ตอนที่ 472 นับจากนี้เราไม่ใช่สหายพี่น้องกัน แต่เป็นผู้อาวุโสกับผู้น้อย
ตอนที่ 472 นับจากนี้เราไม่ใช่สหายพี่น้องกัน แต่เป็นผู้อาวุโสกับผู้น้อย
เฉินเจียเหอไม่ค่อยได้เจอกับเย่ไป๋นัก จึงอยากรู้ไม่น้อยว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเอ่ยถึงนั้นคือเรื่องอะไร
สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดในขณะนี้ไม่ใช่ความรู้สึกของเย่ไป๋ แต่เป็นเอ้อร์เลิ่ง
เขาถามเย่ไป๋ว่า ”นายได้ไปบ้านหมอแผนจีนเย่บ้างหรือเปล่า? ช่วงนี้เอ้อร์เลิ่งเป็นอย่างไร? มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไหม? ครั้งล่าสุดที่ฉันไป เขาดีขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด มีสติแจ่มใสชัดเจน ทั้งคำพูดก็มีเหตุมีผล”
เย่ไป๋กล่าวว่า “มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ แต่ก็ห้ามชะล่าใจ จำเป็นต้องทำการรักษาต่อไป ผสมผสานระหว่างการแพทย์แผนจีนและแพทย์แผนปัจจุบันอีกไม่กี่รอบ ด้วยสภาพแวดล้อมที่เหมาะต่อการพักฟื้นในปัจจุบันแล้ว ก็มีความหวังอย่างมากที่เขาจะหายดี”
เฉินเจียเหอได้ยินเย่ไป๋ซึ่งเป็นแพทย์ให้คำตอบเชิงบวก หัวใจของเขาก็คลายกังวล
ตราบใดที่มีความเป็นไปได้ในการรักษาให้หายดี เขาก็จะไม่ยอมแพ้กับเอ้อร์เลิ่ง
“เยี่ยม นายช่วยดูแลเอาใจใส่เขาให้มากหน่อย หากต้องการความร่วมมืออะไรจากฉัน ก็บอกได้ทันทีเลยนะ”
“วางใจเถอะ”
พนักงานนำอาหารมาเสิร์ฟ และเนื่องด้วยลักษณะงานของเย่ไป๋ เขาจึงไม่สามารถดื่มแอลกอฮอล์ได้ ทั้งสองจึงได้แต่ดื่มชาเท่านั้น
เย่ไป๋ยื่นตะเกียบให้เฉินเจียเหอ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ซุบซิบเกี่ยวกับปัญหาความสัมพันธ์ของเขาแม้แต่น้อย เขาก็อดไม่ได้ที่จะหยั่งเชิง “เหล่าเฉิน เซี่ยเซี่ยได้บอกอะไรนายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่การประกวดนางแบบบ้างหรือเปล่า?”
“เรื่องอะไร?” เฉินเจียเหอที่กำลังกินปลาถามอย่างไม่ค่อยสนใจอะไรนัก
เย่ไป๋กระแอมไปเบา ๆ ก่อนประกาศเรื่องความรักของเขาอย่างเก้อเขิน “ฉันกำลังคบหากับเซี่ยอวี่
เฉินเจียเหอเหลือบตาขึ้นมา น้ำเสียงของเขาดูเย็นชา “ไม่ใช่ว่าคบหากันมานานแล้วหรอกหรือ?”
“นายอย่าเสแสร้งเลย ก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น นายก็น่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจ” เย่ไป๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าไม่สบายใจ ก่อนรวบรวมความกล้าแล้วปริปากเอ่ย “ตอนนี้มันเป็นเรื่องจริงแล้ว ฉันกลายเป็นอาเขยของนายจริง ๆ แล้ว
เมื่อได้ยินเย่ไป๋พูดคำว่าอาเขยออกมาอย่างจริงจัง เฉินเจียเหอซึ่งเพิ่งดื่มชาไปอึกใหญ่ก็แทบจะพ่นชานั้นออกมา “แค่ก”
“ทำอะไรของนาย? นายเรียกเซี่ยตงว่าน้า เรียกเซี่ยไห่ว่าอา เพิ่มอาเขยอย่างฉันเข้าไปอีกสักคนจะเป็นอะไรไป?”
ครั้งล่าสุดที่หัวเราะเยาะ ไม่ใช่ว่ามีความสุขมากหรอกหรือ?
เฉินเจียเหอเช็ดมุมปากของเขาแล้วกล่าวว่า “มันจะเหมือนกันได้ยังไง?”
“เซี่ยตงและเซี่ยไห่ต่างเป็นญาติผู้ใหญ่ของเซี่ยเซี่ย ส่วนนายน่ะ? เราเป็นพี่น้องกันตั้งแต่มัธยมต้นจนถึงมัธยมปลาย นายออกจากสถานะโสดครั้งนี้ ฉันกลับกลายเป็นหลานของนายเสียอย่างนั้น เป็นนาย นายจะรับได้ไหมล่ะ?
แม้ว่าเขาจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว และรู้ว่าการแกล้งเป็นคู่รักกันของเซี่ยอวี่และเย่ไป๋อาจกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้ แต่จู่ ๆ วันนี้ก็มาถึงอย่างฉับพลัน และในขณะที่เขามองหน้าเย่ไป๋ในเวลานี้ เฉินเจียเหอก็นึกภาพที่ในอนาคตตัวเองเรียกอีกฝ่ายว่าอาเขยไม่ออก
ใครจะเข้าใจความรู้สึกของสหายพี่น้องทยอยกลายเป็นญาติผู้ใหญ่ของตนไปทีละคน ๆ บ้าง?
เย่ไป๋ตบไหล่เขาเพื่อปลอบประโลม “เมื่อโชคชะตามาถึง ย่อมไม่มีใครหยุดยั้งได้ ยอมรับความจริงเถอะ”
“เด็กอย่างนายไปเด็ดดอกฟ้าอย่างราชินีจอเงินมาได้ยังไง?” เฉินเจียเหอสงสัยใคร่รู้มาก ปกติแล้วเย่ไป๋เป็นคนเก็บอาการเก่ง ซ้ำยังยุ่งเหมือนหมาตลอดทั้งวัน สุดท้ายแล้วเขาไปตามจีบเซี่ยอวี่มาได้อย่างไร?
เพราะเหตุการณ์วีรบุรุษช่วยหญิงงามในครั้งนั้น เลยทำให้ราชินีจอเงินประทับใจงั้นหรือ?
เย่ไป๋ปิดปากกระแอมไอเบา ๆ “ฉันไม่สะดวกที่จะเปิดเผยรายละเอียด แต่สรุปก็คือเราจะคอยดูแลกันและกันในอนาคต”
เฉินเจียเหอซึ่งกำลังกินอาหารเผยสีหน้าเย่อหยิ่ง และกล่าวโอ้อวดออกมาอย่างไร้ยางอาย “ทางพ่อตาของฉันล้วนแล้วแต่ชมชอบฉัน แถมความรักของเราสองสามีภรรยาก็มั่นคงมาก ไม่ต้องให้นายมาคอยดูแลหรอก”
“อย่างนั้นนายก็คอยดูแลฉันหน่อยเถอะ” ความเอาอกเอาใจอันหาได้ยากยิ่งของเย่ไป๋ได้มีให้เห็นในวันนี้นี่เอง ทั้งคอยคืบอาหาร เติมชา “ฉันได้นัดหมายกันเรื่องการพบกันของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายในช่วงสุดสัปดาห์แล้ว หากมีอะไรที่ฉันจัดการดูแลได้ไม่เหมาะสมก็ช่วยเตือนฉันให้มากเถอะ”
เฉินเจียเหอมองคุณหมอไป๋ผู้สงบเยือกเย็นราวกับเซียนผู้ถูกเนรเทศมายังโลกมนุษย์กำลังประจบสอพลอตน ก็ส่งสายตาดูถูกให้อีกฝ่าย พร้อมเลื่อนถ้วยชาของตัวเองออก
เย่ไป๋เห็นเขาวางอำนาจ ก็วางกาน้ำชาลงแล้วจ้องมองเฉินเจียเหอ ตั้งใจจะสนองความต้องการของอีกฝ่ายด้วยท่าไม้ตาย
“การเป็นอาเขยนี่ใช่ว่าจะเป็นโดยไม่ได้ประโยชน์นะ ค่าเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านใหม่ของนายฉันก็เป็นคนจ่ายให้เอง”
มือซึ่งกำลังยกชาขึ้นดื่มของเฉินเจียเหอพลันชะงักเล็กน้อย ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองเขาดูเหมือนว่าจะประทับใจยิ่ง
เย่ไป๋กล่าวเสริมว่า “เฟอร์นิเจอร์ก็ไม่ใช่เซี่ยไห่ซื้อให้หรอกหรือ? ฉันจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าให้นาย โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า นายเลือกเอาได้ตามใจประสงค์”
ครั้งล่าสุดที่พวกเขารวมตัวกัน เฉินเจียเหอใช้สถานะความเป็นอาเขยมาขู่กรรโชกเขา และในตอนนั้น ด้วยเพราะความไม่แน่นอนในความสัมพันธ์ระหว่างตนและเซี่ยอวี่ เขาจึงหลบเลี่ยง
มาคิด ๆ ดูแล้วก็เสียใจทีหลังอยู่ไม่น้อย
ดวงตาของเฉินเจียเหอหรี่ลงเล็กน้อย จ้องมองเขาด้วยท่าทางสงสัย “ร่ำรวยมีอิทธิพลถึงเพียงนี้เชียว? ใช้เงินของนายเองน่ะหรือ?”
สีหน้าท่าทีของเฉินเจียเหอดูมีเลศนัย ส่งผลให้ใบหน้าอันนุ่มนวลอ่อนโยนของเย่ไป๋พลันแตกร้าว
เขากัดฟันเอ่ย “นายคิดว่าฉันเป็นนักขุดทองเหรอ?”
เขาพลันนั่งตัวตรง และกล่าวปกป้องตัวเองด้วยสีหน้าจริงจัง “เงินเดือนฉันมากกว่านาย ทั้งยังได้รับค่าผ่าตัดเพิ่มอีก ประกอบกับไม่มีความกดดันที่ต้องเลี้ยงดูจุนเจือครอบครัว ตัวเลขในบัญชีธนาคารของฉันจึงน่าประทับใจมาก หากไม่ดีพอ ฉันก็ยังมีทรัพย์สินของที่บ้านอีก ฉันไม่มีทางเกาะผู้หญิงกินหรอก”
“โกรธขึ้นมาเชียว?”
เฉินเจียเหอเอ่ยขึ้นอย่างมีน้ำใจ “ไม่จำเป็นต้องซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าให้หรอก นายเป็นสหายพี่น้องของฉัน เรื่องใดควรดูแลก็ย่อมดูแลนายแน่นอน”
ขู่กรรโชกเซี่ยไห่เพียงคนเดียวก็เพียงพอแล้ว ไม่อาจจะจับทุกคนมาถอนขนแกะได้
สาเหตุหลักมาจากเฉินเจียเหอนั้นเกรงกลัวคุณอาเซี่ยอวี่ ราชินีจอเงิน
หล่อนเป็นคนที่เขาไม่กล้าล่วงเกิน
“เมื่อก่อนเป็นสหายพี่น้องกัน แต่ในอนาคตคงไม่ใช่แล้ว” เย่ไป๋มองดูเขา พร้อมแก้ไขให้ถูกต้องอย่างจริงจัง “ในอนาคต จะกลายเป็นความสัมพันธ์ระหว่างผู้อาวุโสและผู้น้อย”
เฉินเจียเหอมองดูใบหน้ากวนประสาทของอีกฝ่าย ก็วาดเท้าใส่ “ฉันจะเตะนายให้ตายไปเลย”
เย่ไป๋รีบหลบอย่างว่องไว
………
หลินเซี่ยมาที่บ้านตระกูลเฉินเพื่อแจ้งให้ทุกคนทราบถึงเรื่องการเปิดร้านใหม่ของเธอ
เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงต่างเลิกงานกลับถึงบ้านแล้วในเวลานี้
ด้วยเป็นการเปิดร้านครั้งที่สอง เธอจึงเข้ามาเพียงเพื่อแจ้งให้ทราบ โดยกล่าวเชิญเฒ่าชราทั้งสองคนเป็นพิเศษ ส่วนทั้งพ่อและแม่สามีต่างมีหน้าที่การงาน ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่ได้คาดหวังอย่างแรงกล้าว่าเฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงจะต้องไปร่วมวันเปิดร้านในครั้งนี้
“พ่อคะ แม่คะ หากพอมีเวลาก็แวะไปได้นะคะ แต่ถ้างานยุ่ง วันหลังมีโอกาสค่อยไปดูก็ได้ค่ะ”
เดิมทีเฉินเจิ้นเจียงนั้นตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเพราะเขาไม่ปลีกตัวไปได้จริง ๆ แต่เมื่อลูกสะใภ้มาเชิญเขาถึงบ้าน จึงยากที่จะปฏิเสธ และหลินเซี่ยเองก็รู้ความและใส่ใจมาก พลันร่องรอยคำขอบคุณก็ฉายแวบขึ้นมาในแววตาของเขา ก่อนที่เขาจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ได้ พวกเราปลีกตัวไปจากที่ทำงานไม่ได้จริงๆ งั้นก็ให้คุณปู่คุณย่าไปแทนพวกเราแล้วกัน”
เมื่อเอ่ยจบ เขาก็มองไปยังเฉินเจียวั่ง “เจียวั่ง หากมีเวลาก็ไปช่วยพี่สะใภ้สักหน่อยนะ”
“เข้าใจแล้วครับ”
โจวลี่หรงเดินกลับเข้าไปในห้องนอน แล้วออกมาพร้อมเงินก้อนหนึ่งในมือ หล่อนยื่นเงินนั้นให้หลินเซี่ย “เซี่ยเซี่ย รับเงินห้าร้อยหยวนนี้ไป ร้านรวงเพิ่งเปิด หากมีข้าวของอะไรที่ต้องซื้อเพิ่มเติม ก็เอาไปซื้อเสีย”
หลินเซี่ยรีบโบกมือและกล่าวปฏิเสธ “แม่คะ ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันมีเงิน”
“นี่เป็นน้ำจิตน้ำใจจากพ่อสามีของเธอและฉัน เธอเปิดร้าน พวกเราเองก็ช่วยอะไรได้ไม่มากเพราะไม่ได้มีเงินมากมายนัก รับไว้เถอะ”
“ใช่ รับไว้เถอะ พวกเราในฐานะญาติผู้ใหญ่ไม่ได้ช่วยอะไรเลยในการเปิดร้านนี้ นี่ถือเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากพวกเรา”
ในเมื่อเฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงยืนกรานที่จะให้เงินกับเธอ หญิงสาวจึงทำได้เพียงรับเอาไว้
“ขอบคุณนะคะคุณพ่อคุณแม่
ทุกครั้งที่โจวลี่หรงมองหลินเซี่ยผู้เป็นลูกสะใภ้ ความรู้สึกของหล่อนมักปนเปซับซ้อน กระทั่งถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายอย่างเปิดเผยได้อย่างไร
ตอนนั้น เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยแต่งงานกันอย่างรวดเร็ว หล่อนเชื่อถ้อยคำของเสิ่นเสี่ยวเหมยจนไปจัดการถึงที่ชนบท ทั้งยังกลั่นแกล้งหลินเซี่ยอยู่ร่ำไป พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อจะพรากเธอออกจากเฉินเจียเหอ
เพียงเพราะภูมิหลังของหลินเซี่ย หล่อนจึงทำทุกวิถีทางเพื่อขับไล่และปฏิเสธหญิงสาว
วันนี้เมื่อหวนคิดดูแล้วก็อยากจะตบตัวเองนัก
ในเวลานั้น ระหว่างเสิ่นเสี่ยวเหมยและหลินเซี่ยลูกสะใภ้ทั้งสองคน หล่อนสามารถเลือกรับและปฏิเสธได้โดยไม่ลังเลเลย
ในเวลานั้น หล่อนไม่เคยคาดหวังว่าวันหนึ่งเฉินเจียซิ่งจะหย่าร้างกับเสิ่นเสี่ยวเหมยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตาม
โจวลี่หรงมองไปยังหลินเซี่ยซึ่งขยันขันแข็งตั้งแต่อายุยังน้อยและถือว่าประสบความสำเร็จในอาชีพการงานแล้ว ก็พลันรู้สึกได้ถึงอารมณ์มากมายที่ล้นอยู่ในใจ
คนเราไม่สามารถเลือกชาติกำเนิดของตนเองได้ แต่สามารถเลือกชีวิตของตนเองได้
หลินเซี่ยเป็นตัวอย่างนั้น
ตัวหล่อนเองก็มาจากชนบทไกลปืนเที่ยงเช่นกัน แต่กลับไม่มีความกล้าหาญและสถานภาพเช่นหลินเซี่ย สิ่งที่มีมากที่สุดในความคิดของหล่อนคือกลัวว่าหลินเซี่ยจะแต่งงานกับลูกชายของตน แล้วในอนาคตจะพาญาติมิตรที่ยากจนบากหน้ามาขออาศัยใบบุญด้วย
ในขณะนี้ ในใจของโจวลี่หรงทั้งซับซ้อนระคนปีติยินดี รู้สึกขอบคุณที่ตัวเองสามารถดึงสติกลับคืนมาได้ และไม่ผูกความแค้นกับลูกสะใภ้คนนี้
เฒ่าชราตระกูลเฉินทั้งสองต่างก็มองหลินเซี่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
หลานสะใภ้ของพวกเขานั้นนับวันยิ่งสมดังปรารถนามากขึ้นเรื่อย ๆ
หลายชั่วอายุคนของตระกูลเฉินไม่เคยมีใครทำธุรกิจเลย แต่หลานสะใภ้ของพวกเขากลับเป็นคนแรก ในฐานะญาติผู้ใหญ่ พวกเขาดีใจมากที่คนหนุ่มสาวมีความทะเยอะทะยานเช่นนี้
เด็กสาวตรงหน้าเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่นในการต่อสู้และพลังอันมีชีวิตชีวา ไม่ว่าธุรกิจของเธอจะทำเงินได้มากมายแค่ไหน และเหนือสิ่งอื่นใดคือจิตวิญญาณที่ฉายชัดออกมาของเธอทำให้คนเบิกบานใจ
คุณย่าเฉินมองเธอพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เซี่ยเซี่ย พ่อแม่ของเธอไม่มีเวลาปลีกตัวไปได้ งั้นฉัน คุณปู่ และเจียวั่ง จะไปที่นั่นกันตั้งแต่เช้านะ”
“ขอบคุณค่ะคุณปู่คุณย่า”
เฉินเจียซิ่งซึ่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ผมเองก็จะไปเหมือนกัน หากมีอะไรที่ต้องทำ ก็บอกผมได้เลย”
หลินเซี่ยไม่คาดคิดว่าเฉินเจียซิ่งจะเป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาพวกเขาก่อน หญิงสาวเอ่ยตอบเขาอย่างสุภาพและมีมารยาท “ขอบคุณค่ะ”
ในวันเปิดร้าน เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงปิดร้านอาหารครึ่งวันในช่วงเช้า ทั้งครอบครัวไปร่วมงานเพื่อสนับสนุนลูกสาวของพวกเขา
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ขำพี่เหอหนักมาก เพื่อนๆ ในก๊วนของตัวเองกลายมาเป็นญาติตัวเองหมดเลย
ไหหม่า(海馬)