ่อของผมเสียสติไปแล้ว เขามันบ้า แม้แต่ลูกชายก็ไม่อยากจดจำอีกต่อไป เพราะไปหลงนังจิ้งจอกเฒ่าคนนั้นจนโงหัวไม่ขึ้น”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อยู่ดีๆ ปัญหาก็มาเยือนเซี่ยเซี่ยเฉย แค่สอนเต้นรำกลายเป็นประเด็นใหญ่โตขนาดนี้เชียว
ไหหม่า(海馬)