ตอนที่ 166 ผู้ใดชนะ
“ได้ยินแล้วหรือยัง ซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อแล่นไปร้านหนังสือท้าประลองสุรากับคุณหนูโค่ว”
“คุณหนูโค่ว? คุณหนูโค่วที่เปิดร้านหนังสือ?”
“ไม่ใช่คุณหนูโค่วผู้นั้นแล้วจะเป็นผู้ใด”
“ซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อไปท้าประลองสุรากับคุณหนูโค่วได้อย่างไร” คนพูดเห็นชัดว่าคิดออกนอกลู่ไปแล้ว ขมวดคิ้วถาม
พลันมีคนเอ่ยว่า “ได้ยินว่าไปแก้แค้นแทนชิ่งอ๋อง”
“แล้วไปเกี่ยวอันใดกับชิ่งอ๋องอีกเล่า”
“ว่าไปแล้วเรื่องมันยาว ชิ่งอ๋องเป็นพี่ชายญาติผู้พี่ของซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อ วันนั้นจวนองค์หญิงใหญ่จัดงาน…”
เดิมทีเรื่องที่ชิ่งอ๋องประลองสุรากับคุณหนูโค่วจนเมาล้มพับไปในงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพองค์หญิงใหญ่เจาหยางยังแพร่กันแค่ในแวดวงชนชั้นสูง เป็นเหตุให้ผ่านไปหลายวันรองเจ้ากรมต้วนจึงเพิ่งได้ยิน แต่เรื่องไต้เจ๋อมาท้าซินโย่วประลองสุรา ถูกคนประคองลากออกไปยังตะโกนไม่หยุด พริบตาก็แพร่ออกไปในวงกว้าง
ชิ่งอ๋องได้ยินก็โมโหเขวี้ยงแก้วชาแตก
เจ้าตัวบัดซบทำงานใดไม่สำเร็จ กลับยิ่งทำให้เลวร้ายลง!
พอเป็นเช่นนี้ เขากลับไม่อาจไปหาเรื่องคุณหนูโค่วในตอนนี้ได้ ไม่เช่นนั้นผู้คนก็จะว่าเขาจิตใจคับแคบ ความจริงชิ่งอ๋องไม่สนใจเสียงวิพากษ์ของชาวบ้านพวกนั้น แต่ไม่จำเป็นต้องลงมือในยามที่ผู้คนกำลังให้ความสนใจ
รองเจ้ากรมต้วนไปบ่นกับมารดาตนเองอีกครั้ง “ประลองสุรากับชิ่งอ๋อง ยังอาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์ตอนนั้นไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ถึงกับประลองสุรากับซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อในร้านหนังสือตนเอง ช่างไร้ธรรมเนียมเสียจริง”
นายหญิงผู้เฒ่านิ่งสุขุมเอ่ยว่า “ประลองสุรากับองค์ชายไปแล้ว จะประลองสุรากับซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อก็มิใช่เรื่องแปลก”
“ท่านแม่ นางบังอาจเหิมเกริมเช่นนี้ ผู้คนจะหัวเราะเยาะจวนรองเจ้ากรมเราว่าไม่อบรมให้ดี!”
นายหญิงผู้เฒ่ามองบุตรชายงุนงงทีหนึ่ง “มีอันใดน่าเป็นห่วง ส่งหว่านเอ๋อร์ไปโรงบ้านนอกเมืองแล้วหวาเอ๋อร์หมั้นหมายแล้ว หลิงเอ๋อร์อีกสามสี่ปีค่อยคิดเรื่องออกเรือนก็ไม่สาย ส่วนเยี่ยนเอ๋อร์ก็ยิ่งไม่รีบร้อน นับประสาอันใดกับชิงชิงก็มาอยู่จวนรองเจ้ากรมชั่วคราวเพียงแค่สี่ปี จะว่าไปแล้วนางก็เป็นบุตรีตระกูลโค่ว”
“แต่อย่างไรข้าก็เป็นลุงของนาง ท่านแม่ไม่เห็นสายตาสหายร่วมงานข้า”
นายหญิงผู้เฒ่าบรรจงจิบน้ำชาไปคำหนึ่ง “เมืองหลวงมีเรื่องครึกครื้นพวกนี้น้อยหรือ อีกสองสามวันก็มีเรื่องครึกครื้นใหม่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้มากที่สุดก็คือบรรดาตระกูลที่คิดจะแต่งชิงชิงไปเป็นสะใภ้เหล่านั้นเท่านั้น”
รองเจ้ากรมต้วนยังคิดเอ่ยต่อ แต่สบเข้ากับแววตาเรียบเฉยของนายหญิงผู้เฒ่า พลันเข้าใจขึ้นมาทันที “ท่านแม่คิดเก็บชิงชิงไว้ให้อยู่ในตระกูลเรา”
“อืม”
“แต่เฉินเอ๋อร์…”
นายหญิงผู้เฒ่าเอ่ยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ไม่ใช่ยังมีหลางเอ๋อร์หรือ”
รองเจ้ากรมต้วนม่านตาหดเกร็ง ไม่นานก็กลับคืนเป็นปกติ “ท่านแม่มองการณ์ได้รอบคอบแท้”
ครั้งนี้หลังบ่นกับนายหญิงผู้เฒ่าเสร็จ ในใจรองเจ้ากรมต้วนก็ยิ่งร้อนใจ
สมบัติหลานสาวเหล่านั้นล้วนเป็นสินออกเรือนของนาง หากแต่งกับหลานชายก็ไม่เป็นของส่วนกลาง สุดท้ายก็ให้บ้านรองได้ไปครองเสียอย่างนั้น เป็นเรื่องที่เขายอมไม่ได้อย่างเด็ดขาด
ถึงตอนนี้ ความคิดสังหารหลานสาวของรองเจ้ากรมต้วนก็ไม่มีทางสั่นคลอนอีกแล้ว รอเพียงโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น
องค์หญิงใหญ่เจาหยางได้ยินข่าวลือเรื่องไต้เจ๋อไปท้าประลองสุรากับคุณหนูโค่ว ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่าเจ้าเสเพลนั่นไปหาเรื่องนางเพราะเรื่องของชิ่งอ๋อง
ในงานเลี้ยงวันเกิดนาง ชิ่งอ๋องมาหาเรื่องคุณหนูโค่ว องค์หญิงใหญ่ไม่พอพระทัยมาก เพียงแต่ชิ่งอ๋องเป็นตัวเลือกที่เสด็จพี่ฮ่องเต้หมายให้ดำรงตำแหน่งรัชทายาท หากเสด็จพี่ยังอยู่ ก็ยังไม่ต้องเป็นห่วงอันใด แต่พอคิดถึงวันหน้า อย่างไรก็ต้องคิดถึงบุตรชายหญิงของนาง จึงได้แต่อดทนไว้
คิดไม่ถึงว่านางยอมอดทนอดกลั้น แต่ชิ่งอ๋องกลับไม่ยอมเลิกรา
เรื่องนี้ไหนเลยเป็นการหาเรื่องคุณหนูโค่ว เห็นชัดว่าไม่เห็นเสด็จอาเช่นนางอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
องค์หญิงใหญ่เจาหยางนั่งรถม้าเข้าวังไปทูลฟ้องทันที
ใกล้จะเดือนสิบสองแล้ว การเตรียมงานต่างๆ ก็เริ่มวุ่นวายขึ้น ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้เพิ่งจัดการราชกิจเสร็จส่วนหนึ่ง ก็ได้ยินขันทีรายงานว่าองค์หญิงใหญ่เจาหยางขอเข้าเฝ้า
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ให้ความใส่พระทัยต่อน้องสาวเพียงคนเดียวอย่างมาก ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าไม่พอพระทัยที่ถูกรบกวน แต่ยังรู้สึกว่าได้เวลาพักสักครู่พอดี
“น้องพี่เข้าวังมายามนี้ มีธุระอันใดหรือ”
“ไม่ได้มาเข้าเฝ้าเสด็จพี่หลายวันแล้ว มาเยี่ยมเยือนเสด็จพี่สักหน่อย”
วันคล้ายวันพระราชสมภพองค์หญิงใหญ่เจาหยางย่อมได้รับพระราชทานจากฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ไม่น้อย แต่ไม่อาจร่วมงานได้ นี่คือข้อจำกัดของราชนิกุล
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ฟังสีพระพักตร์ก็เต็มไปด้วยรอยแย้มสรวล ตรัสถามไปถึงเรื่องงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์หญิงใหญ่
งานวันคล้ายวันพระราชสมภพผ่านไปไม่นาน ประเด็นที่จะคุยเป็นไปดังคาดขององค์หญิงใหญ่เจา หยาง ขณะที่ยิ้มเล่าถึงงานเลี้ยงวันเกิดนางอยู่ก็พลันขมวดคิ้ว
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้กำลังสนพระทัยรับฟังอยู่ พอเห็นองค์หญิงใหญ่เจาหยางเช่นนี้ก็รีบตรัสถามขึ้นว่า “น้องพี่เป็นอันใดไปหรือ”
“แต่มีเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น ตอนนี้แพร่กันในหมู่ราษฎร ไม่รู้เสด็จพี่ทรงเคยได้ยินมาบ้างไหมเพคะ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้มองมหาขันทีซุนเหยียนทีหนึ่ง
ซุนเหยียนก้มกายเล็กน้อย เงียบงันไม่ทูลอันใด
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ย่อมไม่คาดหวังว่าขันทีที่ทำงานแต่ในวังจะรู้เรื่องภายนอก ส่ายพระพักตร์ตรัสว่า “น้องพี่เล่ามา เกิดเรื่องอันใดขึ้น ถึงกับแพร่ออกไปภายนอกได้”
เขาเข้าใจว่าน้องสาวไม่ใช่คนชอบงานยิ่งใหญ่ เกรงว่างานวันคล้ายวันพระราชสมภพสี่สิบพรรษานี้น่าจะเชิญคนไม่มาก ยังแพร่ออกไปได้เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดา
“ต่อมาน้องได้ยินว่าอี้เอ๋อร์ไปคารวะสุราคุณหนูโค่ว ดื่มติดต่อกันไปไม่น้อย จนล้มพับไปก่อน…”
ชิ่งอ๋องนามว่าอี้ เฉินอี้ก็คือชื่อจริงของเขา
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ทรงได้ฟังก็ขมวดพระขนง “คุณหนูโค่วที่ช่วยฝูเอ๋อร์ในวันเทศกาลฉงหยางวันนั้น?”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางพยักหน้า “เพคะ เสด็จพี่ก็รู้ว่าข้าไม่ชอบวุ่นวาย งานวันเกิดข้าเชิญคนไม่มาก แต่คุณหนูโค่วมีบุญคุณช่วยชีวิตฝูเอ๋อร์ไว้ หากไม่เชิญ ผู้คนก็จะหัวเราะเยาะพวกเราว่าไม่รู้คุณ”
“น้องพี่ทำถูกต้องแล้ว…” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ชะงัก สีพระพักตร์ย่ำแย่ขึ้นมาทันที
ชิ่งอ๋องไปหาเรื่องท้าประลองสุรากับหญิงสาวในงานเลี้ยงเป็นเรื่องเหลวไหลจริง ปรากฏยังดื่มแพ้หญิงสาว ช่างน่าขายหน้าเสียจริง!
“หนุ่มสาวดื่มมากสักจอกสองจอก ทำตามอำเภอใจไปบ้างก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องอันใด แต่คิดไม่ถึงว่ายังมีเรื่องต่อจากนั้น”
“เรื่องต่อจากนั้น?” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ตรัสถามทันที
“ซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อได้ยินเรื่องอี้เอ๋อร์ประลองสุรากับคุณหนูโค่ว ก็ไม่รู้ว่าอยากรู้หรืออย่างไร ถึงกับวิ่งไปขอท้าประลองสุรากับคุณหนูโค่ว…”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้ได้ยินองค์หญิงใหญ่เจาหยางเอ่ยถึงไต้เจ๋อก็ขมวดพระขนงแน่น
เจ้าเด็กนี่อีกแล้ว!
องค์หญิงใหญ่เจาหยางมาฟ้องไต้เจ๋อเป็นเพียงข้ออ้าง แต่ตั้งใจฟ้องชิ่งอ๋องมากกว่า แต่ก็ไม่อาจชี้ไปที่ชิ่งอ๋องได้โดยตรง “งานวันเกิดน้อง น้องเชิญคุณหนูโค่วมาก็เพื่อแสดงการขอบคุณ คิดไม่ถึงกลับเป็นการหาเรื่องให้นางเดือดร้อน ไม่แน่ว่าซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อไม่พอใจน้องในวันเทศกาลฉงหยาง จึงวิ่งไปหาเรื่องคุณหนูโค่วก็เป็นได้”
“เจ้าตัวบัดซบ” ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้สบถด่า ปลอบน้องสาว “น้องพี่อย่าได้โมโห ไว้พี่จะให้กู้ชางป๋อจัดการกำราบเจ้าเด็กนั่นให้ดี”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางสีหน้าบึ้งตึง “บุตรไม่อบรม เป็นความผิดบิดา[1] กู้ชางป๋อตามใจบุตรชายมากไปแล้วจริงๆ”
ฮ่องเต้ซิงหยวนตี้พยักพระพักตร์ พระเนตรวูบไหว
ไต้เจ๋อสมควรโดนด่า แต่บุตรชายรองเขาก็ไม่ได้ความจริง เขาผู้เป็นบิดาคงต้องจัดการกำราบสักที
องค์หญิงใหญ่เจาหยางรู้สึกได้ถึงสีหน้าแปรเปลี่ยนของพี่ชายแล้วก็แอบพึงพอใจ ดังนั้นจึงเอ่ยอำลา
“น้องพี่ เดี๋ยวก่อน”
องค์หญิงใหญ่เจาหยางหยุดฝีเท้าลง
“แค็กๆ ซื่อจื่อจวนกู้ชางป๋อไปประลองสุรากับคุณหนูโค่ว ผลเป็นเช่นไร”
[1] สองวรรคในคัมภีร์สามอักษร