ตอนที่ 480 กงล้อแห่งโชคชะตาเริ่มหมุน
ตอนที่ 480 กงล้อแห่งโชคชะตาเริ่มหมุน
เมื่อเฉินเจียเหอได้ยินสิ่งที่หญิงชราพูด ใบหน้าของเขาก็กระชับขึ้น และรีบอธิบายว่า “ไม่นี่ครับคุณยาย”
“ฉันได้ยินมาว่าตอนที่เธอกับเซี่ยเซี่ยแต่งงานกันครั้งแรก พ่อแม่ของเธอไม่เห็นด้วยกับการที่พวกเธอจะอยู่ด้วยกัน แถมแม่เธอยังรังแกเซี่ยเซี่ยด้วยไม่ใช่เหรอ?”
นับตั้งแต่หู่จือบอกเล่าเรื่องราวเหล่านั้น คุณแม่เซี่ยก็รู้สึกหนักใจ อดไม่ได้ที่จะขอให้เฉินเจียเหอช่วยยืนยัน
เฉินเจียเหอมองหญิงชราและอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงใจว่า “คุณย่า ตอนที่เซี่ยเซี่ยกับผมเพิ่งจะแต่งงานกัน ตอนนั้นสถานการณ์เป็นไปอย่างกะทันหันมาก หลังจากเราแต่งงานกันแล้ว ผมโทรกลับไปบอกครอบครัวทางโทรศัพท์เท่านั้นเอง พวกเขาไม่ได้เตรียมจิตใจเอาไว้ก่อนเลย อีกอย่างเซี่ยเซี่ยในเวลานั้นยังมีความสัมพันธ์กับตระกูลเสิ่น ดังนั้นพวกเขาเลยไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานของเราสองคน กระทั่งต่อมาผมพาเซี่ยเซี่ยกลับเข้าเทศมณฑล พอเห็นว่าพวกเราเข้ากันได้ดี ทุกคนในครอบครัวต่างก็ชอบหล่อนมาก”
ดวงตาของคุณแม่เซี่ยเป็นประกาย “จริงเหรอ? แม่เธอก็เปลี่ยนใจมาชอบเซี่ยเซี่ยด้วยสินะ? จะว่าไปจนถึงตอนนี้เราก็ไม่ค่อยได้เจอพ่อแม่ของเธอสักเท่าไหร่เลย”
เหงื่อเย็นผุดขึ้นมาบนหน้าผากของเฉินเจียเหอเมื่อหญิงชรามองมาที่เขา เขาปาดเหงื่อด้วยความประหม่า และพูดว่า
“คุณยายครับ พ่อแม่ผมค่อนข้างงานรัดตัวกันทั้งคู่จากลักษณะอาชีพของพวกเขา ทำให้พวกเขามีบุคลิกจริงจังและห่างเหิน ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ต่อต้านเซี่ยเซี่ยอีกต่อไป
เราพี่น้องสามคนถูกเลี้ยงดูจนโตมาถึงตอนนี้เพราะผู้สูงอายุในบ้านเป็นหลัก แถมผมก็ไม่ค่อยสนิทสนมใกล้ชิดกับพ่อแม่เท่าไหร่ ครอบครัวเรากำลังจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่เร็ว ๆ นี้ ในอนาคตคงไม่ได้กลับมาอาศัยใต้ชายคาเดียวกับพ่อแม่ ดังนั้นไม่มีความขัดแย้งระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้แน่นอน ไม่ต้องห่วงนะครับคุณยาย”
คุณแม่เซี่ยได้ยินว่าทัศนคติของเฉินเจียเหอก็เหมือนกับของเซี่ยไห่ พวกเขาต่างใช้การปลีกตัวออกห่างตามวิธีที่คนหนุ่มสาวนิยมใช้เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งกับพ่อแม่
คุณแม่เซี่ยไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับพฤติกรรมของพวกเขา
นางจึงแนะนำ
“ฉันไม่เห็นด้วยกับการที่เธอจะตีตัวออกห่างจากพ่อแม่ ฉันเองก็เป็นแม่คนเหมือนกัน แน่นอนผู้ใหญ่อย่างเราหวังว่าสมาชิกในครอบครัวทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข ฉันไม่เข้าใจหรอกนะว่าพ่อแม่เธอคิดยังไง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพ่อแม่เหมือนจะห่างเหินต่อกันไปหน่อย”
เฉินเจียเหออธิบาย “พวกเขายังอายุไม่มาก ประกอบกับมีนิสัยบ้างาน หลังพวกเขาเกษียณเราคงมีเวลาได้ติดต่อพูดคุยกับพวกเขามากขึ้นครับ”
“ก็จริง พวกเขายังเด็ก บางทีความคิดอ่านอาจจะแตกต่างจากคนแก่อย่างพวกเราก็ได้”
เฉินเจียเหอตระหนักได้ว่าน้ำเสียงของหญิงชราไม่ปกติ จึงพูดอย่างรวดเร็ว “คุณยาย คุณก็ยังไม่แก่เลยนะครับ”
“เด็กน้อยอย่างเธอจะไปรู้อะไร ฉันยังไม่แก่เหรอ ฉันเพิ่งจะอายุสิบแปดหมาด ๆ นะ”
เฉินเจียเหอปฏิบัติต่อหลินเซี่ยอย่างจริงใจ เมื่อรับรู้ว่าปู่ย่าของเขาและน้องชายทั้งสองคนก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับหลินเซี่ย ในที่สุดคุณแม่เซี่ยก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น
ข้างนอกเริ่มมืดแล้ว นางจึงบอกกับเฉินเจียเหอ
“พ่อตาของเธอบอกว่าเสี่ยวเยี่ยนจะมานอนพักที่นี่ตอนกลางคืน ทำไมจนป่านนี้แล้วหล่อนยังไม่กลับมาอีกนะ? เธอช่วยไปดูให้หน่อยได้ไหม? หล่อนเป็นสาวเป็นแส้ กลับบ้านเอาดึกดื่นเสี่ยงว่าจะไม่ปลอดภัย”
“ครับ ผมจะไปรับหล่อน”
ทันทีที่เฉินเจียเหอเดินออกมาถึงหน้าประตู เขาก็หยิบกุญแจมอเตอร์ไซค์ออกมา วางแผนจะขับรถออกไป แต่แล้วจักรยานคันหนึ่งกลับขี่มาทางเขา
หลังจากที่เขาจำได้ว่าคนปั่นจักรยานคือใคร เขาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
“พี่เฉิน” ลู่เจิ้งอวี่จอดจักรยาน จากนั้นก็ทักทายเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าแปลก ๆ
หลินเยี่ยนรีบลุกจากเบาะหลัง ถอยห่างจากลู่เจิ้งอวี่และเรียกอีกฝ่ายว่าพี่เขย
แม้ว่าเขาและเฉินเจียเหอจะเป็นสหายพี่น้องกัน แต่ในฐานะที่ลู่เจิ้งอวี่อายุน้อยที่สุดในกลุ่ม เมื่อเห็นเฉินเจียเหอมองเขาด้วยสีหน้าคาดคั้น เขาก็รู้สึกผิดและกังวลเล็กน้อย รีบอธิบายว่า “หลินเยี่ยนบอกว่าวันนี้หล่อนต้องกลับมาอยู่เป็นเพื่อนคุณย่า แต่ตอนนี้มืดค่ำเกินกว่าหล่อนจะกลับเอง ฉันเลยอาสามาส่ง”
“ทำได้ดีมาก” เฉินเจียเหอพูดกับหลินเยี่ยน “พี่สาวของหล่อนกับคนอื่น ๆ ขึ้นรถเตรียมออกเดินทางแล้ว เข้ามาเร็วเถอะ คุณยายกับหู่จือรออยู่ในบ้านแล้ว”
“ค่ะ ฉันเข้าไปก่อนนะคะ” ได้ยินเฉินเจียเหอพูดแบบนั้น หลินเยี่ยนก็ก้มหน้าลงแล้วรีบหันหลังกลับ วิ่งผ่านประตูเข้าไป
ทันทีที่หลินเยี่ยนเข้าไปในบ้านและปิดประตูลง เฉินเจียเหอก็จ้องมองลู่เจิ้งอวี่ด้วยสายตาลึกล้ำ อีกฝ่ายไม่เคยชินกับการถูกจ้องมองนาน ๆ ก็เกาหัวและพูดด้วยรอยยิ้มอึดอัด “พี่เฉิน ทำไมมองหน้าฉันแบบนี้ล่ะ?”
เฉินเจียเหอก้าวไปข้างหน้าด้วยขาอันยาวเหยียดของเขา ตบไหล่ลู่เจิ้งอวี่ด้วยมืออันแข็งแกร่ง หรี่ตาลงเล็กน้อย มองหน้าแล้วถามว่า “จำได้ว่าพ่อแม่นายมอบหมายให้นายสละโสดภายในไม่กี่เดือนหลังจากย้ายงานใช่ไหม?”
ลู่เจิ้งอวี่พยักหน้าโดยทันคิด “ใช่แล้ว ฉันตัดสินใจมาทำงานที่ร้านของพี่ไห่ นั่นเป็นเพราะพี่ไห่บอกว่าเขาช่วยฉันหาแฟนได้ พ่อแม่ของฉันถึงได้ยินยอมให้ฉันลาออกไงล่ะ”
“เพราะแบบนั้น นายถึงตั้งเป้าไปที่หลินเยี่ยนสินะ?”
หลังจากได้ยินคำถามของเฉินเจียเหอแล้ว ลู่เจิ้งอวี่ก็ตระหนักว่าเขาติดกับดักเข้าแล้ว จึงส่ายหัวอย่างเร่งรีบ “พี่เฉิน ฉันเปล่าหลอกหล่อนนะ”
“ไม่หลอกแล้วยังไง?” เฉินเจียเหอมองเขาด้วยสายตาเฉียบคม “งั้นทำไมนายถึงเข้าหาหลินเยี่ยน?”
หลังจากที่ลู่เจิ้งอวี่ทำงานในห้องเต้นรำได้สองสามเดือน เขาก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่รู้แต่การก้มหน้าก้มตาทำงานงก ๆ อีกต่อไป พอมาอยู่ห้องเต้นรำก็มีพัฒนาการทางวาจา เรียนรู้ที่จะสื่อสารกับผู้อื่น “ฉันไม่ได้มีความตั้งใจที่จะใช้หล่อนเป็นเครื่องมือตบตาให้พ่อแม่สบายใจ ต่อให้พวกเขาจะตั้งความหวังกับฉันก็จริง แต่ถ้าฉันไม่เจอคนที่ฉันชอบ ฉันก็ไม่เห็นแก่ตัวถึงขนาดเล่นกับความรู้สึกของผู้หญิงหรอกนะ”
“แปลว่า นายชอบหลินเยี่ยนงั้นเหรอ?” เฉินเจียเหอเจาะเข้าประเด็นสำคัญของคำถาม พุ่งตรงไปที่ใจความหลัก
ลู่เจิ้งอวี่หน้าแดง ก้มหน้าลงแล้วยอมรับตามตรง “ฉันชอบหล่อนจริง ๆ”
“ชอบอะไรในตัวหล่อนล่ะ?” เฉินเจียเหอถาม
“ฉันคิดว่าหล่อนเป็นคนที่อ่อนโยนและติดดินมาก”
เมื่อลู่เจิ้งอวี่พูดถึงหลินเยี่ยน สายตาก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ยอมรับว่าจุดเริ่มต้นทั้งหมดเป็นเพราะเหล่าฟางหยอกล้อเล่นกันกับเซี่ยไห่ แนะนำให้เขาหาแฟนเป็นพนักงานสาวในร้านตัดผม แน่นอนว่าเขาสะดุดตากับหลินเยี่ยนเป็นคนแรก
เขาเฝ้าสังเกตนิสัยใจคอของหล่อนมาเป็นเวลานาน จนรู้สึกดึงดูดเข้ากับหล่อน
แม้หล่อนจะไม่ใช่คนสวยจัด แต่ก็มีบุคลิกที่อ่อนโยน จริงจังกับงานเสมอ ทำให้เขารู้สึกอยากเอาใส่ใจหล่อนโดยไม่รู้ตัว
ลู่เจิ้งอวี่มองไปที่เฉินเจียเหอ พูดเสียงแผ่วว่า “พี่เฉิน หรือนายคิดว่าฉันไม่คู่ควรจะเป็นน้องเขยของนาย?”
“ทำไมมาถามหาความคู่ควรเอากับฉันล่ะ? ฉันไม่ใช่คนที่ต้องแต่งงานกับนายซะหน่อย”
เฉินเจียเหอบอกว่า “ในเมื่อนายชอบหล่อน ถ้าอย่างนั้นจงตามจีบหล่อนอย่างจริงใจ ถ้าหล่อนมีใจตรงกันกับนายจริง ก็เดินหน้าคบกับหล่อนอย่างจริงจังต่อไปซะ แต่ถ้านายไม่ได้มีความคิดแบบนั้นก็อย่าไปฝืนใจหล่อน เข้าใจไหม?”
ลู่เจิ้งอวี่ไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉินเจียเหอ “แต่พี่สะใภ้ก็แต่งงานกับนายเพราะโดนบังคับเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? สุดท้ายก็เห็นพัฒนาความรู้สึกต่อกันได้ดีนี่นา”
เขาเชื่อมั่นว่าตราบใดที่เขามีความจริงใจเพียงพอ ก็สามารถสร้างความประทับใจต่ออีกฝ่ายได้
คำว่า ‘แต่งงานเพราะโดนบังคับ’ ทำให้สีหน้าของเฉินเจียเหอเข้มขรึมขึ้นทันที เขาโต้แย้งด้วยความโกรธ “ไอ้น้องเวรนี่ คิดจะเลียนแบบฉันหรือไง?”
“ก็นายเป็นไอดอลของฉันนี่”
“พี่สะใภ้นายยอมแต่งงานกับฉันเพราะหล่อนเองก็รักฉันเหมือนกัน ไม่ใช่เพราะการบังคับ” เขาไม่อยากทะเลาะกับอีกฝ่าย จึงไขกุญแจมอเตอร์ไซค์แล้วพาดขายาวคร่อมตัวรถ
“กลับไปเร็วเข้า เหล่าเซี่ยกับจินชานไม่อยู่ที่นั่น นายต้องดูแลกิจการห้องเต้นรำให้ดี”
เฉินเจียเหอขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป ลู่เจิ้งอวี่ก็รีบควบรถจักรยานและขับไล่ตามเขาไปเช่นเดียวกัน
เป็นผลให้ภายในห้าวินาที รถทั้งสองคันก็หายลับสายตาไป
หลังจากผ่านวันอันแสนวุ่นวายทั้งกลางวันและกลางคืน หลินเซี่ยและคนอื่น ๆ ก็มาถึงสถานีรถไฟเทศมณฑลจินซานในตอนเที่ยงของอีกวันหนึ่งในที่สุด
หลังลงจากรถไฟ พวกเขาก็มายืนกันอยู่ตรงประตูทางออก เซี่ยไห่มองไปยังผู้คนที่เดินขวักไขว่อยู่ภายในสถานีรถไฟเทศมณฑลจินซาน แล้วล้อหลินจินซานด้วยรอยยิ้ม “จินซาน จำง่ายเพราะเหมือนชื่อนายเลย”
หลินจินซานอธิบายด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ย่าเคยเล่าให้ฟังว่าตอนที่ท่านตั้งชื่อให้ผม ท่านตั้งชื่อตามชื่อเทศมณฑลของเรา เพราะหวังว่าในอนาคตผมจะทำงานหาเงินได้มากขึ้น”
พอหลินจินซานพูดถึงย่าของเขา อารมณ์ของเขาก็ค่อนข้างซับซ้อน
ย่าเคยเป็นคนหัวโบราณที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาว ดังนั้นก่อนที่ลูกพี่ลูกน้องจะเกิด ย่ารักและเอ็นดูเขามาก ๆ
เขาคิดถึงหญิงชราจริง ๆ แต่เมื่อหวนนึกถึงท่าทางกระแทกแดกดันและวาจาเหน็บแนมไม่หยุดปากของอีกฝ่าย เขาก็เริ่มกลัวการเจอหน้านาง
ขณะนี้ เมื่อยืนอยู่ที่นี่และมองดูบรรยากาศภายในสถานีรถไฟที่ยุ่งวุ่นวาย เขาพลันรู้สึกคิดถึงบ้านขึ้นมา
เขาหนีออกจากบ้านเมื่อปีที่แล้ว ไปจากที่นี่ด้วยความโกรธแค้น
เวลานั้นเงินในกระเป๋าที่เขามีติดตัวช่างน้อยนิด จึงเตร็ดเตร่ไปเรื่อย ๆ เหมือนคนจรจัด
จากนั้นเขาก็ลักลอบขึ้นรถไฟโดยหลบเลี่ยงไม่จ่ายค่าตั๋วโดยสาร เขาจำได้ว่าตัวเองแอบสาบานในใจว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ้านเกิดจนกว่าจะออกไปสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองในโลกภายนอกได้สำเร็จ
ตอนนี้ ผ่านไปกว่าหนึ่งปีแล้ว เขาไม่ได้ประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้ตัวเองก็จริง แต่ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้เกิดขึ้นกับทุก ๆ ด้านของชีวิตเขา
อาจเป็นเพราะทันทีที่เขาตัดสินใจก้าวขึ้นรถไฟและออกเดินทางเมื่อปีที่แล้ว กงล้อแห่งโชคชะตาก็เริ่มหมุนเปลี่ยนตามไปด้วย
เซี่ยไห่ถามพวกเขา “เราควรพักที่โรงแรมก่อนหรือกลับไปที่หมู่บ้านเลย?”
“พักที่โรงแรมสักคืนดีไหม? ถึงยังไงตอนนี้เราก็ไม่มีรอบรถกลับหมู่บ้านอยู่ดี”
ขณะที่พวกเขากำลังคุยกัน โทรศัพท์มือถือของเซี่ยเหลยก็ส่งเสียงดัง
เซี่ยเหลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูและตั้งใจจะกดวาง “ตอนนี้เราอยู่นอกเขต การรับโทรศัพท์อาจเสียเงิน”
เซี่ยไห่บอกว่า “พี่ใหญ่ รับสายเถอะ น่าจะเป็นแม่เราที่โทรมา แค่บอกให้ท่านรู้ว่าเราถึงจุดหมายอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว ไม่เสียเงินมากมายอะไร”
เซี่ยเหลยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องรับสาย
เสียงผู้ชายดังมาจากปลายอีกด้านของโทรศัพท์
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ไม่มีอะไรพ้นสายตาพี่เหอไปได้จริงๆ สหายพี่น้องในกลุ่มคบกับใครก็คือรู้เรื่อง
ใครโทรมาหาเซี่ยเหลยกันนะ?
ไหหม่า(海馬)