ตอนที่ 479 ระยะทางสร้างอุปสรรค และสร้างสิ่งงดงามได้เช่นกัน
ตอนที่ 479 ระยะทางสร้างอุปสรรค และสร้างสิ่งงดงามได้เช่นกัน
หู่จือเล่าเรื่องออกมาได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง แต่คราวนี้คุณแม่เซี่ยและคนอื่นกลับไม่หัวเราะ ทั้งครอบครัวหันมามองหลินเซี่ยด้วยสีหน้าเป็นทุกข์
พวกเขาไม่รู้มาก่อนเลยว่าแม่ของเฉินเจียเหอใจร้ายกับหลินเซี่ยขนาดนี้ แม้แต่เสิ่นเสี่ยวเหมยก็ยังรังแกเธอด้วย จากคำบอกเล่าของหู่จือ แสดงว่าเธอกับฝ่ายนั้นคงทะเลาะกันมาไม่น้อย
ดวงตาของคุณแม่เซี่ยอดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เมื่อรับรู้ว่าหลานสาวตัวเองต้องถูกครอบครัวสามีรังแกหลังจากแต่งงาน
เพียงเพราะประสบการณ์ชีวิตของเธอเปลี่ยนไป พวกเขาเลยคิดว่าเธอเป็นเด็กไร้ญาติขาดมิตรสินะ?
สีหน้าเซี่ยเหลยก็เคร่งขรึมขึ้นเช่นกัน ดวงตาชายร่างใหญ่ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตา มองลูกสาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความทุกข์ใจ
หลินเซี่ยเห็นว่าจู่ ๆ บรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้นมา จึงเผยรอยยิ้มเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศนี้
“อย่ามองฉันแบบนี้สิคะ พวกเขาก็ไม่ได้รังแกอะไรฉันมากหรอก หู่จือก็เล่าให้ฟังกับปากแล้ว ฉันเป็นคนเอาโถปัสสาวะปาใส่หัวพวกเขาบางคนด้วยซ้ำ และเสิ่นเสี่ยวเหมยก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันเลย ตอนนี้แม่สามีก็ยอมรับฉันแล้ว เราเข้ากันได้ดีและไม่ได้ทะเลาะกันอีกเลยค่ะ”
“แม่คะ เดี๋ยวเราต้องรีบไปเตรียมกับข้าวนะ ไม่งั้นเราจะขึ้นรถไม่ทัน”
หลินเซี่ยจูงหลิวกุ้ยอิงไปทำอาหาร เซี่ยเหลยเองก็วิ่งตามไปช่วยด้วยอีกแรง
หู่จือเหมือนตระหนักว่าตัวเองอาจพูดอะไรผิดไป เขาหันไปมองคุณแม่เซี่ยที่มีสีหน้าจริงจังอย่างอายๆ และพูดอย่างระมัดระวังว่า “คุณยายทวด ผมผิดเอง”
“เด็กน้อย ผิดเรื่องอะไรกัน?” คุณแม่เซี่ยอุ้มหู่จือไว้ในอ้อมแขนพลางลูบแผ่นหลังเขา “หู่จือ ยายทวดเองก็ต้องขอบคุณนะ ถ้าไม่ใช่เพราะคำพูดเด็ก ๆ อย่างหลาน ยายคงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแม่ของหลานต้องทนทุกข์ทรมานมามากแค่ไหน”
คุณแม่เซี่ยเป็นคนเข้มแข็งไม่แพ้กัน แม้จะรู้ว่าแม่ของเฉินเจียเหอปฏิบัติต่อหลินเซี่ยดีขึ้นในเวลาต่อมา แต่ก็อดรู้สึกโกรธอยู่ในใจไม่ได้
หากก่อนหน้านั้นรู้เรื่องนี้ และเห็นโจวลี่หรงมาหาถึงหน้าประตูเมื่อครู่นี้ นางคงจะเข้าปะทะตรง ๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม
ในฐานะผู้อาวุโสแล้ว ทำไมอีกฝ่ายถึงปฏิบัติต่อภรรยาของลูกชายตัวเองได้อย่างเย็นชาแบบนี้?
นางจงใจพูดกับหู่จือ “ตราบใดที่ยายทวดยังอยู่กับทุกคน จากนี้ไปถ้าใครไม่ชอบเรา เราก็ไม่ต้องไปชอบเขาเหมือนกัน ต่อไปเราไม่ต้องไว้หน้าใครอีกแล้ว”
“คุณยายทวด ผมชอบอยู่กับคุณที่สุดเลย ถึงผมจะยังตัวเล็กอยู่ แต่ก็จะคอยปกป้องคุณยายเอง”
“โอ้ ยายทวดเองก็ชอบอยู่กับหลานเหมือนกันนะ”
คุณแม่เซี่ยกอดหู่จือและรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ก่อนปล่อยหู่จือวิ่งไปในครัวเพื่อหาของอร่อยกิน
ท่าทางของคุณแม่เซี่ยกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง ขณะมองไปทางเซี่ยไห่แล้วถามว่า
“แกกลับมาไห่เฉิงตั้งนาน ทำไมถึงไม่เคยสังเกตเลยว่าหลินเซี่ยถูกรังแก?”
เซี่ยไห่แสร้งทำเป็นผ่อนคลายและเรียบเฉย “ก็ไม่เห็นว่าถูกรังแกอะไร เพราะแม่เจียเหอก็ปฏิบัติแบบนี้ต่อทุกคนเหมือนกันหมด แม่ไม่คิดว่าผมกลัวหล่อนบ้างหรือไง? ไหนจะบุคลิกน่าเบื่อและจริงจังนั่นอีก ไม่เคยเห็นหล่อนพูดคุยหยอกล้อกับใครสักคน แต่จริง ๆ เนื้อแท้ของหล่อนเป็นคนจิตใจดีนะ ส่วนอดีตน้องสะใภ้ที่ทะเลาะกับเซี่ยเซี่ยก็หย่ากับเฉินเจียซิ่งไปแล้ว
เซี่ยเซี่ยไม่ได้อยู่บ้านเดียวกับแม่สามีซะหน่อย ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้ ก็ดีแล้วที่อยู่ห่างกัน หรือแม่คิดว่าพวกเขาต้องดูแลเอาใจใส่เซี่ยเซี่ยเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง?”
คุณแม่เซี่ยถามย้อนกลับไปว่า “แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ?”
ตัวนางเองยังคิดว่าหลิวกุ้ยอิงเป็นเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของตนเลย
“เซี่ยเซี่ยไม่มีทางรักหล่อนเหมือนเป็นแม่แท้ ๆ ของตัวเองน่ะสิ” แม้เซี่ยไห่จะครองโสดอยู่ แต่เขาก็มีประสบการณ์มากมายและมองสถานการณ์ออกได้ทันทีเมื่อต้องรับมือกับปัญหา อีกทั้งยังเข้าใจความคิดของแม่ตัวเองดีด้วย
“ทุกคนมีบุคลิกต่างกัน แม่ปฏิบัติต่อพี่สะใภ้ในฐานะลูกสาวได้ และพี่สะใภ้ผมเองก็มีบุคลิกที่โอนอ่อนผ่อนปรนและยังเต็มใจเชื่อฟังแม่ด้วย เพราะแบบนี้ถึงอยู่ร่วมกันได้ แต่เซี่ยเซี่ยเป็นคนที่มีอิสระทางความคิดและยังมีความสามารถมากมาย หล่อนคุ้นเคยกับการเป็นอิสระและมักจะเดินไปตามทางของตัวเอง ถือว่าหล่อนทำถูกแล้วที่รักษาระยะห่างไม่ใกล้หรือไกลกับครอบครัวฝั่งสามีมากเกินไป ถ้าพูดถึงความสัมพันธ์ตอนนี้ แม่สามีเองก็ไม่กล้าเข้าไปก้าวก่ายชีวิตหล่อนนัก เพราะถ้าเข้าใกล้กันมากเกินไป มันก็จะไม่มีขอบเขต ถึงตอนนั้นอีกฝั่งจะต้องเอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้งและบังคับให้เซี่ยเซี่ยทำตามแน่นอน เผลอ ๆ อาจต้องการกักเซี่ยเซี่ยให้อยู่แต่ในบ้านเพื่อเลี้ยงลูกอย่างเดียวด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นแบบนั้นก็จะมีปัญหาเพิ่มขึ้นอีก”
คุณแม่เซี่ยไม่ค่อยเข้าใจว่าที่เซี่ยไห่พูดหมายถึงอะไร เพราะในความเห็นของนาง สมาชิกในครอบครัวควรปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ
“อย่ากังวลเลยแม่ หนุ่มสาวสมัยนี้อยากมีชีวิตเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องใกล้ชิดกับผู้ใหญ่มากเกินไปด้วย”
“ทำไมถึงไม่จำเป็น? พวกเขาไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันหรอกเหรอ? ทำไมแม่เจียเหอถึงไม่สามารถปฏิบัติต่อหลานสาวฉันอย่างจริงใจได้? หรือเป็นเพราะหล่อนยังไม่มีหลานให้? แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องปฏิบัติกับเซี่ยเซี่ยเหมือนลูกสาวคนหนึ่งอยู่ดี ไม่เห็นต้องวางตัวห่างเหินเย็นชากับหลานสาวฉันขนาดนี้เลย ทำไมถึงต้องไม่พอใจเซี่ยเซี่ยด้วยนะ?”
เซี่ยไห่กลัวว่าหญิงชราจะโกรธ จึงไม่กล้าพูดว่าเป็นเพราะโจวลี่หรงมีมาตรฐานของลูกสะใภ้ในใจมาก่อน หล่อนต้องการจับคู่ระหว่างถังหลิงกับเฉินเจียเหอ ดังนั้นหล่อนจึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อแยกเฉินเจียเหอกับหลินเซี่ยให้เลิกรากันไป
เขาพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “ไม่ใช่ไม่พอใจ แต่พวกเขาแค่มีบุคลิกแบบนั้นแหละ อย่าไปเอามาใส่ใจเลย”
สมมุติถ้าโจวลี่หรงและหลินเซี่ยเป็นแค่พี่สาวน้องสาว พวกหล่อนคงเปิดอกคุยกันทุกเรื่อง และถ้าโจวลี่หรงรู้ว่าหลินเซี่ยยืมเงินคนอื่นมากถึงสามแสนหยวนเพื่อมาลงทุนในโครงการก่อสร้าง คิดว่าหล่อนจะต่อต้านและห้ามปรามหรือเปล่าล่ะ?
ความสัมพันธ์ที่เว้นระยะห่างไม่ใกล้ไม่ไกลชิดกันเกินไปคือทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดแล้ว การเก็บความลับจากกันและกันก็สามารถลดปัญหาไปได้มากมาย
ระยะทางสร้างอุปสรรค และสร้างสิ่งงดงามได้เช่นกัน
ในห้องครัว สามพ่อแม่ลูกกำลังจดจ่ออยู่กับการทำอาหาร
“พ่อ ช่วยพาหู่จือออกไปข้างนอกหน่อย ฉันกับแม่จะลุยต่อเองค่ะ”
“อืม” หลังจากเซี่ยเหลยพาหู่จือออกไปแล้ว หลิวกุ้ยอิงมองไปที่หลินเซี่ยและพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิดว่า “เซี่ยเซี่ย แม่ผิดเองที่ไร้ความสามารถ ทำให้ลูกต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น”
ก่อนหน้านี้ตระกูลเซี่ยยังไม่รู้จักหลินเซี่ย เป็นหล่อนที่บังคับให้หลินเซี่ยแต่งงานออกไปด้วยการตัดสินใจส่วนตัว เมื่อโจวลี่หรงมาหาและต้องการยกเลิกการหมั้นหมาย หล่อนจึงไม่สามารถต่อรองอะไรกับพวกเขาได้เลย
“แม่ ทำไมเอาเรื่องเก่า ๆ มาพูดอีกแล้ว?” หลินเซี่ยรีบทำเครื่องเคียงแล้วพูดว่า “รีบทำก่อนเถอะแม่ ใกล้ถึงเวลากินข้าวแล้ว”
“ในสายตาฉัน แม่คือแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกเลยนะคะ”
หล่อนเป็นแม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เต็มใจปกป้องลูกด้วยชีวิตจริง ๆ
คำพูดของหลินเซี่ยไม่ได้ทำให้หลิวกุ้ยอิงรู้สึกสบายใจขึ้น แต่ทำให้หล่อนรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งกว่าเดิม
หล่อนเป็นแม่ที่ไร้ความสามารถ จะถูกยกย่องว่าเป็นแม่ที่ประเสริฐที่สุดในโลกได้อย่างไร?
ในเมื่อหลินเซี่ยเองมองแม่ตัวเองแบบนั้น หล่อนก็ไม่มีอะไรจะพูดอีก จึงมุ่งความสนใจไปที่การทำอาหาร
หล่อนเข้าใจความรู้สึกเวลาตัวเองถูกคนในครอบครัวปฏิเสธอย่างเลวร้ายดีกว่าใคร ดังนั้นจึงพลอยรู้สึกผิดกับส่งที่ลูกสาวต้องพบเจอด้วย ที่ตอนนั้นไม่ได้ช่วยปกป้องลูกสาวเท่าที่ควร
พูดตามตรง เมื่อเทียบกับความรุนแรงและเย็นชาที่ตระกูลเสิ่นมอบให้ ก็นับว่าเธอไม่ได้รับความทุกข์จากทางฝั่งของโจวลี่หรงมากนัก
เพราะอย่างน้อยเฉินเจียเหอก็คอยปกป้องเธออยู่
แม้โจวลี่หรงจะไม่ชอบเธอ แต่เฉินเจียเหอก็ไม่เคยเปิดโอกาสให้โจวลี่หรงมาแสดงความเกลียดชังต่อหน้าเธอเลยสักครั้ง
ขณะกินข้าว เฉินเจียเหอกลับมาจากเลิกงานพอดี
เขาเข้าไปร่วมโต๊ะอาหาร หลังกินข้าวกันพร้อมหน้าเสร็จสรรพ เขาก็พาทุกคนไปส่งที่สถานีรถไฟ
เขาเดินไปส่งจนสุดชานชาลา เฝ้าดูพวกเขาขึ้นรถและหาที่นั่ง จนกระทั่งขบวนรถไฟเริ่มออกเดินทาง
เขาเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่ของคุณแม่เซี่ยและหู่จือ หลังกลับจากสถานี เขาก็ไปที่บ้านตระกูลเซี่ยอีกครั้ง
หู่จือกำลังดูการ์ตูนอยู่ ภายในบ้านเงียบสงัด หญิงชรารู้สึกเปล่าเปลี่ยวมาก ได้แต่นั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา
เมื่อเห็นเฉินเจียเหอกลับมา นางถึงรู้สึกตัวและถามด้วยรอยยิ้มว่า “อยู่จนรถไฟออกเลยเหรอ?”
เฉินเจียเหอตอบกลับว่า “คุณยาย ผมไม่ได้จากไปไหนเลยจนรถไฟเคลื่อนขบวนครับ”
เขาเดินดูรอบบ้านทั้งภายในและภายนอก กำชับหู่จือให้เชื่อฟัง และวางแผนจะออกไปข้างนอกต่อ
แต่คุณแม่เซี่ยขอให้เขานั่งลงก่อน มองเขาด้วยสีหน้าจริงจังแล้วถามว่า
“เจียเหอ พ่อแม่เธอไม่ชอบเซี่ยเซี่ยของฉันเหรอ?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อย่างที่เขาบอกว่ามีพื้นที่ส่วนตัวให้กันบ้าง จะทำให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ใกล้ชิดเกินไปก็กระทบกระทั่งได้ง่าย ห่างกันเกินไปก็จูนกันไม่ติด
ไหหม่า(海馬)