บทที่ 556 จะสนใจแกรึไง?
บทที่ 556 จะสนใจแกรึไง?
เมื่อเซี่ยชิงหยวนตามเสิ่นอี้โจวมาถึงที่ศูนย์บรรเทาความยากจน สถานที่ก็เต็มไปด้วยผู้คนคลาคล่ำอยู่รอบ ๆ แล้ว
ทันทีที่เห็นทั้งสองมา พวกเขาก็รีบหลบทางให้
อันธพาลกวนหันหลังให้พวกเขา มือของอีกฝ่ายถูกมัดไว้แบบไพล่ไปด้านหลัง นั่งนิ่งอยู่บนพื้น ขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ ใบหน้าฉายแววเจ้าเล่ห์
เขากล่าวว่า “ผมก็แค่เดินเล่นขึ้นไปบนภูเขาเฉย ๆ พวกคุณจับผมมาทำไม?”
ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างไร้จุดหมาย ก่อนที่สายตาจะปะทะเข้ากับเสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวนที่เดินเข้ามา
ในตอนแรกหัวใจของเขาบีบรัดแน่น จากนั้นเขาพลันเอ่ยออกมาเสียงเย็น “โอ้ ผู้อำนวยการเสิ่นของเรามาแล้ว ยังไม่รีบให้คนของคุณปล่อยผมไปแล้วเอาเหล้าเอาเนื้อดี ๆ มาให้ผมกินอีกเหรอ?”
ถ้อยคำเหน็บแนมเยาะหยันนั้นรุนแรง ซ้ำยังไร้ซึ่งความกลัวใด ๆ
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยพยักหน้าให้เสิ่นอี้โจว “ผู้อำนวยการเสิ่น”
หลังจากที่เสิ่นอี้โจวเขียนแผนที่ให้เมื่อวานนี้ เขาก็เก็บเรื่องนี้ไว้ในใจ และเมื่อเช้าก็พาคนออกไปเพื่อจับโจร
เป็นไปตามที่เสิ่นอี้โจวคาดไว้ ในตอนที่พวกเขาจับอันธพาลกวนได้ เขาซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมมุงจากของหมู่บ้านใกล้ ๆ โดยนอนหลับอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
พวกเขารีบวิ่งไปข้างหน้าและกดตัวอันธพาลกวนลงกับพื้นจนกินโคลนเข้าไปเสียเต็มปาก
อันธพาลกวนยังคงตะโกนว่า “ไอ้พวกคนน่ารำคาญพวกนี้นิ! พวกแกคิดจะทำอะไร!?”
เขาพยายามดิ้นรนทุกวิถีทาง พร้อมร้องตะโกนว่าถูกปรักปรำมาตลอดทาง ทำราวกับว่าตนนั้นได้รับการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม
ดวงตาของเสิ่นอี้โจวจ้องมองไปยังหน้าผากที่มีคราบเลือดเกรอะกรังของอันธพาลกวนแล้ว ในใจก็พอคาดการณ์ได้
เสิ่นอี้โจวเอ่ยแทรกเขา “กวนเฉิง คุณยอมรับความผิดของคุณหรือไม่?”
กวนเฉิงเป็นชื่อจริงของอันธพาลกวน ด้วยเพราะหลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต เขาก็เตร็ดเตร่อยู่รอบ ๆ หมู่บ้านทั้งวัน ไม่ทำอะไรนอกจากขโมยไก่ไล่เตะสุนัข*[1] ทำให้ชาวบ้านเริ่มเรียกเขาว่าอันธพาลกวน
ดวงตาหงส์เพลิงที่จ้องมองมาด้วยสายตาเย็นเยียบโดยไม่แสดงความโกรธออกมานั้นทำให้หัวใจแทบสั่นสะท้าน
หัวใจของอันธพาลกวนพลันเต้นระรัว ก่อนที่เขาจะยืดคอเชิดหน้าแล้วเอ่ย “ยอมรับความผิดเรื่องอะไรกัน? ผู้อำนวยการเสิ่น ถ้าคุณต้องการผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ ก็ควรไปทำสิ่งที่มีประโยชน์ให้มากซะสิ อย่ามาจับผมแล้วทำให้ชื่อเสียงเสียหาย มีเรื่องนี้ติดตัวไป ผมเองอยู่ในหมู่บ้านนี้ตัวคนเดียวก็จริง แต่ผมไม่ยอมให้คุณมารังแกผมไปเรื่อยหรอกนะ”
เห็นได้ชัดว่าอันธพาลกวนพยายามแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง ถึงจะตายก็ไม่ยอมรับ
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเห็นเขาเล่นลูกไม้อย่างหน้าด้าน ๆ ก็โกรธมากเสียจนใบหน้าหล่อเหลาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง “กวนเฉิง ยังเล่นลิ้นอยู่อีก! ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าแกเหมือนผู้ชายที่เราไล่ตามเมื่อคืนก่อน! ถ้าแกไม่ใช่วัวสันหลังหวะ ตอนที่เจอเรา แกจะไปซ่อนทำไม?”
ทหารคนหนึ่งซึ่งมีส่วนร่วมในการไล่ตามไปในตอนนั้นเองก็เห็นด้วย “ใช่ ผู้ชายคนนั้นคือนายนั่นแหละ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อันธพาลกวนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “พวกคุณนี่ตลกจริง ๆ แค่มองจากด้านหลัง ก็สรุปว่าเป็นผมได้แล้วอย่างนั้นเหรอ? นั่นมันตอนกลางคืนนะแถมยังมืดด้วย คุณแน่ใจเหรอว่าตัวเองไม่ได้มองผิดไป? พวกคุณดูโหดเหี้ยมมากจนใครก็ตามที่เห็นพวกคุณต่างก็กลัวกันทั้งนั้นแหละ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะไปซ่อนสิ”
“แก…” หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยสำลักกับคำพูดย้อนของอันธพาลกวน เขาเกือบจะเหวี่ยงหมัดออกไปแล้วเสียด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มรำพึงอยู่ในใจ ‘ทหารปลดประจำการก็ยังเป็นทหารของประชาชน จะทำร้ายคนไม่ได้ ห้ามทำร้ายคนเด็ดขาด’
เสิ่นอี้โจวยกมือขึ้นเพื่อหยุดหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย ซึ่งกำลังจะเข้าไปหาเรื่องอีกฝ่าย แล้วเอ่ย “เมื่อคืนก่อนด้วยความตื่นตระหนกโจรคนนั้นจึงหกล้ม และขาของคุณเองก็เหมือนจะได้รับบาดเจ็บเช่นกัน”
เขานั่งยองลง พร้อมจ้องมองอันธพาลกวนด้วยแววตาเย็นชา “หรือคุณกำลังพยายามจะบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ?”
เมื่อเผชิญกับการสายตาพินิจพิเคราะห์ของเสิ่นอี้โจวแล้ว อันธพาลกวนก็ค่อย ๆ รู้สึกไม่สามารถทนต่อไปได้อีก
เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าดวงตาของคนคนหนึ่งจะล้ำลึกและน่าขนลุกได้ถึงเพียงนี้ ไม่อาจหลบเลี่ยงอะไรได้ภายใต้สายตาของชายหนุ่ม ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้สายตาของคนคนนี้แล้ว จนกระทั่งรอยแผลเป็นที่น่าเกลียดถูกเปิดเผยออกมา
เขากังวลมากจนอยากจะกลืนน้ำลาย ทว่ารู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้จะทำให้ตัวเองดูอ่อนแอ จึงทำได้เพียงอดกลั้นไว้เท่านั้น
เหงื่อเม็ดเล็กเริ่มผุดขึ้นมาที่บริเวณหน้าผากของเขา โดยที่เขาไม่กล้าสบตากับเสิ่นอี้โจวอีก
ในที่สุด ลูกกระเดือกของเขาก็เลื่อนจากบนลงล่าง เขากลืนน้ำลายและใช้โอกาสนี้เพื่อหลบสายตาของเสิ่นอี้โจว
เขากล่าวว่า “แน่ แน่… แน่นอนว่าเป็นเรื่องบังเอิญ ผมไปที่หมู่บ้านข้าง ๆ ตั้งแต่ช่วงบ่ายของเมื่อวานซืน และยังไม่ได้กลับมาที่นี่เลย เมื่อวานผมไปจับไก่ป่าบนภูเขาทางนั้น และไปสะดุดล้มเข้าในตอนนั้นแหละ”
เมื่อถ้อยคำของเขาถูกเอ่ยออกมา ชาวบ้านคนหนึ่งก็เย้ยหยันทันที “แกน่ะเหรอจะไปจับไก่ป่าบนภูเขา? เห็นทีว่าคงไปขโมยไก่ของคนอื่นมากกว่า”
อันธพาลกวนไม่ได้รู้สึกอับอายแม้แต่น้อย แต่กลับถ่มน้ำลายใส่ชาวบ้านคนนั้นแทน “ถุ้ย! ตาข้างไหนที่แกเห็นว่าฉันไปขโมยไก่กัน? เห็นจะเป็นนังเด็กขี้เกียจที่บ้านแกซะมากกว่า”
เอ่ยจบ เขาก็หัวเราะออกมาอย่างไม่อายปาก
ชาวบ้านคนนั้นโกรธมากจนเข้าไปตบตีเขา “อันธพาลกวน เรื่องคราวนี้ฉันมั่นใจว่าเป็นแกแน่นอน!”
อันธพาลกวนทรุดตัวลงกับพื้นแล้วเอ่ยว่า “หากพวกคุณบอกว่าผมเป็นโจรในคืนนั้นเพียงเพราะว่าขาของผมบาดเจ็บ ผมจะเป็นคนแรกที่ไม่เห็นด้วย”
เขาแบมือทั้งสองข้างออก “ถ้าพวกคุณจะให้ยอมรับผิดเพราะถูกทรมานไม่ไหวก็ย่อมได้ ถึงยังไงนั่นก็เป็นวิธีที่ศูนย์บรรเทาความยากจนของพวกคุณทำกันอยู่แล้วนี่”
ริมฝีปากของเสิ่นอี้โจวพลันกระตุกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มจาง ๆ “ตอนนี้ผมจะทวนสิ่งที่คุณเพิ่งมาพูดมาให้ฟัง คุณไปที่หมู่บ้านข้าง ๆ ตั้งแต่เมื่อวานซืนตอนบ่าย และยังไม่ได้กลับมาที่นี่เลย จนกระทั่งถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยจับมา และขาของคุณได้รับบาดเจ็บขณะไปจับไก่ป่าบนภูเขา ถูกต้องไหม?”
ทันใดนั้นหัวใจของอันธพาลกวนพลันส่งเสียงเตือนขึ้น แต่สิ่งที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ไม่สามารถพลิกลิ้นได้ง่าย ๆ เขาจึงเอ่ยตอบอย่างคลุมเครือ “ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
เสิ่นอี้โจวส่งเสียงเยาะเย้ยในลำคอ ก่อนจะสบตากับเจ้าหน้าที่ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ จากนั้นจึงหยัดกายยืนขึ้นแล้วเอ่ย “ให้เขาเข้ามาได้ครับ”
เอ่ยจบ ชายร่างผอมบางคนหนึ่งก็เดินเข้าประตูมา พลางถูมือกันไปมาด้วยความประหม่า รอให้เสิ่นอี้โจวกล่าวบอก
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “ตอนนี้คุณช่วยบอกทุกคนหน่อยครับว่าคุณพบกวนเฉิงครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
คนคนนี้ชื่อว่าซุ่นจือ เป็นคนในหมู่บ้านนี้เช่นกัน โดยปกติแล้วเขาจะพูดคุยกับอันธพาลกวนอยู่บ้าง พวกเขาสองคนเคยเที่ยวเล่นด้วยกัน
หากแต่เขามีครอบครัวและภรรยา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถอยู่กับอันธพาลกวนได้บ่อยนัก
ซุ่นจือเอ่ยขึ้น “เมื่อคืนก่อน พวกเรายังดื่มเหล้าด้วยกันอยู่เลยครับ”
เขาเหลือบมองอันธพาลกวนเล็กน้อย ก่อนลั่นกลองปลุกใจตัวเอง “ตอนนั้นเขาพูดว่า… เขาอยากลิ้มรสชาติของผู้หญิงในเมือง”
เหล้าที่เดิมนั้นคือเหล้าข้าวที่แอบขโมยมาจากที่บ้าน ทั้งยังกินถั่วลิสงกันจำนวนหนึ่งอีกด้วย
ในตอนที่เริ่มกรึ่ม ๆ อันธพาลกวนมองไปยังบ้านไม้ไผ่หลังเล็ก พลางลูบคางแล้วกล่าวว่า “ผู้หญิงจากในเมืองคงมีรสชาติที่แตกต่างออกไป”
ซุ่นจือมองตามสายตาของเขา แล้วเอ่ยเย้าออกมาอย่างไม่เกรงใจว่า “อย่าแม้แต่จะคิด ทางนั้นจะสนใจแกรึไง? ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น แกไม่คู่ควรที่จะไปถือรองเท้าให้ผู้อำนวยการเสิ่นเสียด้วยซ้ำไป ขอเพียงไม่ได้ตาบอด ย่อมไม่มีทางปล่อยให้คุณนายข้าราชการไว้ตามลำพังกับอันธพาลเสเพลอย่างแกหรอก”
คำพูดของซุ่นจือทำให้อันธพาลกวนโกรธ และทั้งสองก็แยกย้ายจากกันไปแบบไม่สบอารมณ์
ท่าทางของอันธพาลกวนเริ่มไม่สบายใจตั้งแต่ซุ่นจือเข้ามา และเมื่อชายหนุ่มกล่าวบอกถ้อยคำเหล่านั้นออกมา เขาก็กระโดดขึ้นจากพื้นและพุ่งเข้าใส่ซุ่นจือทันที
เขาตะคอกเสียงดังว่า “ซุ่นจือ ฉันจะฆ่าแก!”
[1] ขโมยไก่ไล่เตะหมา หมายถึง การก่ออาชญากรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ