บทที่ 1307 อหังการและห้าวหาญ
บทที่ 1307 อหังการและห้าวหาญ
การถกวิถีเต๋าระหว่างเฉินซีและเหยียนอวิ๋นจบลงในเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา แต่ผลกระทบที่ทุกคนได้รับนั้น ถือได้ว่าน่าตื่นเต้นที่สุดในการถกวิถีเต๋ารอบที่สอง
เหตุผลก็คือ พลังฝีมือที่เฉินซีได้เผยออกมานั้น มันช่างท้าทายสวรรค์และทรงพลังเกินไปจริง ๆ ซึ่งเป็นการบดขยี้เหยียนอวิ๋นในตลอดการต่อสู้ จนอีกฝ่ายแทบสิ้นใจ
รูปแบบการต่อสู้ที่เร้าใจและความสามารถในการครอบงำนี้ ทำให้เหล่าศิษย์และเหล่าอาจารย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ารู้สึกตื่นเต้นและยินดีอย่างยิ่ง
ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ พวกเขารู้สึกถูกกดขี่และทนทุกข์ทรมานมาอย่างยาวนานเหลือเกิน ในขณะนี้ ความรู้สึกสูญเสีย ความโกรธ ความรำคาญ ความกังวล และความวิตกกังวลในใจทั้งหมดได้ถูกระบายออกไปจนหมดสิ้น และมันก็เป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง
ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หรืออาจารย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์ ล้วนแต่มีสีหน้าเศร้าหมอง และเผยให้เห็นความกรุ่นโกรธ เนื่องจากเฉินซีลงมืออย่างโหดเหี้ยมเกินไป และเกือบจะทำให้เหยียนอวิ๋นพิการ ซึ่งต้องใช้เวลากว่าหนึ่งปี กว่าเหยียนอวิ๋นจะหายเป็นปกติ
ช่างเป็นไอ้สารเลวจริง ๆ!
นี่เป็นการตัดสินของอาจารย์และเหล่าศิษย์ของสำนักศึกษามหาเดียวดายและสำนักศึกษานภาไพศาลที่มีต่อเฉินซีในทำนองเดียวกัน
“ไม่นึกเลย ไม่นึกเลยจริง ๆ ว่าหลังจากที่เจ้าบรรลุขอบเขตเซียนทองคำขั้นสูงแล้ว พลังฝีมือจะพัฒนาไปมากขนาดนี้” หวังต้าวหลูเดาะลิ้นด้วยความประหลาดใจ และชมเชยอย่างไม่ขาดปาก
ส่วนเยี่ยถัง จ้าวเมิ่งหลี และคนอื่น ๆ ต่างจ้องมองเฉินซีราวกับเป็นตัวประหลาด การแสดงฝีมือในสนามประลองก่อนหน้านี้ ไม่เพียงแต่เหนือกว่าเท่านั้น แต่ยังโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี!
เฉินซีเพียงยิ้ม และกล่าวว่า “ข้าบอกแล้ว ว่าอย่าได้แปลกใจเกินไป”
พวกเขาต่างกล่าวสิ่งใดไม่ออก
ท่ามกลางบรรยากาศที่อึกทึกครึกโครมนี้ เสียงที่คมชัดและเศร้าหมองของเซียวเชียนซุ่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง “ฮึ่ม! อย่าชะล่าใจให้มากนัก! การถกวิถีเต๋าของเจ็ดสำนักยังไม่สิ้นสุด แต่สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋ากลับกำลังเฉลิมฉลองล่วงหน้าแล้วหรือ?!”
ทันทีที่สิ้นคำ มันก็ระงับเสียงเซ็งแซ่รอบข้างทันที โดยเฉพาะเมื่อตระหนักได้ว่ารอบที่สามกำลังจะเริ่มขึ้น ความตื่นเต้นบนใบหน้าของศิษย์หลายคนก็ลดลงอย่างมาก และถูกแทนที่ด้วยสีหน้าหนักใจอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าคำกล่าวของเซียวเชียนซุ่ยจะเต็มไปด้วยคำถากถาง แต่ก็เป็นความจริง มันเป็นเพียงรอบที่สองของการถกวิถีเต๋า และยังมีรอบสุดท้ายหลังจากนี้!
ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศโดยรอบก็เริ่มหนักอึ้งและกดดัน
เหตุผลนั้นง่ายมาก แม้ว่าเฉินซีจะได้รับชัยชนะ แต่สถานการณ์ของสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าก็ยังเสียเปรียบอย่างยิ่ง เนื่องจากเหลือเฉินซีเพียงคนเดียวในรอบที่สาม ในขณะที่ สำนักศึกษาระทมสันต์ สำนักศึกษามหาเดียวดาย และสำนักศึกษานภาไพศาล รวมเหลือศิษย์อยู่ถึงเจ็ดคน ซึ่งไม่นับว่านเจี้ยนเซิงที่สละสิทธิ์ไปก่อนหน้านี้!
เมื่อรวมกับกฎของรอบที่สาม ซึ่งอนุญาตให้ศิษย์สามารถเลือกและท้าทายคู่ต่อสู้ได้อย่างอิสระ เฉินซีจึงเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด
ลองคิดดู ถ้าศิษย์ทั้งเจ็ดคนท้าทายเฉินซีพร้อมกัน จะอะไรเกิดขึ้น?
…
“พวกเขาคงไร้ยางอายขนาดนั้นกระมัง?” ศิษย์คนหนึ่งขมวดคิ้วและเป็นกังวลอย่างยิ่ง
“ไร้ยางอาย? เพื่อให้มาซึ่งตำแหน่งผู้ชนะเลิศ พวกมันย่อมคิดท้าทายศิษย์พี่เฉินซีอย่างแน่นอน ตราบใดที่พวกมันเอาชนะศิษย์พี่เฉินซีได้ ตำแหน่งผู้ชนะเลิศก็จะอยู่ในกำมือของพวกมัน” ศิษย์อีกคนถอนหายใจ และรู้สึกว่ามีโอกาสสูงที่เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นในรอบที่สามของการถกวิถีเต๋า
ในช่วงเวลาหนึ่ง ความกังวลเล็ก ๆ ก็เกิดขึ้นในใจของทุกคนอีกครั้ง แม้เฉินซีจะผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายได้สำเร็จ แต่…เขาจะต้านทานการท้าทายของศิษย์จากทั้งสามสำนักได้อย่างไร
โดยเฉพาะบุคคลที่น่าเกรงขามเช่นเซียวเชียนซุ่ยที่ไม่ด้อยไปกว่าว่านเจี้ยนเซิง ก็ปรากฏตัวอยู่ในหมู่ศิษย์ทั้งเจ็ดคนนั้น!
…
“เฉินซี” หวังต้าวหลูขมวดคิ้ว พลางครุ่นคิดอย่างลึกซึ้งเป็นเวลานาน และเขาก็รู้สึกลังเล ก่อนที่จะตัดใจถาม “เฉินซี… เจ้ามั่นใจเพียงใด?”
สิ้นคำ เยี่ยถังและคนอื่น ๆ ก็จ้องมองมาเช่นเดียวกัน พวกเขาทราบอย่างชัดเจนว่า เซียวเชียนซุ่ยเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือยากที่สุดในรอบที่สาม
แม้ว่าเฉินซีจะสามารถเอาชนะเซียวเชียนซุ่ยได้ แต่ก็ยังมีศิษย์อีกหกคนที่จ้องมองมาด้วยความเป็นศัตรู และไม่มีใครที่อ่อนแอในหมู่พวกเขา!
ที่สำคัญ ตามกฎของรอบที่สาม ไม่อนุญาตให้พักและฟื้นพลัง กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากเฉินซีถูกท้าทาย เขาจะต้องต่อสู้ต่อไปโดยไม่อาจหยุดพัก
ด้วยวิธีนี้ สถานการณ์ที่เฉินซีเผชิญอยู่ก็จะเสียเปรียบมากยิ่งขึ้น
เฉินซีเพียงไหวไหล่ จากนั้นเผยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย “เราจะรู้ผลได้ ก็หลังจากที่ข้าต่อสู้กับพวกเขาแล้วเท่านั้น ก็อย่างที่ข้าบอกไปแล้ว คอยดูอย่างใจเย็น มีการต่อสู้ที่น่าตื่นเต้นอีกมากมายกำลังจะเกิดขึ้น”
น้ำเสียงที่เฉยชา ทว่าแฝงไปด้วยอารมณ์ขัน แต่กลับทำให้หัวใจของหวังต้าวหลูและคนอื่น ๆ มีความมั่นใจและสงบมากขึ้น พวกเขาจึงไม่กังวลเหมือนก่อนหน้านี้
…
ชื่อของศิษย์ที่เข้าร่วมในรอบสุดท้าย ได้ถูกเปิดเผยแล้ว
โดยเรียงตามลำดับ ได้แก่ เฉินซีจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า เซียวเชียนซุ่ย เหอเลี่ยนฉี และหวังเซวี่ยชงจากสำนักศึกษาระทมสันต์ อู่ฟางจวินและเยว่อวี่จากสำนักศึกษามหาเดียวดาย อวี่ซิวสุ่ยและไฉ่ทาจากสำนักศึกษานภาไพศาล
ศิษย์ทั้งหมดแปดคน
ผู้ที่เป็นที่สนใจมากที่สุดในหมู่พวกเขา ย่อมเป็นเซียวเชียนซุ่ย เพราะตามข่าวลือ พลังฝีมือของคนผู้นี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าว่านเจี้ยนเซิงเลย นอกจากเซียวเชียนซุ่ยแล้ว อีกหกคนก็ยังน่าเกรงขามอย่างมากเช่นกัน และนี่เห็นได้ชัดจากความสามารถในการเข้าสู่รอบที่สามของการถกวิถีเต๋า
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นเซียวเชียนซุ่ยหรืออีกหกคน พวกเขาก็ไม่เป็นที่รู้จักในภพเซียนแม้แต่น้อย กระทั่งข้อมูลที่ได้รับจากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋า ทั้งเจ็ดคนนั้น ไม่ใช่ตัวตนอันดับต้น ๆ ในสำนักของตนด้วยซ้ำ
แต่กลับสามารถระเบิดพลังฝีมือที่เกินความคาดหมายของทุกคนในระหว่างการถกวิถีเต๋า และไม่อาจปฏิเสธได้ว่า มันเกี่ยวข้องกับนิกายอำนาจเทวะอย่างแน่นอน
และเพราะเช่นนั้น รวมถึงเหตุผลอื่น ๆ … เฉินซีจึงเกลียดและชิงชังนิกายอำนาจเทวะถึงขีดสุด!
…
มีการจับสลากอีกรอบก่อนที่การถกวิถีเต๋ารอบสุดท้ายจะเริ่มขึ้น
มันไม่ใช่เพื่อประโยชน์ในการจัดคู่ต่อสู้ให้กับศิษย์ที่เข้าร่วม และเป็นเพียงการตัดสินลำดับที่พวกเขาต่อสู้เท่านั้น เช่น ศิษย์ที่จับสลากได้หมายเลขหนึ่ง จะเป็นคนแรกที่ออกไปท้าทาย และศิษย์คนนั้นสามารถเลือกศิษย์คนใดก็ได้จากเจ็ดคนที่เหลือให้เป็นคู่ต่อสู้ของตน
“เฉินซี ไม่นึกเลยว่าเจ้าแสดงฝีมือได้น่าเกรงขามเช่นนี้ มันทำให้ข้าปรารถนาที่จะต่อสู้กับเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องยืนหยัดให้จงได้ และไม่ถูกกำจัดโดยคนอื่นไปเสียก่อน!” เซียวเชียนซุ่ยจ้องมองเฉินซี ใบหน้าที่มืดมน และเรียวยาว เต็มไปด้วยรอยยิ้มเย็นชา ทันทีกล่าวจบ เขาก็ไม่สามารถยับยั้งตัวเองจากการเลียริมฝีปากด้วยลิ้นสีแดงเข้ม ช่างน่าสยดสยองและกดดันอย่างแท้จริง
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ทำให้เจ้าผิดหวังแน่นอน” เฉินซียิ้มขณะที่กล่าวเบา ๆ แต่ทุกคำกลับชัดเจน ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ฉายแววความหนาวเย็นที่เสียดแทงลึกไปถึงกระดูก
เซียวเชียนซุ่ยหายใจเข้าลึก ๆ ในขณะที่ใบหน้ากลายเป็นสีแดงและบิดเบี้ยว “ประเสริฐ ประเสริฐมาก ข้ารู้สึกได้ว่าเลือดในร่างกายของข้าเดือดพล่านไปหมดแล้ว ความรู้สึกแบบนี้…มันเยี่ยมมาก…”
ตัวประหลาด!
เหล่าศิษย์ที่อยู่รอบ ๆ พลันสาปแช่งในใจเมื่อเห็นฉากนี้ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบ เซียวเชียนซุ่ยได้เผยนิสัยที่บิดเบี้ยว บ้าคลั่ง และผิดปกติ ซึ่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
“ฮึ่ม! ช่างโอ้อวดอะไรเช่นนี้!”
“อย่าเสียเวลาไปกับเขาเลย ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเปลี่ยนความจริงที่ว่า สำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าได้ถูกลิขิตให้พ่ายแพ้ แม้แต่เจ้าเฉินซี ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้เช่นกัน!”
“เราจะได้รับตำแหน่งผู้ชนะเลิศในการถกวิถีเต๋านี้อย่างแน่นอน!”
หวังเซวี่ยชงและคนอื่น ๆ กวาดสายตาเย็นชาไปทางเฉินซี ซึ่งเผยให้เห็นท่าทางภาคภูมิ ดูมั่นใจและมุ่งมั่นที่จะได้รับตำแหน่งผู้ชนะเลิศ
ดูเหมือนคนเหล่านี้จะร่วมมือกันจริง ๆ… เฉินซีไม่ได้สั่นคลอนกับเรื่องนี้ และจ้องมองอีกฝ่ายขณะจมอยู่กับความคิด
ไม่นานนัก การจับสลากก็เริ่มขึ้น
มันอาจจะโชคดีหรืออาจจะไม่ก็ได้ แต่เฉินซีจับสลากได้หมายเลขแปด ดังนั้นเขาจึงถูกกำหนดให้ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องรอให้คนอื่นมาท้าทายตน
ในทางกลับกัน เซียวเชียนซุ่ยและคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงเย็น สายตาที่จ้องมองเฉินซีก็เต็มไปด้วยความสงสารและจิตสังหารอันแรงกล้า
ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?
เมื่อพวกเขาเห็นผลลัพธ์ดังกล่าว เหล่าอาจารย์และศิษย์จากสำนักศึกษาจักรพรรดิเต๋าล้วนตกตะลึง หัวใจอดที่จะบีบรัดไม่ได้
“คนเหล่านี้ช่างโง่เขลาจริง ๆ เฉินซีจะแพ้ได้อย่างไร” ในมุมหนึ่งท่ามกลางฝูงชน หลิงไป๋ขี่หลังปุกปุยสีขาวหิมะของชิงชิง พลางกลอกตาอย่างดูแคลน
หลังจากนั้น เขาก็มุ่งความสนใจไปที่การเคี้ยวผลไม้อมตะในมือช้า ๆ อาหมาน ไป๋คุย และชิงชิงต่างก็มุ่งความสนใจไปที่อาหารในมือเช่นกัน และเลิกสนใจเหตุการณ์ในสนามประลองไปโดยปริยาย
เมื่อชิงเยี่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นฉากนี้ ก็อดขบขันไม่ได้ ความกังวลที่ต่อเฉินซีก็สลายไปอย่างไร้ร่องรอย
…
แก๊ง!
เสียงระฆังที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง และม่านการถกวิถีเต๋ารอบสุดท้ายก็ถูกรูดออก
ศิษย์ที่จับได้หมายเลขหนึ่ง คืออวี่ซิวสุ่ยจากสำนักศึกษานภาไพศาล เขามีใบหน้าหล่อเหลาและคมคาย มีท่าทางสง่างาม และถือพัดหยกทองคำทมิฬไว้ในมือ
เมื่อระฆังดังขึ้น เขาก็แทบไม่ลังเลที่จะชี้พัดหยกในมือไปทางเฉินซี แล้วเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะกล่าวอย่างภาคภูมิ “เฉินซี ข้าจะถกวิถีเต๋ากับเจ้าเอง!”
แม้พวกเขาจะตระหนักดีว่า ผลลัพธ์เช่นนี้จะต้องเกิดขึ้น แต่ผู้ชมก็ยังอดไม่ได้ที่จะแตกตื่น และรู้สึกกังวล
เฉินซีเพียงส่ายศีรษะ “ในเมื่อเจ้ากังวลมากที่จะถูกกำจัด เช่นนั้นก็ตามที่เจ้าต้องการ”
ทันทีที่สิ้นคำ อวี่ซิวสุ่ยหัวเราะเสียงเย็น “ช่างฟังดูอวดดีอะไรเช่นนี้!”
เฉินซีไหวไหล่และไม่กล่าวอะไรอีก
คนอื่น ๆ ออกจากสนามประลองทันที เหลือเพียงเฉินซีและอวี่ซิวสุ่ยที่ยืนประจันหน้ากัน
ชั่วขณะหนึ่ง บรรยากาศกลายเป็นการเผชิญหน้าและเต็มไปด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันทันที สายตาของทุกคนที่อยู่รอบ ๆ จ้องมองไปที่สนามประลองเป็นตาเดียว บรรยากาศเงียบกริบจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ
“เริ่มเถอะ!” อวี่ซิวสุ่ยกล่าวอย่างภาคภูมิ ร่างกายเรืองรองไปด้วยแสงสีฟ้าอ่อน มันดูเลือนรางราวกับภาพฝัน แต่ในขณะเดียวกันมันก็ปล่อยคลื่นพลังผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวที่ทำให้ใจสั่นไหว
เฉินซีพลิกฝ่ามือ น้ำเต้าสีเหลืองโบราณออกมา พื้นผิวของมันถูกจารึกไว้ด้วยลวดลายของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว พืชพรรณ สรรพสัตว์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ทันทีที่มันปรากฏ ก็ปล่อยคลื่นพลังปราณฟ้าดินหนาแน่น
มันเป็นหนึ่งในสุดยอดสมบัติของสำนักศึกษานภาไพศาล น้ำเต้าฟ้าดิน!
ก่อนหน้านี้ เฉินซีได้ใช้ผนึกเทวศสวรรค์ของสำนักศึกษาระทมสันต์เพื่อทุบเหยียนอวิ๋นผู้เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาระทมสันต์ จนอีกฝ่ายอาบไปด้วยเลือดจวนสิ้นใจ ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับอวี่ซิวสุ่ยจากสำนักศึกษานภาไพศาล เฉินซีได้หยิบน้ำเต้าฟ้าดินของสำนักศึกษานภาไพศาลออกมา เพื่อต่อสู้กับอวี่ซิวสุ่ย!
ริมฝีปากของหลายคนกระตุกวูบเมื่อได้เห็นฉากนี้
เวลาเช่นนี้ แต่ศิษย์พี่เฉินซียังคงอหังการและห้าวหาญ มันทำให้พวกเราไม่สามารถห้ามตัวเองจากการหัวเราะได้
ความวิตกกังวลในใจของพวกเขาสลายไปอย่างมาก
ในทางกลับกัน ใบหน้าของพิสดารเฟิงของสำนักศึกษานภาไพศาลก็ดิ่งลงทันที…