บทที่ 369 ผมคือเบื้องหลัง
เรื่องที่สวีเสี่ยวเฉียนได้เป็นผู้รับผิดชอบทีมกู้ภัยฉุกเฉินทำให้ไป๋เยี่ยมีความสุขที่ได้มีเวลาว่างมาก แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นคำสัญญาของเขา โรงพยาบาล 903 ทำเงินได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ได้ก็ต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากเฉินเจิ้นปั่ง ดังนั้นไป๋เยี่ยจึงต้องพยายามทำสิ่งที่ตนควรทำให้เต็มที่ด้วย
หลังจากกลับมาแล้ว ไป๋เยี่ยก็ได้สรุปความรู้ที่เขาจะสอนทุกคนอย่างเป็นแบบแผน เนื้อหาไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เพราะว่าเขามีเวลาไม่มากนัก เพียงแค่ห้าสิบวันเท่านั้น ไป๋เยี่ยจึงมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญและอธิบายถึงวิธีการช่วยชีวิตในเชิงปฏิบัติมากกว่า
ทหารส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บจากบาดแผลกระสุนปืน บาดแผลจากการกระแทกและกระดูกหัก ไป๋เยี่ยจึงพยายามจำกัดเนื้อหาให้กระชับและเลือกเป้าหมายให้ชัดเจน
ในวันที่สาม สวีเสี่ยวเฉียนก็มาหาไป๋เยี่ยอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ทัศนคติของเขาดูจะเปลี่ยนไปค่อนข้างมาก
“เสี่ยวเยี่ย ฮ่าๆ ไม่รังเกียจถ้าผมจะเรียกคุณแบบนี้ใช่ไหม” สวีเสี่ยวเฉียนมองไป๋เยี่ยยิ้มๆ เมื่อเห็นว่าไป๋เยี่ยไม่มีแผนการอะไร เขาก็พูดต่อทันที “สองวันมานี้ผมเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ ผมคิดว่าถึงแม้การฝึกครั้งนี้จะแตกต่างออกไปจากที่อื่น แต่เราก็ต้องมีการอบรมอย่างเปิดเผยด้วย ผมเลยคิดว่าเราน่าจะมาทำแผนการสอนและทำเป็นหนังสือให้คนที่จะมาฝึก หนังสือที่ว่านั่นก็คือสิ่งที่เราจะสอนนั่นแหละ คุณคิดว่าไงบ้าง”
สิ่งที่สวีเสี่ยวเฉียนพูดฟังดูสมเหตุสมผล ไป๋เยี่ยจึงไม่คัดค้าน เขาได้เป็นถึงผู้รับผิดชอบทีมฝึก ดูแล้วก็คงเป็นคนมีความสามารถพอสมควร ถึงคิดอะไรได้มากเช่นนี้
ซึ่งไป๋เยี่ยก็กำลังเตรียมสิ่งเหล่านี้อยู่ เขาจึงพยักหน้า
เมื่อสวีเสี่ยวเฉียนเห็นว่าไป๋เยี่ยตกลงก็เบิกตากว้างพลางกระตุกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “ตอนนี้ในจีนไม่มีแผนการสอนความรู้ด้านการแพทย์ฉุกเฉินที่ดีเลย ที่ใช้ๆ กันมาก็เป็นของต่างประเทศทั้งนั้น ถ้าเราเขียนหนังสือขึ้นมาเอง มันก็จะมีประโยชน์ต่อการพัฒนาทีมกู้ภัยของเราในอนาคต”
“ยิ่งกว่านั้น ถ้าคุณลองคิดดูดีๆ พวกเราก็มีพื้นเพความรู้ด้านการแพทย์ทั้งนั้น ถ้าเราต่อยอดจากการฝึกทหารครั้งนี้และใช้ประโยชน์มันในการพัฒนาองค์ความรู้ได้ มันจะต้องเป็นโอกาสหายากที่จะพัฒนาการแพทย์ฉุกเฉินในประเทศของเราแน่ๆ ประโยชน์ของมันเยอะชนิดที่ไม่มีที่สิ้นสุดเลย!”
สวีเสี่ยวเฉียนพูดแล้วก็ยิ่งเบิกตากว้าง เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มก่อนจะเอ่ยอย่างคาดหวัง “เพราะฉะนั้นนะ เสี่ยวเยี่ย สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ไม่ใช่เรื่องเล็ก แต่เป็นเรื่องสำคัญที่จะมีผลในระยะยาว”
ถึงแม้ว่าตระกูลสวี่จะไม่ใช่ตระกูลที่มีชื่อเสียง แต่ก็ยังคงมีหน้ามีตาในสังคมปักกิ่ง ผู้เฒ่าของตระกูลสวี่ ‘สวี่เจี้ยนกว๋อ‘ เป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมาตั้งแต่ยุคสร้างชาติ เขาเป็นคนขอให้ปู่ของสวีเสี่ยวเฉียนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ หลังจากเรียนจบก็กลับมาทำงานในพรรคการเมือง ทว่าตอนที่สวีเจี้ยนกว๋อทำธุรกิจส่งออก เขากลับถูกทหารญี่ปุ่นจับกุมและยึดสินค้าไว้ทั้งหมด
ตระกูลสวี่นั้นร่ำรวยจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรือบรรทุกสินค้าไปจนถึงชีวิตของลูกเรือ แต่ถึงกระนั้นบนเรือก็มีทรัพยากรที่กองทัพต้องการอยู่มาก ทหารญี่ปุ่นจึงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกันใหญ่
ต้องรู้ว่าในช่วงสงคราม การค้าขายในประเทศนับเป็นเรื่องต้องห้าม นับประสาอะไรกับทรัพยากรทางการทหาร กองทัพมองว่าผู้ใดก็ตามที่ทำให้คนในประเทศมีกำลังซื้อปืนและกระสุน ย่อมไม่เอื้อต่อแผนการของรัฐทั้งนั้น
ดังนั้นตระกูลสวี่เก่าจึงถูกประหารทั้งโคตร ชีวิตคนกว่าเจ็ดสิบแปดสิบคนถูกโยนลงทะเลอย่างไม่ไยดี ส่วนทรัพยากรเหล่านั้นก็ถูกยึดไว้
หลังจากที่ปู่ของสวีเสี่ยวเฉียนทราบข่าว เขาก็มาเข้าร่วมสงครามทันที ในยุคสมัยนั้น การได้เข้าร่วมกองทัพคือการแข่งขันที่ไร้คู่แข่งของตระกูลสวี่
ต้องการเงินก็มีให้ ต้องการคนก็มีให้ ทั้งยังมีมรดกตกทอด ดังนั้นปู่ของสวีเสี่ยวเฉียนจึงได้รับการต้อนรับโดยพรรคการเมืองหลายพรรค
แต่ถึงกระนั้น ปู่ของสวีเสี่ยวเฉียนก็ไม่ยอมให้ลูกชายเข้าสู่วงการการเมือง แต่กลับส่งลูกชายไปเรียนแพทย์ที่ต่างประเทศแทน
หลังจากที่ปู่ของสวีเสี่ยวเฉียนจากไป ว่ากันว่าตระกูลสวี่ก็มีผู้คนไปมาหาสู่อยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้ตระกูลสวี่มีชื่อเสียงในปักกิ่ง
คนภายนอกต่างบอกกันว่าตระกูลสวี่แต่ละรุ่นแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม สวีเสี่ยวเฉียนก็เข้าใจดีกว่า ถ้าเขาต้องการจะก้าวไปข้างหน้า เขาจะต้องพึ่งพาตนเอง ดังนั้นเขาจึงคว้าโอกาสในการจัดตั้งทีมกู้ภัยฉุกเฉินนี้ไว้ และขอให้ทั้งครอบครัวช่วยเขา
เขารู้สึกว่าการก้าวไปข้างหน้าในอนาคตคงเป็นเรื่องยาก ครอบครัวของเขาจะส่งได้ไกลเพียงใดก็ไม่อาจทราบ สุดท้ายแล้วคนที่เป็นเสาหลักของครอบครัวก็คือพี่ชาย
อย่างไรก็ตาม โอกาสย่อมขึ้นอยู่กับตัวเราเอง สวีเสี่ยวเฉียนคิดว่าตนไม่ได้ด้อยไปกว่าพี่ชาย เพียงแค่เกิดช้ากว่าเท่านั้น
หลังจากใช้เวลาพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว สวีเสี่ยวเฉียนก็คิดวิธีช่วยประเทศชาติได้
ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังปลดแอกประชาชน แพทย์ภาคสนาม หรือนักวิจัยในกองทัพพึ่งพาอะไรในการเลื่อนตำแหน่งล่ะ ก็ต้องเป็นผลงานอยู่แล้ว!
สวีเสี่ยวเฉียนเชื่อว่าทักษะทางวิชาชีพของเขาแข็งแกร่งพอ ไม่เช่นนั้นต่อให้เขาจะมีครอบครัวหนุนหลัง เขาก็คงไม่ได้เป็นถึงหัวหน้าแผนกฉุกเฉินของโรงพยาบาลทหารหรอก
สวีเสี่ยวเฉียนคิดเรื่องนี้แล้วก็เริ่มดำเนินการเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง ถึงแม้เขาจะไม่ได้รู้จักไป๋เยี่ยมากนัก แต่ถ้าเข้าตาเฉินเจิ้นปั่งแบบนี้ ก็คงไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่ได้สืบมาหลายครั้ง เขาก็พบว่าไป๋เยี่ยไม่มีภูมิหลังอะไรเลย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถึงศักยภาพที่แท้จริงของบุคคลนี้
ดังนั้น จุดประสงค์หลักของเขาในวันนี้ก็คือการปล่อยให้ไป๋เยี่ยคายความรู้ออกมาให้หมด
ถ้าเขียนเป็นหนังสือได้ก็คงดี แล้วชื่อบรรณาธิการก็คงเป็นชื่อของสวีเสี่ยวเฉียน รองบรรณาธิการจะเป็นใครย่อมไม่สำคัญ
ถ้าเขามีความอดทนมากพอ สวีเสี่ยวเฉียนคิดว่าเขาคงร่วมมือกับไป๋เยี่ยได้ ขอเพียงแค่เขาไม่ถูกแย่งแสงไปและกอบโกยผลประโยชน์มาสู่ตนเองได้ แล้วทำไมจะร่วมมือไม่ได้ล่ะ
เป็นผู้ชนะเลิศรางวัลผลงานดีเด่นของสาขาทวารหนักแล้วอย่างไร
สวีเสี่ยวเฉียนรอคอยมานานแล้ว ไป๋เยี่ยจะมอบโพยแบบไหนที่ทำให้เขาพอใจได้กันนะ
แน่นอนว่าที่เขาไม่รู้ถึงภูมิหลังของไป๋เยี่ย ก็เป็นเพราะว่ากว่าไป๋เยี่ยจะเดินมาถึงวันนี้ได้ ตัวเขานั่นเองที่เป็นภูมิหลังของทุกสิ่ง!