ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 449 การเปลี่ยนแปลงของเอ้อร์เลิ่ง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 449 การเปลี่ยนแปลงของเอ้อร์เลิ่ง

ตอนที่ 449 การเปลี่ยนแปลงของเอ้อร์เลิ่ง

นอกจากเอ้อร์เลิ่งจะไม่ชอบขนมหวานเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เขายังรู้จักปฏิเสธเพื่อไม่ให้พวกเขาใช้จ่ายโดยไม่จำเป็นอีกด้วย เฉินเจียเหอมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความดีใจตื่นเต้นเกินกว่าจะพูด จึงสวมกอดเขาแทน

เอ้อร์เลิ่งรู้สึกสับสนกับการกระทำของเฉินเจียเหอ เขาเหลือบมองหลินเซี่ยและผลักเฉินเจียเหอออกเบา ๆ “ต้าเหอ ภรรยานายมองอยู่นะ กอดกันแบบนี้คงไม่ดีมั้ง”

หลินเซี่ยหลุดหัวเราะเล็กน้อยเมื่อเห็นชายร่างสูงสองคนกอดกัน คนหนึ่งพยายามตีหน้าขรึม ส่วนอีกคนก็เอาแต่สังเกตสีหน้าของเธออย่างระมัดระวัง

เฉินเจียเหอปล่อยเอ้อร์เลิ่ง มองเขาด้วยสีหน้าปลื้มปริ่ม อารมณ์พลันซับซ้อนอย่างยิ่ง

ไม่รู้ว่าเอ้อร์เลิ่งจะเข้าใจอารมณ์ของเขาได้หรือไม่ จะรู้ตัวไหมว่าตัวเขาเปลี่ยนไปแค่ไหนหากเทียบกับเมื่อก่อน

เอ้อร์เลิ่งถามเฉินเจียเหอซึ่งยังคงมองเขาด้วยสายตาซับซ้อนว่า “ต้าเหอ นายมีเบอร์โทรติดต่อกลับไปที่บ้านเกิดของเราไหม? ฉันเขียนจดหมายไปที่บ้าน แต่พวกเขาไม่เคยเขียนตอบเลย นายช่วยโทรไปที่บ้านเกิดให้ฉันหน่อยได้ไหม ฉันอยากถามเรื่องครอบครัวของฉัน”

“ฉันมีแค่เบอร์ของน้าฉันน่ะ เอาไว้ฉันจะโทรไปถามเขาให้”

เฉินเจียเหอขอยืมโทรศัพท์บ้านของหมอเย่แล้วกดโทรหาโจวเจี้ยนกั๋ว จากนั้นก็ยื่นโทรศัพท์ให้เอ้อร์เลิ่งคุยเอง ขณะที่สังเกตปฏิกิริยาของเอ้อร์เลิ่งไปด้วย

เอ้อร์เลิ่งได้ยินเสียงของโจวเจี้ยนกั๋ว ก็ร้องเรียกอีกฝ่ายว่าลุงโจว แล้วถามด้วยสีหน้ากังวลใจเกี่ยวกับสถานการณ์ที่บ้านของเขา

การแสดงออกที่บ่งบอกถึงความห่วงใยและวิตกกังวลเหล่านั้นไม่เคยปรากฏบนใบหน้าของเอ้อร์เลิ่งมาก่อน

“ลุงโจว พ่อกับพี่ชายผมกลับมาอยู่บ้านหรือยังครับ? พวกเขาโดนจับเข้าคุกหรือเปล่า?”

น้ำเสียงของเอ้อร์เลิ่งไม่เพียงแต่เป็นกังวล ยังเจือด้วยการกล่าวโทษตัวเองอีกด้วย

สภาพจิตใจของเขาค่อย ๆ กลับมารับรู้สิ่งต่าง ๆ อย่างชัดเจนขึ้น เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้พ่อและพี่ชายของเขาถูกควบคุมตัวขึ้นรถตำรวจทั้งคู่เพราะทำผิดกฎหมายในการหาซื้อภรรยาให้เขา เขารู้ดีว่าทุกคนทำแบบนั้นก็เพื่อตัวเขาเอง

โจวเจี้ยนกั๋วตอบกลับ “เอ้อร์เลิ่ง ทุกอย่างที่บ้านเรียบร้อยดี พ่อกับพี่ชายของเธอกลับมาอยู่บ้านแล้ว ไม่ต้องกังวลนะ อยู่รักษาอาการป่วยของเธอให้สบายใจเถอะ”

หลังจากทราบข่าว เอ้อร์เลิ่งก็สงบลงในที่สุด และพูดว่า “ขอบคุณครับลุงโจว”

หลังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับบ้านเกิดของเขาแล้ว เอ้อร์เลิ่งก็เปลี่ยนสีหน้ากลับมายิ้มแย้มตามเดิม พาพวกเขาไปดูงานไม้ที่เขากำลังทำอยู่ในตอนนี้

เอ้อร์เลิ่งบอกว่านอกลานบ้านจะมีการก่อสร้างถนน คนงานโค่นต้นอวี๋ที่ลำต้นหนามากลงต้นหนึ่ง เขาวิ่งออกไปขนมันกลับมาบ้าน จากนั้นขอเงินจากหมอเย่ไปซื้อเลื่อยและกบไสไม้ แล้วเริ่มใช้ประโยชน์จากไม้อวี๋ให้คุ้มค่ามากที่สุด ทำให้ได้เขียงขนาดใหญ่สำหรับนวดแป้งทำบะหมี่ และเก้าอี้อีกสี่ตัว

ป้าแม่บ้านซื้อสีกลับมากระป๋องหนึ่ง เก้าอี้ทั้งหมดจึงถูกทาเป็นสีส้ม ซึ่งดูแปลกตาและมีเอกลักษณ์ในเวลาเดียวกัน

เฉินเจียเหอมองไปที่ผลงานช่างไม้ของเอ้อร์เลิ่ง ดวงตาของเขาฉายแววยินดีและอยากรู้อยากเห็น ขณะตบไหล่อีกฝ่าย ดวงตาของเขาก็ชุ่มชื้นเพราะความปีติ “เพื่อนยาก นายสุดยอดไปเลย”

หลินเซี่ยปลีกตัวไปคุยกับหมอเย่อยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็วกเข้าประเด็นหลักเกี่ยวกับธุรกิจ “หมอเย่คะ ฉันมาที่นี่วันนี้เพราะอยากให้คุณช่วยเลือกฤกษ์ยามมงคลสำหรับเปิดร้านใหม่ให้หน่อยค่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น หมอเย่ก็เงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยความประหลาดใจ “คราวนี้เปิดเป็นร้านอะไรล่ะ?”

หลินเซี่ยอธิบาย “เป็นกิจการประเภทบริการค่ะ เปิดให้เช่าชุดแต่งงานสำหรับเจ้าสาว มีบริการแต่งหน้าทำผมแบบครบวงจรด้วย ถ้าร้านเปิดเมื่อไหร่ กิจการต้องเฟื่องฟูแน่นอนค่ะ”

“เธอนี่มันสาวน้อยมหัศจรรย์จริง ๆ”

เอ้อร์เลิ่งและเฉินเจียเหอเดินเข้ามา ทันทีที่เอ้อร์เลิ่งได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย จึงถามอย่างสงสัย “พี่สะใภ้ ทำไมต้องแต่งหน้าทำผมให้เจ้าสาวด้วยล่ะ?”

หลินเซี่ยอธิบายกับเขาว่า “ฉันมีหน้าที่รับผิดชอบในการทำให้สาว ๆ สวยที่สุดในวันแต่งงาน รวมถึงเลือกชุดให้หล่อนกลายเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในวันนั้น”

“โอ้”

เอ้อร์เลิ่งไม่ได้ถามคำถามใด ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกต่อไป ดวงตาฉายแววเปล่าเปลี่ยวครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขอตัวกลับไปที่ห้องครัวเพื่อช่วยแม่บ้าน เขาบอกให้เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยอยู่กินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน เพราะเขากับป้าแม่บ้านจะไปทำกับข้าวเพิ่มอีกสองจาน

ก่อนหน้านี้ เมื่อใดก็ตามที่มีใครพูดถึงเรื่องงานแต่งหรือเจ้าสาว เอ้อร์เลิ่งมักจะเชื่อมโยงสิ่งเหล่านี้ไปถึงคนชื่อเสี่ยวเจินอยู่เสมอ

หลินเซี่ยพูดกับหมอเย่ “หมอเย่คะ มารอบนี้ฉันรู้สึกว่าเอ้อร์เลิ่งเปลี่ยนไปมากจริง ๆ”

หมอเย่มองไปที่พวกเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเธอก็สังเกตเห็นเหมือนกันเหรอ?”

เฉินเจียเหอพยักหน้า “ผมรู้สึกว่าเขามีการเปลี่ยนแปลง ความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเดิม”

“พื้นฐานเดิมของเด็กคนนี้เป็นคนฉลาดอยู่แล้ว ถ้ารักษาอาการทางจิตจนหายดีได้ ก็มีโอกาสสูงมากที่เขาจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนคนปกติได้ในอนาคต”

“หมอเย่ครับ ถึงตอนนั้นเอ้อร์เลิ่งจะสอบไม่ติด แต่เขาก็มีผลการเรียนดีมาตลอด แถมยังฉลาดเป็นกรด ถ้ารักษาเขาจนหายขาดได้ ผมจะหางานให้เขาเอง วันข้างหน้าเขาจะได้มีอาชีพและหาเลี้ยงตัวเองได้”

หมอเย่มองไปที่เฉินเจียเหอ พูดอย่างจริงจังว่า “ยาที่โรงพยาบาลไห่เฉิงแห่งที่สามจ่ายให้เมื่อคราวก่อนจวนจะหมดแล้ว เธออาจต้องพาเขาไปตรวจสุขภาพและรับยาเพิ่ม ฉันจะรักษาเขาต่อไปแบบเดิม ไม่ควรหยุดยาแผนตะวันตกกลางคัน ในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ยิ่งหย่อนยานไม่ได้ การกินยาอย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตามแนวทางการรักษาอย่างเคร่งครัดเท่านั้นถึงจะมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้”

“ครับ สักวันสองวันนี้ผมจะพยายามหาเวลาว่างแล้วพาเขาไปโรงพยาบาล”

เมื่อถูกขัดจังหวะด้วยเหตุการณ์ของเอ้อร์เลิ่ง หมอเย่ที่นึกขึ้นได้ก็หันมาพูดกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย บอกวันเวลาตกฟากของเธอให้ฉันหน่อย ฉันจะได้คำนวณฤกษ์มงคลให้อย่างแม่นยำ”

“ได้ค่ะ”

หลินเซี่ยบอกวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของตัวเอง จากนั้นหมอเย่ก็หรี่ตาลงและเริ่มคำนวณ

“วันที่ 20 ตามปฏิทินจันทรคติของเดือนนี้ถือเป็นวันดี ถ้าไม่เอาวันนี้ ก็ต้องรอไปจนถึงเดือนแปด”

หลินเซี่ยตอบกลับว่า “ขอบคุณมากนะคะหมอเย่ เราจะเปิดร้านวันที่ 20 เดือนนี้เลยค่ะ” วันนี้ตรงกับวันที่สิบเดือนเจ็ด เหลือเวลาอีกสิบกว่าวัน ดังนั้นยังมีเวลาเตรียมตัวอีกมาก

ไหน ๆ พวกเขาก็มีโอกาสมาที่นี่แล้ว หลินเซี่ยจึงสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของเสิ่นอวี้หลง “หมอเย่คะ ตอนนี้อาการของอวี้หลงเป็นยังไงบ้างแล้ว?”

“สัญญาณชีพจรยังคงที่ แต่เขายังไม่มีวี่แววว่าจะตื่น”

หมอเย่เป็นกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเสิ่นอวี้หลงซึ่งเป็นผู้ป่วยเจ้าชายนิทรา

ก่อนหน้านี้เขาตัดสินใจรับรักษาผู้ป่วยรายดังกล่าว ดังนั้นเขาต้องรับผิดชอบการรักษาจนถึงที่สุด

เขาพูดกับหลินเซี่ยว่า “ฉันเสนอให้พวกเขาพาเขามาอยู่ที่นี่ในอีกสองวันข้างหน้า ตาของเธอจะได้ย้ายมาดูแลกันที่นี่เสียเลย เวลาว่างพวกเรายังเล่นหมากรุกด้วยกันได้ ฉันเองก็ไม่จำเป็นต้องวิ่งไปมาสองทิศทาง”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินเซี่ยก็ยิ้มและพูดว่า “ดีเลยค่ะ พวกคุณสองคนมีอะไรที่เหมือนกันเยอะมาก แม้แต่งานอดิเรกและความชอบก็คล้ายกัน”

การมาเยี่ยมเยียนของเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยทำให้เอ้อร์เลิ่งมีความสุขมาก เขาช่วยป้าแม่บ้านทำอาหารอย่างแข็งขัน ทำกับข้าวเพิ่มอีกสองจาน

เอ้อร์เลิ่งยกจานมาวางบนโต๊ะ จัดเรียงจาน ชาม และตะเกียบอย่างพิถีพิถัน

เฉินเจียเหอยืนอยู่ด้านข้าง มองดูการกระทำของเขาด้วยความนิ่งอึ้ง

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยเห็นเอ้อร์เลิ่งสงบและมีสมาธิขนาดนี้มาก่อน

สายตาของเขาชัดเจนขึ้น ช่วยให้ประสิทธิภาพการหยิบจับสิ่งต่าง ๆ เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ต้องอาศัยคนไปตะโกนเรียกให้เขาเข้าบ้านมากินข้าวอีกต่อไป

หลินเซี่ยเห็นเอ้อร์เลิ่งทำงานไม่ได้หยุดมือ จึงอาสาว่า “เอ้อร์เลิ่ง ฉันจัดการเอง”

“พี่สะใภ้ นั่งลงเถอะ ฉันจะยกกับข้าวมาเสิร์ฟเอง”

เอ้อร์เลิ่งแสดงท่าทางเป็นสุภาพบุรุษ วิ่งกลับเข้าไปที่ห้องครัวหลังจากพูดอย่างนั้น

หลินเซี่ยมองตามร่างของเอ้อร์เลิ่งไป เอนตัวไปกระซิบกับเฉินเจียเหอว่า “เราไม่เจอเขามาหลายวันขนาดนี้เชียวเหรอ เอ้อร์เลิ่งเปลี่ยนไปเยอะมาก เปรียบเทียบกับเมื่อก่อนแล้วเขาเหมือนเป็นคนละคนกันอย่างสิ้นเชิงเลยค่ะ”

เฉินเจียเหอรู้สึกยินดีอย่างยิ่งเช่นกัน “ใช่ พ่อหนุ่มหัวกะทิเฉินจั่นเผิงกลับมาแล้ว”

เฉินเจียเหอมองไปที่หมอเย่ แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อเขา หมอเย่โบกมือแล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งดีใจจนเกินไป นี่เป็นแค่ก้าวแรกบนกำแพงเมืองจีน อย่าหย่อนยานการรักษา”

เอ้อร์เลิ่งยกหม้อข้าวมา จากนั้นก็เรียกทุกคนให้นั่งลงกินข้าวด้วยกัน

หมอเย่บอกให้เอ้อร์เลิ่งนั่งลง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อหนุ่มคนนี้ทำอาหารได้อร่อยมาก พวกเธอลองชิมดูสิ”

เมื่อไม่กี่วันก่อน ป้าแม่บ้านลางานไปทำธุระสองวัน เอ้อร์เลิ่งจึงรับหน้าที่เข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเอง

หลินเซี่ยมองไปที่จานอาหารหลากหลายบนโต๊ะ ถามเอ้อร์เลิ่งว่า “เอ้อร์เลิ่ง นายทำจานไหนเองบ้าง?”

“ฉันทำหมูผัดพริกแล้วก็มะเขือเทศผัดไข่” เอ้อร์เลิ่งหัวเราะเบา ๆ อธิบายต่อว่า “ป้าสอนฉันผัด หลายวันก่อนหล่อนสอนฉันทำแป้งบะหมี่กับซาลาเปานึ่งด้วย หล่อนบอกว่าถ้าฉันทำอาหารเป็น วันข้างหน้าจะได้ไม่อดตาย”

หลินเซี่ยตักเข้าปากคำหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าชมเชย “อร่อยจริงด้วย”

ถึงจะไม่ได้อร่อยมากมายจนเหาะขึ้นสวรรค์ แต่ก็เป็นเมนูผัดที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี

“ขอบคุณพี่สะใภ้สำหรับคำชม ฉันจะฝึกทำให้เก่งมากกว่านี้”

หลังจากกินข้าวกันเสร็จแล้ว เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยก็เตรียมตัวจะกลับบ้าน โดยเฉินเจียเหอไม่ลืมบอกเอ้อร์เลิ่งว่า “อย่าลืมกินยาให้ตรงเวลา ให้ความร่วมมือกับหมอเย่ในการรักษาด้วย อีกสักสองสามวันไว้ฉันว่างแล้วจะพานายไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล”

เอ้อร์เลิ่งจ้องมองเขา ถามอย่างระมัดระวัง “ต้าเหอ นายรักษาฉันแล้วต้องเสียเงินเยอะใช่ไหม?”

“ไม่เยอะหรอก”

เอ้อร์เลิ่งบอกว่า “ฉันว่าตัวเองอาการดีขึ้นมากแล้ว หรือว่า นายหยุดรักษาฉันดีไหม ฉันไม่อยากใช้เงินของนายเลย”

เฉินเจียเหอมองหน้าเขาและพูดอย่างหนักแน่นจริงจัง “ถ้านายหยุดกินยาตอนนี้ อาการของนายได้กำเริบขึ้นมาอีกแน่ ไม่ต้องห่วง ค่าใช้จ่ายไม่ได้มากมายอะไร ฉันได้เงินเดือนไม่ใช่น้อย ๆ”

“นายยังต้องเลี้ยงดูครอบครัว ส่งเสียลูกชายอีก จะมาเจียดเงินรักษาฉันไปทำไม?”

ความคิดของเอ้อร์เลิ่งเริ่มเป็นระบบมากขึ้น ความไม่รู้ประสาที่เคยเป็นในช่วงอาการหนัก ๆ หายไป

เขาไม่อยากให้ตัวเองเป็นภาระของเฉินเจียเหอ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

เริ่มมีสัญญาณเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีแล้ว ดีใจจังเลยค่ะ ขออย่าให้มีเหตุมาทำให้อาการกลับไปทรุดลงก็พอ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท