ตอนที่ 451 ส่งตัวไปไกลหลายพันลี้
ตอนที่ 451 ส่งตัวไปไกลหลายพันลี้
หู่จือกลับรู้สึกตรงกันข้ามกับเฉินเจียวั่ง เนื่องจากนี่เป็นโอกาสหายากที่เขาได้ไปเที่ยว จึงรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร ๆ
ทันทีที่เข้าไปในห้อง เขาก็เทรูปถ่ายจำนวนหนึ่งจากกระเป๋านักเรียนใบเล็ก เลือกหยิบภาพที่สนใจเป็นพิเศษขึ้นมา แล้วเดินมาหาหลินเซี่ย “แม่ฮะ ดูสิ อาสามถ่ายรูปให้ผมด้วย อันนี้ผมยืนอยู่กับปู่ทวดย่าทวดหน้ารูปปั้นตัวใหญ่”
“และภาพนี้ก็ถ่ายตอนนั่งเรือในสวนสาธารณะ”
ขณะหลินเซี่ยดูภาพถ่ายแต่ละใบ เมื่อเห็นเฉินเจียวั่งเข้ามา เธอยิ้มและชมเชยฝีมือเขาว่า “เจียวั่ง ฝีมือการถ่ายภาพของนายนี่ใช้ได้เลยนะ”
เฉินเจียวั่งที่อารมณ์ไม่ดีจึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย เมื่อได้ยินพี่สะใภ้เอ่ยปากชมเขาว่า ‘ฝีมือใช้ได้’
“ร้านใหม่ของเรากำลังมีแผนจะจ้างช่างภาพอยู่พอดี ถ้านายไม่ติดเรียนหรือติดอะไร ฉันก็อยากจ้างนายเหมือนกัน”
เมื่อเฉินเจียวั่งได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ถามอย่างสบายๆ ว่า “ตั้งสเปกไว้สูงหรือเปล่า?”
“แค่มีฝีมือถ่ายภาพดีก็พอแล้ว เพราะตอนนี้ร้านเรามีแค่บริการถ่ายภาพอย่างเดียว ต่อไปก็ขึ้นอยู่กับทิศทางของร้าน อาจเพิ่มบริการถ่ายวิดีโอในอนาคต เรามาช่วยกันทำไปทีละขั้นนะ”
“ฟังดูเข้าท่า”
หลินเซี่ยพูดอย่างกระตือรือร้นต่อว่า “ธุรกิจนี้มีโอกาสต่อยอดได้เยอะมาก ในช่วงที่สังคมกำลังก้าวสู่ยุคใหม่ พวกคนหนุ่มสาวมีความต้องการที่จะจัดงานแต่งมากขึ้น เราเลยเอาตรงนี้มาเป็นจุดแข็ง เน้นงานบริการที่ดี ทีนี้เราก็ไม่ต้องกังวลว่าธุรกิจจะเจ๊งง่าย ๆ”
เฉินเจียวั่งจะรู้ตัวหรือไม่? ว่าเวลามองหญิงสาวที่มีความทะเยอทะยานและวางแผนชีวิตได้ดี เขาจะเผลอแสดงสีหน้าชื่นชมทั้งที่ปกติตัวเองเป็นเสือยิ้มยาก
ในใจรู้สึกสับสนไปหมด
ตัวเขาอายุมากกว่าหลินเซี่ยหนึ่งปี มีเหตุจำเป็นให้ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันหลายครั้งเพราะอาการป่วย แถมเพิ่งจะเรียนอยู่ชั้นปีที่สอง แล้วเมื่อใดเขาจะมีธุรกิจเป็นของตัวเองบ้าง?
ตัวเขายังคงสับสน ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี
หลังจากโรคประจำตัวกำเริบ เขาก็เริ่มกลัวการอยู่ร่วมกับฝูงชน ทั้งยังกลัวที่จะต้องสื่อสารกับใครเป็นเวลานาน เพราะกลัวว่าอาการป่วยของตัวเองจะกำเริบขึ้นมาอีกอย่างควบคุมไม่ได้…
แม้อาการของเขาจะคงที่มากขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้หลังได้รับการรักษา แต่เขายังกังวลอยู่เสมอ
นี่ไม่เพียงแต่จะเป็นปัญหากับการทำงานในภายภาคหน้าของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย ซึ่งเขาไม่สามารถควบคุมมันได้…
ดวงตาของเฉินเจียวั่งวูบไหวกลอกกลิ้ง ถามหลินเซี่ยด้วยท่าทางเก้กังว่า “การประกวดนางแบบที่เจียงอวี่เฟยเข้าร่วมจบแล้วหรือยัง? ใครชนะ?”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “รอบชิงชนะเลิศจะถ่ายทำในวันมะรืนนี้พอดี บังเอิญมากที่นายกลับมา นายยังต้องไปเป็นพี่เลี้ยงของหล่อนเหมือนเดิมนะ”
เฉินเจียวั่งสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยิน “แต่ฉันไม่มีเวลานี่สิ”
“นี่มันวันหยุดฤดูร้อน ทำไมนายจะไม่มีเวลา?”
เฉินเจียวั่งไม่ตอบเธอ ก้มดูนาฬิกา พอเห็นว่ามันดึกมากแล้วจึงลุกขึ้นยืน
“ฉันไปก่อนนะ”
เฉินเจียเหอกังวลว่าน้องชายสามต้องกลับบ้านคนเดียวดึก ๆ ดื่น ๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้เขามีมอเตอร์ไซค์ของภรรยาแล้ว ไปไหนมาไหนง่ายขึ้น จึงรีบพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวฉันไปส่งเอง”
เฉินเจียเหอพาเฉินเจียวั่งควบมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน หลังกลับมา หลินเซี่ยกำลังกอดกันกลมกับหู่จืออย่างอบอุ่น และหู่จือก็กอดเธอไว้แน่นเช่นกัน พอเห็นเฉินเจียเหอกลับมา เขาก็ขยิบตาให้หลินเซี่ย “แม่ฮะ วันนี้ผมอยากนอนกับแม่”
หลินเซี่ยกอดลูกชายไว้ในอ้อมแขนอย่างหลวม ๆ แล้วพูดกับเฉินเจียเหอว่า “คืนนี้หู่จือจะนอนกับเรา ถ้าคุณรู้สึกว่ามันอึดอัดเกินไป จะย้ายไปนอนห้องลูกก่อนก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไร นอนด้วยกันหมดนี่แหละ” เฉินเจียเหอขึ้นไปบนเตียง โอบกอดสองแม่ลูกไว้ในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น
หลังจากไม่ได้เจอเขามาหลายวัน ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเด็กจอมซนคนนี้
ระหว่างเขากอดหู่จือ ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องที่หลินเซี่ยบอกว่า วันหนึ่งในภายภาคหน้า แม่ผู้ให้กำเนิดของหู่จือจะกลับมา และต้องการพาตัวเขากลับไป เฉินเจียเหอเริ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้นทันใด
หู่จือจะเลือกใคร?
ค่ำคืนอันมืดมิด เฉินเจียเหอเฝ้านอนฟังแม้กระทั่งเสียงหายใจของเขา ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด
…
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินเซี่ยวางแผนจะพาหู่จือไปที่ร้านอาหารเพื่อไปหาตายาย หู่จือพกรูปถ่ายทั้งหมดของเขาลงในกระเป๋านักเรียนใบเล็กไปด้วย คิดว่าจะเอารูปถ่ายไปอวดตายายกับคนอื่น ๆ
หลังจากหู่จือกลับมา หลินเซี่ยก็ไม่กล้าละเลยอาหารมื้อเช้า หู่จือบอกว่าเขาอยากกินโจ๊กแปดสมบัติฝีมือเธอ ดังนั้นหลินเซี่ยจึงลุกขึ้นมาปรุงโจ๊กและทอดไข่ดาวให้เขาแต่เช้า
นอกจากนี้ยังต้องเตรียมเสื้อผ้าให้เขา ดูแลเสื้อผ้า รองเท้า และเตรียมเสื้อผ้าสำหรับตัวเธอเองด้วย นี่เธอมีงานแน่นเอี้ยดตั้งแต่เช้าเชียวหรือเนี่ย?
“หู่จือ กินข้าวเร็ว ๆ กินเสร็จแล้วจะได้รีบไปหาคุณตาคุณยายที่ร้านอาหาร”
“ครับ”
…
ในตอนเช้า ชุนฟางได้มาเปิดประตูร้านเสริมสวยแล้ว ส่วนอาจารย์หวังยังไม่มา ขณะที่หล่อนซักผ้าและตากผ้าขนหนูเสร็จก็เหลือบไปเห็นชายวัยกลางคนหน้าตาจืดชืด แต่งตัวธรรมดาดาดๆ ถือกระเป๋าใบใหญ่อยู่ในมือ กำลังมองมาที่ประตูร้านเสริมสวย
ชุนฟางทักทายเขาอย่างสุภาพ “ขอโทษด้วยนะคะ ต้องรอสักครู่ถึงจะให้บริการได้ ตอนนี้ทุกอย่างยังเตรียมไม่เสร็จน่ะค่ะ”
ชายวัยกลางคนเงยหน้าดูป้ายร้านเสริมสวยอีกครั้ง ยิ้มแล้วถามชุนฟางว่า “คุณผู้หญิงครับ หลินเซี่ยอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
ชุนฟางตอบว่า “ใช่ค่ะ หล่อนเป็นเจ้าของร้านเราเอง คุณอยากให้หล่อนตัดผมให้ใช่ไหมคะ?”
ชุนฟางคิดว่าชายคนนี้น่าจะเป็นลูกค้าที่ต้องการตัดผมกับหลินเซี่ย
แต่พอดูสภาพทรงผมของเขาแล้ว หล่อนรู้สึกว่าหลินเซี่ยไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
ลำพังหล่อนใช้ปัตตาเลี่ยนแค่อันเดียวก็จัดการได้อย่างง่ายดาย
ขณะครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ชายคนนั้นก็พูดขึ้นว่า
“เปล่าครับ ผมเป็นสหายของหล่อน มาจากเชินเฉิงเพื่อคุยธุระ”
“โอ้” ชุนฟางตอบกลับ “หล่อนยังไม่มาเลยค่ะ เชิญเข้ามานั่งรอข้างในก่อนนะคะ”
อู๋เซิ่งหงได้ยินแบบนั้นก็ไม่เกรงใจ กล่าวขอบคุณชุนฟาง แล้วเข้าไปข้างในร้านเสริมสวย เลือกเก้าอี้ตัวที่เหมาะ ๆ แล้วนั่งลง
ชุนฟางยังคงตากผ้าขนหนูอยู่ข้างนอก ทันใดนั้น รถของเซี่ยไห่ก็มาจอดตรงริมถนน พร้อมกับเซี่ยไห่ลงจากรถพลางคุยโทรศัพท์ไปด้วยขณะปิดประตู
“นี่ พี่จาง คืนนี้มาร้องเพลงด้วยกันสิ เดี๋ยวฉันจ่ายให้”
เซี่ยไห่วางสาย กำลังจะเดินไปห้องเต้นรำ เมื่อเห็นชุนฟาง เขาก็ยิ้มแล้วทักทายว่า “ชุนฟาง ขยันแต่เช้าเลยนะ มาทำงานแต่เช้าเชียว”
ชุนฟางยิ้มแล้วถามว่า “เถ้าแก่เซี่ย ห้องเต้นรำไม่ได้เปิดตอนบ่ายหรอกเหรอคะ? ทำไมถึงมาเช้าจังล่ะ?”
“ไฟสีในห้องเต้นรำขัดข้องนิดหน่อย ฉันติดต่อช่างไฟมาเช็กดูแล้ว แต่ว่างพอดีเลยมาเช็กดูเองก่อน”
หลังจากเซี่ยไห่พูดจบ เขาก็กำลังจะไปที่ห้องเต้นรำ ชุนฟางเหลือบมองเข้ามาในร้านเสริมสวย เรียกเซี่ยไห่แล้วพูดกับเขาต่อว่า
“เถ้าแก่เซี่ยคะ มีผู้ชายจากเชินเฉิงมาที่ร้าน บอกว่าเขามาหาหลินเซี่ย คุณลองเข้าไปทักทายเขาหน่อยดีไหม?”
หลินเซี่ยและเซี่ยไห่เพิ่งไปเชินเฉิงด้วยกันมา ถ้าคนคนนั้นมาหาหลินเซี่ยจริง ๆ เถ้าแก่เซี่ยจะต้องรู้จักเขาเหมือนกันแน่นอน
ตอนนี้ยังเช้าอยู่ อาจารย์หวังก็ยังไม่มา และไม่มีลูกค้ารายอื่นอยู่ในร้าน ชุนฟางจึงต้องคอยระวังชายแปลกหน้าคนนี้ เพราะหล่อนไม่รู้จักตัวตนของเขาดีพอ
เซี่ยไห่หยุดชะงักไป ถามว่า “มาจากเชินเฉิงเหรอ?”
“ค่ะ”
เซี่ยไห่นึกถึงใครบางคนทันที เขาปรับปกเสื้อลายดอกไม้ให้ตรง และเข้าไปในร้านเสริมสวยด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
จริงดังคาด เขาเห็นชายคนหนึ่งสวมรองเท้าผ้าใบสีดำ เสื้อยืดแขนสั้นสีขาว และกางเกงผ้าสีดำ นั่งอยู่บนเก้าอี้ในร้านเสริมสวย
เซี่ยไห่ก้าวเข้าไปในร้านพร้อมรองเท้าหนังที่ขัดมันวับคู่ใจ เผยรอยยิ้มจอมปลอม แล้วทักทายเสียงดัง
“อ้าว เถ้าแก่อู๋ไม่ใช่เหรอเนี่ย? วันนี้มาเที่ยวไห่เฉิงเหรอครับ?”
อู๋เซิ่งหงยืนลุกขึ้นยืนทันทีเมื่อเห็นเซี่ยไห่เดินเข้ามา “เถ้าแก่เซี่ย คุณก็แวะมาแถวนี้ด้วยเหรอครับ?”
“ใช่ ข้าง ๆ เป็นห้องเต้นรำของผมเอง”
เซี่ยไห่หรี่ตาลงเล็กน้อย มองเขาแล้วถามว่า “ทำไมถึงทิ้งงานที่เชินเฉิงแล้วมาตามหาหลานสาวผมถึงนี่ล่ะ?”
อู๋เซิ่งหงตอบกลับ “เสี่ยวหลินเป็นคนเชิญผมมา”
“เหรอครับ?”
แน่นอนว่าเซี่ยไห่ไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูด แต่ต่อให้เชื่อ อคติในใจก็ยังคงคิดว่าหลินเซี่ยต้องถูกคนคนนี้หลอกแน่ และอาจมาชักชวนเขาให้ร่วมลงทุนทีหลัง
เขามองอู๋เซิ่งหงอีกครั้ง และปฏิเสธอย่างตรงประเด็น “เถ้าแก่อู๋ ผมขอบอกคุณอย่างชัดเจนตรงนี้เลยว่าเราไม่ต้องการลงทุนกับคุณ ผมไม่มีเงินมากพอจะลงทุน และหลานสาวผมก็ไม่มีความสามารถในการลงทุนด้วย คุณไปมองหาคนอื่นเถอะ อย่ามาตามตื๊อเราเลย ปล่อยพวกเราไปซะ ในฐานะนักธุรกิจด้วยกัน เวลานับเป็นเงินเป็นทอง ผมหวังว่าคุณจะเจอนักลงทุนรายอื่นเร็ว ๆ นี้ อย่ามาเสียเวลาที่นี่เลย”
อู๋เซิ่งหงมองอีกฝ่าย พูดด้วยท่าทางที่ไม่ถ่อมตัวหรือเย่อหยิ่งเกินไป “เถ้าแก่เซี่ย เสี่ยวหลินและผมได้ตกลงที่จะมาเจอกันที่นี่ ไม่ว่าคุณต้องการลงทุนหรือไม่ก็ตาม มันก็เป็นธุระส่วนตัวของหล่อน ผมหารือเรื่องธุรกิจกับเสี่ยวหลินเองได้ สุดท้ายจะลงทุนหรือไม่นั้น ผมต้องขอคุยกับหล่อนด้วยตัวเองก่อน แถมผมกับหล่อนก็กลายเป็นสหายกันแล้ว”
“ผมเป็นอารองของหลินเซี่ย ผมจะตัดสินใจแทนหล่อนในเรื่องนี้เอง”
เซี่ยไห่ชี้พื้นของร้านเสริมสวย และพูดกับอู๋เซิ่งหงต่อว่า “อย่างที่คุณเห็น นี่คือร้านเสริมสวยของหล่อน และร้านนี้หล่อนก็เช่าจากผม ทรัพย์สินทั้งหมดรวมกันไม่เกินห้าพันหยวน มารบกวนหล่อนยังไงก็ไม่มีประโยชน์ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะโน้มน้าวให้ผมลงทุนผ่านหล่อน ผมเป็นเจ้าของกิจการห้องเต้นรำ ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องอสังหาริมทรัพย์มากเท่าไหร่ และผมก็ไม่มีเงินทุนหมุนเวียนด้วย คงต้องขออภัยด้วยจริง ๆ การเดินทางของคุณอาจเสียเวลาเปล่าแล้วล่ะ”
แม้ทัศนคติของเซี่ยไห่ที่มีต่ออู๋เซิ่งหงจะสุภาพมาก แต่เขาก็ราดน้ำเย็นใส่อีกฝ่ายทุกคำพูด
อู๋เซิ่งหงเผยรอยยิ้มซื่อตรงบนใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
เซี่ยไห่จึงแสดงท่าทางเชิญชวน และพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพว่า “เอาอย่างนี้ เถ้าแก่อู๋ ในเมื่อคุณมาที่นี่ทั้งที งั้นแวะไปเยี่ยมชมห้องเต้นรำของผมในไห่เฉิงหน่อยเป็นไง แล้วผมค่อยออกไปส่งคุณที่สถานีรถไฟหลังจากนี้”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ดูเหมือนจะมีปัญหาที่ร้านแล้วนะเซี่ยเซี่ย รีบมาจัดการเร็วๆ
ไหหม่า(海馬)