ตอนที่ 488 เงินชดเชยชีวิตของพ่อเธอไงล่ะ
ตอนที่ 488 เงินชดเชยชีวิตของพ่อเธอไงล่ะ
หลินเอ้อร์ฝูขมวดคิ้วและโต้กลับ “ทำไมถึงพูดจาสามหาวกับฉันแบบนี้?”
“ย่าผมลำเอียงรักคุณมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตอนนี้พอคุณไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ จากท่าน ก็เลยคิดจะถีบหัวส่งท่านมาให้ผมเหรอ?” หลินจินซานแย้ง
เป็นเรื่องจริงตามคำกล่าวโบราณว่าไว้ ลูกที่ได้รับความโปรดปรานนั้นพึ่งพาในยามยากไม่ได้เป็นที่สุด
“ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องรับท่านไปเลี้ยงดูตอนแก่เฒ่า ถ้าเธอไม่สนใจไยดี ฉันก็จะไม่สนใจไยดีเหมือนกัน ถึงยังไงชาวบ้านคนอื่นก็ไม่หัวเราะเยาะฉันอยู่แล้ว”
หลินเอ้อร์ฝูตัดสินใจเด็ดขาดที่จะผลักหญิงชราไปเป็นภาระของหลินจินซาน เพราะก่อนหน้านี้ที่พวกเขารับหญิงชรามาอยู่ในความดูแลก็เพราะหวังพึ่งอีกฝ่าย
ใครจะไปคิดว่าพวกเขาไม่ได้รับอะไรจากนางเลยในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา เรื่องนี้ทำให้ภรรยาหาเรื่องทะเลาะกับเขาทั้งวัน ส่วนลูกชายของเขาก็เอาแต่บ่น ดังนั้นเพื่อความสามัคคีในครอบครัว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องส่งหญิงชราออกไป
ถึงอย่างนั้น หลิวกุ้ยอิงและหลินจินซานก็แสดงออกชัดเจนว่าพวกเขาไม่สนใจจะแบกรับภาระนี้
แม่เฒ่าหลินในตอนนี้เป็นเหมือนสุนัขจรจัดที่ถูกทอดทิ้ง นางยืนตัวสั่นงกอยู่ตรงนั้น มองดูลูกชายเกี่ยงกับหลานชายว่าใครจะเลี้ยงดูตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
เมื่อหวนนึกถึงอดีตว่าตัวเองถูกเกลี้ยกล่อมและหลอกใช้ด้วยคำพูดหวาน ๆ ของลูกชายคนรอง จนพาลไปโขกสับรังแกหลิวกุ้ยอิง นางก็รู้สึกเสียใจจนอยากจะเอาหัวโขกกำแพง
ไม่มีความผิดใดใหญ่หลวงไปมากกว่านี้แล้ว
ในฐานะพ่อแม่ สิ่งสุดท้ายที่ควรทำคือรักและทะนุถนอมลูกคนหนึ่งมากกว่าลูกอีกคน
นางไม่น่าปฏิบัติต่อลูกสะใภ้ด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์เพราะคิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าเลย
แม่เฒ่าหลินมองไปที่หลิวกุ้ยอิง จากนั้นหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจ
แต่หัวใจของหลิวกุ้ยอิงไม่ได้ถูกรบกวนจนสั่นคลอนแม้แต่นิด
ในที่สุด หลินจินซานก็ทนไม่ไหวแล้ว เขาเดินไปประคองหญิงชรา ครุ่นคิดหาทางอยู่ครู่หนึ่ง พอตัดสินใจได้แล้วก็พูดกับนางว่า
“ย่า พรุ่งนี้ผมจะพาย่าไปหาหมอ รอให้อาการดีขึ้น จากนี้ย่าก็ย้ายออกไปอยู่คนเดียวแล้วกัน”
“ย่าปลูกผักสวนครัวไว้ ผมจะซื้อข้าวกับบะหมี่ไว้ให้ ทำกับข้าวกินเองในแต่ละมื้อ ไม่ต้องง้อคนอื่นอีกต่อไป”
“ดูคุณตาโจวและคุณยายโจวสิ พวกเขาอายุมากกว่าย่าอีก ยังอยู่กันสองตายายตามลำพังมาโดยตลอดได้เลย ย่าเคยชินกับการถูกแม่ผมปรนนิบัติมาหลายปี ก็เลยถือว่าตัวเองมีอำนาจออกคำสั่งและใช้งานท่านอย่างเต็มที่ ในขณะที่อาสะใภ้รองทำตัวไร้ประโยชน์สิ้นดี ตื่นเช้ายังไม่ได้ มีใครดีกับย่าไปมากกว่าแม่ผมบ้าง?”
ย่าของเขาอายุยังไม่ถึงเจ็ดสิบด้วยซ้ำ คนเฒ่าคนแก่วัยนี้ในหมู่บ้านส่วนใหญ่ต่างก็ยังทำงานช่วยเหลือตัวเองได้
อย่างน้อยขอแค่ปลูกผักสวนครัวไว้กินเองและเลี้ยงไก่ การพึ่งพาตนเองก็ไม่น่าจะมีปัญหา
เมื่อแม่เฒ่าหลินได้ยินว่าหลินจินซานบอกให้ตนอยู่คนเดียว นางก็เริ่มร้อนรน “จะให้ย่าอยู่คนเดียวได้ยังไง? ย่าจะออกไปอยู่ไหนได้?”
หลินจินซานบอกว่า “เถี่ยจู้ไม่ต่อสัญญาเช่าบ้านผมแล้ว ย่าย้ายไปอยู่ที่นั่นแล้วเฝ้าบ้านแทนผมแล้วกัน ถ้าผมว่างจะแวะมาหาย่าเป็นครั้งคราว”
หลินเอ้อร์ฝูและภรรยาของเขาที่อยู่ด้านข้างได้ยินว่าครอบครัวของเถี่ยจู้กำลังจะยกเลิกสัญญาเช่าบ้านของหลินจินซาน ทั้งสองก็มองดูด้วยสายตาละโมบ
“ถึงอย่างนั้น มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่ง ถ้าย่าพาครอบครัวของอารองกลับมาอาศัยอยู่ในบ้านของผมอีกครั้ง ครั้งหน้าถ้าผมกลับมา เราสองย่าหลานจะตัดความสัมพันธ์ต่อกันทันที”
หลินจินซานแสดงทัศนคติแข็งกร้าว “ตอนนี้ผมยังเต็มใจที่จะดูแลย่า เหตุผลแรกคือเพื่อเห็นแก่พ่อของผม เหตุผลที่สอง เพราะตอนที่ผมยังเด็ก ย่ารักและเอ็นดูผมมาก หลานคนนี้ใจแข็งทอดทิ้งย่าไม่ได้จริง ๆ แต่ถ้าอีกหน่อยย่ายังกลับไปยุ่งกับพวกเขาอีก หรือร่วมมือกับพวกเขาในการทำร้ายพวกเรา ผมจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย แม้แต่พ่อผมก็จะไม่เห็นแก่เขา”
แม่เฒ่าหลินพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “จินซาน ย่าจะทำอย่างที่เธอบอก ก่อนหน้านี้ย่าสับสนไปเอง เป็นย่าเองที่ทำผิด”
จากนี้ไปต่อให้นางจะถูกทุบตีจนตาย นางก็จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับครอบครัวของลูกชายคนรองอีก
ความรู้สึกอดอยากเป็นอะไรที่น่าอึดอัดเกินไป
ภาพยามถูกลูกสะใภ้ชี้หน้าดุด่าในแต่ละวันช่างเป็นสิ่งที่เกินจะรับไหว
แม่เฒ่าหลินกลัวว่าหลินจินซานจะเปลี่ยนใจ ดังนั้นจึงวิ่งกลับเข้าไปในบ้านด้วยเท้าเล็ก ๆ
“รอเดี๋ยวนะ ย่าจะเข้าไปเก็บของเดี๋ยวนี้”
นางแทบรอไม่ไหวที่จะหนีออกจากถ้ำหมาป่า
หญิงชราวิ่งเข้าไปในห้องด้านข้าง เก็บรวบข้าวของของตัวเอง ส่วนหวังจวี๋เซียงเดินตามเข้าไปแล้วคว้าถุงผ้าของนาง ถามอย่างร้อนใจ “แม่จะเอาอะไรไปบ้าง?”
“เสื้อผ้าเก่า ๆ ขาด ๆ ของฉันไงล่ะ จะให้เอาอะไรติดตัวไปได้อีก?” แม่เฒ่าหลินพูดพลางเปิดถุงผ้าออกเพื่อยืนยัน
เมื่อหวังจวี๋เซียงไม่เห็นสิ่งของมีค่าใด ๆ ในถุงผ้า ดวงตาของหล่อนก็ขยับไหวเล็กน้อย ก่อนจะพูด
“ก่อนจะไป แม่เอาเงินมาให้พวกเราด้วย”
แม่เฒ่าหลินก้าวถอยหลัง มองดูหล่อนอย่างระมัดระวัง “เงินอะไร? ฉันจะเอาเงินที่ไหนมาให้?”
หวังจวี๋เซียงอดไม่ได้ที่จะตอบโต้ “พวกเราปรนนิบัติรับใช้แม่มาตั้งนาน ลืมแล้วเหรอว่าตัวเองกินข้าวในแต่ละมื้อเพราะใครหาเลี้ยง? ไม่เห็นเหรอว่าชีวิตของเราลำบากแค่ไหน? หลินจินซานเอาแต่พูดว่าแม่ลำเอียงรักพวกเรา? ลำเอียงแบบไหนกัน? เห็นไหมว่าพวกเราอัตคัตแค่ไหน?”
“นั่นเป็นเพราะพวกแกมันขี้เกียจสันหลังยาว ทำไมถึงมาตำหนิฉันล่ะ? เจ้าใหญ่สร้างบ้านหลังนั้นได้ก็เพราะเงินของเขาเอง ไม่ใช่เพราะฉัน”
ยามรับรู้ว่าหลินจินซานและหลิวกุ้ยอิงอยู่ข้างนอก แม่เฒ่าหลินก็กลับมามีความมั่นใจ กอดถุงผ้าไว้แนบอกและพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ฉันไม่มีเงินให้พวกแก แม้แต่ชีวิตก็อย่าหวังเลยว่าพวกแกจะได้ไป”
หลินจินซานเดินไปข้างหน้า หยิบของมาจากมือของหญิงชราและช่วยประคองนางออกไป “หวังจวี๋เซียง คุณมันไม่มีปัญญาทำมาหากินเอง ย่าผมเหลือแค่กระดูกกับเนื้อหนังเหี่ยว ๆ แล้วยังจะเหลืออะไรให้เคี้ยวอีก? พวกคุณปลูกบ้านในที่ดินของท่านนี่ จากนี้ฉันจะไปหาหัวหน้าหมู่บ้าน แล้วยึดเอาที่ดินของท่านคืนมา”
“แก…” หลินเอ้อร์ฝูเริ่มวิตกกังวลเมื่อได้ยินว่าถิ่นฐานเดียวของเขากำลังจะถูกพรากไป “แม่ แม่จะใจร้ายกับพวกเราขนาดนั้นไม่ได้ ถ้าปล่อยให้หลานแม่ยึดที่ดินผืนนี้คืน แล้วจะให้พวกเราดื่มลมตะวันตกเฉียงหรือไง?”
แม่เฒ่าหลินมองดูหลินเอ้อร์ฝูด้วยสีหน้าเศร้าหมองอย่างยิ่ง “แกสร้างบ้านในที่ดินของฉัน แต่แกกลับปล่อยให้ฉันต้องอยู่อย่างอดอยาก แกมันไม่ใช่ลูกฉัน แต่เป็นไอ้หมาป่าตาขาว”
หลินเอ้อร์ฝูข่มขู่ว่า “งั้นก็อย่าหวังเลยว่าผมจะฝังแม่หลังจากแม่ตาย”
หลังจากทนอดอยากมาครึ่งปี แม่เฒ่าหลินก็ได้รู้แจ้ง “ตอนที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ แกยังขับไล่ไสส่งฉันขนาดนี้ ถ้าฉันตายคนอย่างแกน่ะหรือจะฝังศพให้ฉัน ถ้าไม่คิดจะฝังก็ปล่อยให้มันเน่าเหม็นไปซะ แกต่างหากที่จะเดือดร้อน ฉันตายไปแล้วย่อมไม่รับรู้อะไร”
“จินซาน รีบออกไปเถอะ”
นางออกจากบ้านของลูกชายคนรองอย่างรวดเร็วราวกับหนีเอาชีวิตรอด
พ่อของเถี่ยจู้บอกว่าพวกเขาจะไม่เช่าบ้านหลังนี้อีกต่อไป จึงเก็บข้าวของไว้รอเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ให้หลินจินซานคืนเงินค่าเช่า
เมื่อหลินจินซานและคนอื่น ๆ กลับเข้ามา ครอบครัวของเถี่ยจู้ก็ย้ายที่นอนหมอนมุ้งและเครื่องใช้อื่น ๆ ออกไปหมดแล้ว
ตอนนั้นพวกเขาย้ายเข้ามาอยู่พร้อมกับกระเป๋าใบเดียว เครื่องเรือนทั้งหมดเป็นของตระกูลหลิน
ของใช้ต่าง ๆ เลยถูกเก็บรวบรวมอย่างรวดเร็ว
ครอบครัวเถี่ยจู้ติดต่อขอค่าเช่าที่เหลือคืนจากหลินจินซาน
หลินจินซานแตะกระเป๋าสตางค์ตัวเอง แล้วหันมองหลิวกุ้ยอิงด้วยสีหน้าลำบากใจ “แม่ ผมพกเงินสดมาไม่พอ”
เขาต้องคืนเงินให้อีกฝ่ายเป็นจำนวนสองร้อยหยวน แต่เขามีเงินสดอยู่ในกระเป๋าแค่แปดสิบหยวนเท่านั้น
ขณะที่หลิวกุ้ยอิงกำลังควานหาเงินจากกระเป๋าของตัวเอง จู่ ๆ แม่เฒ่าหลินก็โพล่งขึ้นมา “ฉันมี ฉันจะจ่ายให้เขา”
แม่เฒ่าหลินหันหลังกลับ เลิกเสื้อคลุมตัวใหญ่ขึ้นจนเห็นกระเป๋าที่เย็บไว้บริเวณสะดือด้านใน กระเป๋านั้นนูนออกมาเล็กน้อย นางแก้ด้ายที่เย็บปากกระเป๋าแล้วหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา
ครอบครัวของเถี่ยจู้จ่ายค่าเช่าให้เขาล่วงหน้าหนึ่งปี แต่เขาอาศัยอยู่ที่นี่แค่สี่เดือน ต้องได้รับเงินคืนสองร้อยหยวน
ทันทีที่พ่อของเถี่ยจู้จากไป หลินจินซานก็ปิดประตูบ้าน มองดูเงินก้อนจำนวนหนึ่งในมือของแม่เฒ่าหลิน ถามด้วยความประหลาดใจ “ย่าไปเอาเงินพวกนี้มาจากไหน?”
แม่เฒ่าหลินมองดูเงินในมือ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ก่อนจะร้องไห้อย่างเศร้าใจ
“เงินชดเชยชีวิตของพ่อเธอไงล่ะ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
นับว่าแม่เฒ่ายังมีบุญอยู่นะที่ยังกลับตัวกลับใจได้ แต่ก็อย่าเอาเปรียบหลานชายกับสะใภ้ใหญ่อีกล่ะ
ไหหม่า(海馬)