ตอนที่ 459 เหล่าอู๋เสียอาการเมื่อเจอสาวสวย
ตอนที่ 459 เหล่าอู๋เสียอาการเมื่อเจอสาวสวย
เซี่ยอวี่เดินออกจากร้านตัดผมทั้งที่สวมใส่รองเท้าส้นสูง
หลินเซี่ยกลัวเหลือเกินว่าหล่อนจะทำให้เถ้าแก่อู๋กลัว แต่เธอมีงานต้องทำ ไม่สามารถทิ้งลูกค้าไว้ข้างหลังได้
เธอจึงขอให้หู่จือเฝ้าเป็นหูเป็นตาอยู่ที่ประตูร้านตัดผม ถ้าเถ้าแก่อู๋ออกมาเมื่อใด เขาต้องรีบรายงานเธอให้ทันเวลา
เมื่อเซี่ยอวี่มาถึงประตูร้าน ก็เห็นว่าชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเรียบง่ายนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพี่ชายคนโต อาจเป็นเพราะรังสีของพี่ใหญ่ดูน่าเกรงขามเกินไป ชายคนนั้นจึงหดตัวลีบเล็ก ใบหน้าแสดงรอยยิ้มไร้เดียงสา
หล่อนถามเซี่ยเหลย “พี่ใหญ่ นี่คงเป็นเถ้าแก่อู๋ใช่ไหมคะ?”
อู๋เซิ่งหงได้ยินเสียงอันไพเราะของหญิงสาว จึงเงยหน้าขึ้นและมองไปทางประตูร้าน
เมื่อมองเห็นหญิงสาวร่างสูงที่มีใบหน้างดงามละเอียดอ่อน ทั้งยังมีความสง่างามน่ากริ่งเกรง ดวงตาของเขาจึงเบิกโพลงทันที
ราวกับเขามองเห็นภาพหลอน
เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวยอย่างกับดาราภาพยนตร์เดินเข้ามาหาเขาอย่างช้า ๆ
เซี่ยเหลยพูดกับหล่อนว่า “ใช่ นี่แหละเถ้าแก่อู๋ งานของเซี่ยเซี่ยยังไม่เสร็จอีกเหรอ?”
เซี่ยอวี่ตอบกลับ “หล่อนติดคิวตัดผมให้ลูกค้า สักพักเดี๋ยวก็ตามมาค่ะ”
เซี่ยอวี่มองไปยังสายตาตะลึงลานว่างเปล่าของชายคนนั้นเมื่อเขาเห็นตน ก่อนส่งยิ้มหวานให้ และนั่งลงข้างเขา
โอ้ ดูติดดินจริง ๆ ด้วย
หล่อนยื่นมือเรียวสวยออกไปหาเถ้าแก่อู๋
“สวัสดีค่ะ เถ้าแก่อู๋ ฉันชื่อเซี่ยอวี่ เป็นอาของหลินเซี่ย ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ”
เถ้าแก่อู๋ยื่นมือออกไปจับกับหล่อนด้วยความประหม่าอย่างยิ่ง แม้แต่เสียงก็สั่นเพราะทำตัวไม่ถูก “สวัสดีครับ สวัสดีครับ”
ดวงตาของเขาสบกับสายตาของเซี่ยอวี่โดยบังเอิญ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็แดงเถือกลามไปถึงต้นคอ
เขารีบชักมือกลับ แล้วยกขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก
เซี่ยอวี่ไม่ยอมปล่อยเขาไปง่าย ๆ จ้องมองเขาแล้วถามว่า “เถ้าแก่อู๋เขินเหรอคะ?”
“เปล่า เปล่า ไม่ได้เขินครับ ไม่ได้เขิน”
อู๋เซิ่งหงในขณะนี้เหมือนเด็กหนุ่มที่เพิ่งตกหลุมรักเป็นครั้งแรก เขาไม่กล้าเงยหน้าขึ้นสบตาเซี่ยอวี่ ขยับตัวถอยห่างจากหล่อนโดยไม่รู้ตัว
เซี่ยอวี่ยิ้มและพูดว่า “เถ้าแก่อู๋ต้องเขินแน่ ๆ เลยค่ะ ไม่งั้นทำไมคุณเอาแต่หลบตาฉันล่ะ?”
อู๋เซิ่งหงอธิบายอย่างไม่สบายใจ “ผมเปล่าเขินครับ ผมแค่คิดว่าคุณหน้าเหมือนดาราหนังคนหนึ่ง”
หลังจากที่อู๋เซิ่งหงพูดจบ เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าตอนที่สาวสวยคนนี้แนะนำตัวเอง หล่อนบอกว่าหล่อนชื่อเซี่ยอวี่
นอกจากจะหน้าคล้ายกับดาราภาพยนตร์แล้ว ชื่อยังเหมือนกันอีกด้วย
หรือว่าพวกหล่อนเป็นคนคนเดียวกัน?
ทันทีที่ตระหนักถึงความจริงนั้น การแสดงออกของอู๋เซิ่งหงก็เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ มองไปที่เซี่ยอวี่ราวกับจะยืนยันการคาดเดาของตัวเอง
เซี่ยอวี่ยิ้มโปรยเสน่ห์ให้เขาอีกครั้ง อู๋เซิ่งหงจึงก้มหน้างุดอย่างรวดเร็ว
เมื่อตระหนักว่าตัวเองเสียอาการอย่างควบคุมไม่ได้แล้ว จึงหยิบแก้วน้ำบนโต๊ะขึ้นจิบ
“เถ้าแก่อู๋คิดว่าฉันหน้าเหมือนดาราคนไหนเหรอคะ?”
“เหมือนนางเอกที่แสดงเรื่องตำนานวีรสตรีน่ะครับ”
เซี่ยอวี่ไม่คาดคิดว่าเขาจะเคยดูภาพยนตร์ที่หล่อนแสดงจริง ๆ จึงพยักหน้ารับ “ใช่ค่ะ ฉันแสดงเอง”
“โอ สวัสดีครับ สวัสดี ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับ”
อู๋เซิ่งหงทักทายหล่อนอย่างสุภาพและเป็นทางการอีกครั้ง แต่สายตาของเขายิ่งไม่กล้ามองเซี่ยอวี่เข้าไปใหญ่
น่าเสียดายที่เซี่ยอวี่นั่งอยู่ใกล้เขามาก ยังไม่วายจ้องมองตรงไปที่เขา
เซี่ยเหลยกระแอมไอเบา ๆ ด้วยใบหน้ามืดมน พยายามเตือนเซี่ยอวี่ แต่เซี่ยอวี่กลับเพิกเฉยต่อเขา
หล่อนนั่งอยู่ข้างเถ้าแก่อู๋แล้วพยายามชวนเขาคุยต่อไป
อู๋เซิ่งหงยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า ถามเซี่ยเหลย “พี่ใหญ่เซี่ยครับ คือว่า… แถวนี้มีห้องน้ำหรือเปล่า?”
“เดี๋ยวผมพาคุณไปเอง”
เซี่ยเหลยยืนขึ้น จ้องเขม็งมองเซี่ยอวี่เพื่อตำหนิการกระทำของหล่อนอีกครั้ง จากนั้นจึงพาเขาออกไปเข้าห้องน้ำด้านนอกร้าน
หลินเซี่ยเดินจูงมือหู่จือเข้ามา เห็นเซี่ยอวี่นั่งอยู่ที่นั่นคนเดียว ฮัมเพลงในลำคอและแทะเมล็ดแตงโมไปด้วย พอไม่เห็นอู๋เซิ่งหงเธอก็ตกใจอีกครั้ง
เธอรีบถามว่า “อาคะ เถ้าแก่อู๋ไปไหนแล้ว?”
“พ่อเธอพาเขาออกไปห้องน้ำโน่น” เซี่ยอวี่พูดกับหลินเซี่ย “ฉันลองทดสอบเขาแล้ว ดูเหมือนผู้ชายคนนี้จะเป็นคนมีจิตใจซื่อสัตย์จริง ๆ คงเป็นนักธุรกิจที่เชื่อถือได้อย่างที่เธอว่า”
อีกอย่าง เขาเคยดูหนังที่หล่อนแสดงด้วย สิ่งนี้ทำให้หล่อนประหลาดใจมาก
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าโครงการที่เขาพัฒนาอยู่ในเชินเฉิง ทุกอย่างก็นับว่าสมเหตุสมผล
ถึงยังไงภาพยนตร์ของหล่อนก็ได้รับความนิยมอย่างมากในเชินเฉิง
หลินเซี่ยมองไปยังสาวสวยทรงเสน่ห์ที่อยู่ตรงหน้า ชนิดที่ว่าแม้แต่ผู้หญิงคนหนึ่งยังต้านทานไม่ได้ จากนั้นก็โค้งคำนับเซี่ยอวี่และขอร้องว่า “คุณอา ช่วยหยุดโปรยเสน่ห์ใส่เขาสักทีเถอะค่ะ ไม่มีผู้ชายคนใดที่ใจแข็งพอจะสงบสติอารมณ์และรวบรวมสติตอนอยู่ต่อหน้าคุณได้หรอกนะ ฉันเห็นแล้วว่าเถ้าแก่อู๋เสียอาการแทบแย่เมื่อเขาเจอคุณ เขาจะร่วมโต๊ะอาหารกับเราอย่างสบายใจได้ยังไงถ้าคุณยังเล่นหูเล่นตาแกล้งเขาอีก?”
แม้แต่หนุ่มวัยดึกอย่างเฉินเจิ้นเจียงยังถึงกับตาค้างเมื่อได้เห็นตัวจริงของเซี่ยอวี่
อาการเหล่านั้นไม่ใช่เพราะพวกเขาคิดไม่ซื่ออยู่ในใจ เหตุผลหลักเป็นเพราะตัวละครในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ที่เซี่ยอวี่รับบทนั้นโดดเด่นเกินไป
วีรสตรีสวมชุดแดงซึ่งโลดแล่นอยู่ในหนังแนวกำลังภายในที่หล่อนแสดง ถือเป็นหญิงสาวในฝันของผู้ชายหลายคน
ดังนั้น เมื่อหล่อนมาปรากฏตัวตรงหน้าผู้ชายเหล่านั้นในชีวิตจริง เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตกใจและเหลือเชื่อ ยิ่งเป็นเรื่องง่ายสำหรับพวกเขาที่จะเสียอาการ
เถ้าแก่อู๋ซึ่งเป็นลุงวัยกลางคนที่มีนิสัยซื่อสัตย์และเรียบง่าย แน่นอนว่าไม่สามารถต้านทานเสน่ห์ของดาราสาวสวยที่พยายามเกี้ยวพาราสี
นี่ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมในการทดสอบใจคน
ถ้ามีคนไปทำให้เขากลัว เขาจะยังอยากร่วมมือทางธุรกิจกับเธออยู่ไหม?
เซี่ยอวี่แทะเมล็ดแตงโมด้วยสีหน้าไม่แยแส มองไปที่หลินเซี่ย พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “เซี่ยเซี่ย พูดแบบนี้หมายความว่าไง? กำลังจะบอกว่าเสน่ห์ของฉันร้ายกาจมากใช่ไหมล่ะ? แต่ฉันควบคุมมันได้ซะที่ไหนกัน?”
“อีกอย่าง ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเถ้าแก่อู๋ถึงได้ตัวสั่นไปทั้งตัวเวลาฉันพยายามสบตา?”
หลินเซี่ยคันปากอยากตอบว่าเพราะเถ้าแก่อู๋พยายามคุมตัวเองไม่ให้ช็อกตายไงล่ะ!
คุณแม่เซี่ยที่อยู่ในครัวทนดูการลอยหน้าลอยตาของลูกสาวไม่ไหวอีกต่อไป เธอเดินออกไปและพูดกับเซี่ยอวี่ว่า “เดี๋ยวแม่จะบอกให้พี่สะใภ้ทำบะหมี่ให้ลูกสักชาม พอกินเสร็จก็ออกไปโรงพยาบาล เอาข้าวปลาไปส่งให้เย่ไป๋ด้วย”
เมื่อเซี่ยอวี่ได้ยินแม่ชราของตนพยายามผลักไสให้หล่อนไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง หล่อนก็ปฏิเสธโดยไม่ลังเล “แม่ ไม่ต้องเอาข้าวไปส่งเขาหรอก เย่ไป๋กินอาหารที่โรงพยาบาลจัดให้เองได้ ตอนนี้เขาดีขึ้นมากแล้ว ตอนเย็นยิ่งดึกก็ยิ่งมืด ออกไปข้างนอกไม่ปลอดภัย”
คุณแม่เซี่ยบอกว่า “แม่คุยกับจินซานแล้วว่าจะให้เขาไปส่ง”
เมื่อหลิวกุ้ยอิงเห็นว่าหลินเซี่ยมาที่ร้านแล้ว จึงบอกให้เธอเข้าไปในครัวเพื่อดูกับข้าวที่หล่อนทำ ถ้ามีอะไรขาดเหลือจะได้หาอย่างอื่นมาชดเชย
หลินเซี่ยสะดุ้งทันทีที่เธอเดินเข้าไปในครัว
แม่ของเธอเตรียมกับข้าวไว้แปดจาน รวมถึงบะหมี่และแกงแป้งข้น(1)
“แม่ ทำกับข้าวหลายอย่างเกินไปหรือเปล่าคะ? เถ้าแก่อู๋ต้องบ่นแน่ ๆ ถ้าเห็นว่ามื้อนี้สิ้นเปลืองอีกแล้ว”
“แปดจานไม่ถือว่ามากเกินไป จะร่วมมือทำธุรกิจด้วยกันก็ต้องถือเรื่องโชคไว้ก่อน เลขแปดพ้องเสียงกับคำว่าพุ่ง* ถือเป็นคำมงคล”
(*八bā = 8 กับ 发fā = พุ่ง)
หลิวกุ้ยอิงรอบคอบมากในทุก ๆ ด้าน หลินเซี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ เป็นเคล็ดที่ดีมากเลยค่ะ ความดีความชอบของแม่ครั้งนี้ฉันจะไม่มีวันลืมเลย ฉันสัญญาว่าวันข้างหน้าจะหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เพื่อให้แม่กับพ่อมีชีวิตที่ดี”
“จ้ะ แม่ยกออกไปก่อนนะ”
หลิวกุ้ยอิงเพิ่งยกจานอาหารออกมาเสิร์ฟได้ไม่นาน เซี่ยเหลยก็พาอู๋เซิ่งหงกลับมา
หลินเซี่ยรีบขอโทษ “เถ้าแก่อู๋ ต้องขอโทษด้วยนะคะ เมื่อกี้นี้มีลูกค้ามาใช้บริการที่ร้าน คุณเลยต้องรอฉันนานเลย”
เมื่อเห็นหลินเซี่ยกลับมาแล้ว อู๋เซิ่งหงก็โล่งใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผมเพิ่งมาถึงไม่นานนี้เอง”
“มา มานั่งกินข้าวด้วยกันเถอะค่ะ”
อู๋เซิงหงมองไปยังอาหารมากมายที่เรียงรายบนโต๊ะใหญ่ ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้ว “เสี่ยวหลิน ร้านของคุณไม่ใช่ร้านขายบะหมี่ธรรมดาหรอกเหรอ? ผมแค่อยากกินอะไรง่าย ๆ ทำไมมีหลายจานขนาดนี้? มันสิ้นเปลืองกินไป”
หลินเซี่ยรู้ว่าอู๋เซิ่งหงต้องตอบสนองแบบนี้ เธอชี้ไปที่แกงแป้งข้นแล้วพูดว่า “เถ้าแก่อู๋ บนโต๊ะก็มีบะหมี่นะคะ ส่วนชามนั้นเป็นแกงแป้งข้นฝีมือแม่ฉันเอง”
เมื่ออู๋เซิ่งหงได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นทันที “โอ้ นี่มันของอร่อยขึ้นชื่อประจำบ้านเกิดของผมนี่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าแม่คุณจะทำเป็นด้วย”
หลังจากพูดอย่างนั้น อู๋เซิ่งหงก็มองไปที่หลิวกุ้ยอิง “ดูสมองผมซิ เสี่ยวหลินบอกว่าคุณเองก็มาจากเทศมณฑลซีเหอเหมือนกันใช่ไหมครับ?”
หลิวกุ้ยอิงตอบกลับ “ใช่ค่ะ บ้านเกิดของฉันอยู่ที่เทศมณฑลซีเหอ”
อู๋เซิ่งหงจึงเปลี่ยนมาพูดสำเนียงบ้านเกิดของเธอทันที “ผมมาจากตำบลหยางชวนครับ คุณล่ะ?”
หลิวกุ้ยอิงตอบ “บ้านเกิดของฉันก็อยู่ที่ตำบลหยางชวนเหมือนกันค่ะ”
หลินเซี่ยและเซี่ยเหลยมองไปที่อู๋เซิ่งหงแล้วหันไปมองหลิวกุ้ยอิงด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ไม่คาดคิดว่าพวกเขาจะกลายมาเป็นคนบ้านเดียวกัน
ค่ายทหารของเซี่ยเหลยก็ตั้งอยู่ในเขตตำบลหยางชวนเช่นกัน ถึงแม้จะฟื้นความทรงจำกลับมาได้แล้ว แต่ภาพมากมายเกี่ยวกับสถานที่นั้นก็ยังพร่ามัวอยู่ ถึงอย่างนั้นเขาก็มองไปที่อู๋เซิ่งหงอย่างใจดี
ท้ายที่สุดที่นั่นก็เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย หลิวกุ้ยอิงก็เป็นชาวบ้านที่นั่น เขาจึงให้ความสำคัญกับคนที่มาจากถิ่นฐานเดียวกับเธอ
พอหลิวกุ้ยอิงได้ยินอู๋เซิ่งหงบอกว่าเขามาจากตำบลหยางชวนเมือง ระลอกคลื่นก็ปั่นป่วนอยู่ภายในใจที่เคยสงบนิ่งของหล่อน
ความทรงจำที่เต็มไปด้วยฝุ่นละอองมากมายพลอยถูกรื้อฟื้นตามไปด้วย
ร่วมยี่สิบเอ็ดปีแล้วที่หล่อนออกมาจากสถานที่ที่เคยเรียกว่าบ้าน
ตลอดยี่สิบเอ็ดปีที่ผ่านมา หล่อนไม่เคยคิดจะกลับไปที่นั่นอีกเลย และหล่อนก็ไม่เคยได้ยินข่าวคราวใด ๆ ที่เกี่ยวกับครอบครัวเดิมของตนอีก
อดรู้สึกไม่ได้ว่าชีวิตสมัยที่ยังอยู่ร่วมบ้านกับพ่อแม่เหมือนผ่านมาเกือบทั้งชีวิตแล้ว
ตอนที่หล่อนจากไปในปีนั้น พ่อและพี่ชายคนโตต่างบอกว่านับจากนี้ไปพวกเขาจะปฏิบัติต่อลูกสาวอย่างหล่อนราวกับตายจากไปแล้ว ทั้งยังออกคำสั่งไม่ให้หล่อนกลับมาอีก
หล่อนรู้ดีว่าตัวเองทำให้พวกเขาอับอาย ดังนั้นแม้ว่าในภายหลังหลินต้าฝูจะเสนอว่าเขาอยากพาหล่อนกลับไปเยี่ยมเยียนครอบครัว แต่เป็นหล่อนเสียเองที่ไม่กล้าพอ
หล่อนโดนจับขังอยู่ในห้องแคบ ๆ มืด ๆ แถมพวกเขายังบีบบังคับให้หล่อนกระโดดสุดแรงเพื่อให้เด็กหลุดออกจากท้อง ให้หล่อนอยู่แบบอดอยาก หวังให้หล่อนหิวโหยและขาดสารอาหารจนตาย
ความทรงจำเหล่านั้นเจ็บปวดเกินรับไหว จนหล่อนไม่กล้ากลับไปที่นั่นอีก
ต่อให้กลับไปก็ใช่ว่าพวกเขาจะยอมให้หล่อนเข้าบ้าน ไม่มีใครอยากนับญาติกับหล่อนอีก
นอกจากนี้ เพื่อปกปิดภูมิหลังที่แท้จริงของลูกสาว ทุกอย่างที่เกี่ยวกับบ้านเกิด รวมถึงครอบครัวฝั่งพ่อแม่ตัวเอง จึงถูกฝังกลบไว้ในใจของหล่อนเท่านั้น
เวลานี้ จู่ ๆ ชายคนหนึ่งที่มีบ้านเกิดอยู่ที่เดียวกันกับหล่อนก็โผล่มา ทำให้ในใจหล่อนเกิดความคับข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
………………………………………………………………………………………………………………………….
แกงแป้งข้น 面疙瘩汤 เป็นอาหารประจำครัวเรือนชนิดหนึ่ง ทำง่าย วัตถุดิบน้อย วิธีทำคือผสมแป้งกวนกับน้ำเป็นก้อนหยาบ เทลงในน้ำซุปที่ปรุงเรียบร้อยแล้ว ทำให้น้ำซุปมีลักษณะข้นคลั่กคล้ายโจ๊กเหลว
สารจากผู้แปล
คุณอาอย่าแกล้งเถ้าแก่แบบนั้นสิ เกิดหัวใจวายตายกะทันหันขึ้นมาทำไง
เป็นความทรงจำที่เจ็บปวดจนไม่อยากกลับไปนึกจริงๆ ค่ะ และยิ่งความทรงจำเลวร้ายพวกนั้นมันเกิดขึ้นในบ้านที่อาศัยอยู่มาตั้งแต่เล็กด้วย ลูกสาวทำพลาดทีถึงกับทรมานกะเอาตายแบบนั้น ใครจะอยากกลับไปเยี่ยม
ไหหม่า(海馬)
……………………………………