ตอนที่ 489 แนวคิดชายเป็นใหญ่
ตอนที่ 489 แนวคิดชายเป็นใหญ่
นางมองหลินจินซานและหลิวกุ้ยอิง พูดทั้งน้ำตาว่า “จินซาน กุ้ยอิง ฉันไม่ได้ให้เงินจำนวนนี้แก่เอ้อร์ฝูเลย ฉันรู้ดีว่าพวกเขาหวังเงินจำนวนนี้ ดังนั้นพวกเขาถึงได้ดีกับฉันมาก ช่วงปีใหม่ปีที่แล้วพวกนั้นบอกว่าไม่มีเงินซื้อของปีใหม่ ฉันโดนรบกวนจนอดทนไม่ได้ ต้องแบ่งเงินให้ไปหนึ่งร้อยหยวน ปีนี้ก็มาขอเงินอีก แต่ฉันไม่ยอมให้ อาสะใภ้รองของเธอเลยไม่ยอมแบ่งข้าวปลาอาหารให้ฉันกิน ฉันจึงต้องทนอดอยากปากแห้งทุกวัน”
หญิงชราปาดน้ำตา มองดูเงินในมือ หัวใจพลันเต้นรัว
“เงินนี้เป็นค่าชดเชยการตายของพ่อเธอ ฉันเก็บมันไว้ตลอด ตั้งใจว่าจะมอบให้ตอนที่เธอแต่งงาน ไม่มีใครแย่งชิงเงินนี้ไปได้ทั้งนั้น ฉันสงวนไว้ให้หลานชายของฉันคนเดียว”
นางนับเงิน เมื่อเห็นว่ามันมีมูลค่ารวมกันสองพันเก้าร้อยหยวนก็มอบมันทั้งหมดให้กับหลินจินซาน “ในเมื่อเธอกลับมาแล้ว ฉันจะให้เงินจำนวนนี้กับมือเธอแล้วกัน”
แม่เฒ่าหลินยื่นเงินให้หลินจินซาน จากนั้นก็มองหลิวกุ้ยอิงแล้วอธิบายว่า “กุ้ยอิง อย่าตำหนิฉันเลยนะ แม่ของจินซานเสียชีวิตก่อน ตอนนี้ต้าฝูก็มาจากไปอีกคน ทำให้เธอต้องกลายเป็นแม่ม่ายลูกติด ในฐานะย่าของเขา ฉันมีปัญญาทำได้แค่นี้ ก็คือเก็บซ่อนเงินนี้ไว้ให้มั่นเพื่อรอวันมอบให้เป็นสินสอดของเขา”
หลิวกุ้ยอิงมองดูหญิงชรามอบเงินให้หลินจินซานกับตา แต่ในใจกลับไม่มีความสุขเลย เพราะหญิงชราปฏิบัติต่อหล่อนเหมือนเป็นคนนอก
ตรงกันข้าม มุมมองของหล่อนที่มีต่อหญิงชรากลับเปลี่ยนไป
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับอีกฝ่ายเลยที่จะเก็บซ่อนเงินจำนวนนี้ไว้โดยไม่ให้หลินเอ้อร์ฝูและภรรยาของเขาแย่งชิงไปได้
ในที่สุดนางก็ตาสว่างได้สักที
แม่เฒ่าหลินพูดด้วยความโกรธกับหลินจินซานว่า “ตอนเสิ่นอวี้อิ๋งยังอยู่ที่บ้านของเรา หล่อนบอกว่าเธอแอบดูหล่อนตอนนอนหลับ ตอนนั้นฉันโกรธมาก โกรธเพราะอับอายที่หลานชายตัวเองไม่รักดี แต่หลังจากที่เธอหนีออกจากบ้าน ต่อให้หล่อนจะมาเอาใจฉันขนาดไหน ฉันก็ไม่ได้ให้เงินกับหล่อนสักแดงเดียว ไม่ว่าเธอจะไร้ความสามารถแค่ไหน เธอก็ยังเป็นลูกชายของตระกูลเรา เป็นความหวังของครอบครัวในอนาคต
แม่เธออุตส่าห์ทำงานอย่างหนักเพื่อสนับสนุนให้นังเด็กนั่นเรียนหนังสือ แต่ฉันไม่ยอมใช้เงินที่พ่อเธอหามาทั้งชีวิตไปกับหล่อนหรอก ผู้หญิงเรียนสูงไปจะมีประโยชน์อะไร อีกหน่อยหล่อนก็ต้องแต่งงานเข้าตระกูลคนอื่นไม่ใช่เหรอ? ฮึ่ม ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ แม่เธอทำงานหนักหาเงินมาเลี้ยงดูลูกสาวคนอื่นแท้ๆ”
แม่เฒ่าหลินหาเหตุผลให้ตัวเอง “ฉันไม่ได้ชอบหลานชายมากไปกว่าหลานสาวหรอก แต่ฉันขอเก็บเงินนี้ไว้ให้เธอได้ไหม? ฉันไม่ขอมอบเงินให้น้องสาวสองคนของเธอ เพราะเธอคือมรดกชิ้นเดียวที่พ่อทิ้งไว้ให้ ดังนั้นเธอควรสืบสานเจตนารมณ์ของพ่อตัวเอง”
แม้ว่าหลินจินซานจะไม่เห็นด้วย แต่เขาก็ไม่สามารถโต้แย้งกับหญิงชรา ถึงอย่างไรในพื้นที่ชนบท เด็กผู้ชายก็มีหน้าที่หลักในการรับผิดชอบดูแลผู้สูงอายุและกราบไหว้บูชาบรรพบุรุษอยู่แล้ว
ถึงแม้จะได้รับสิทธิ์พิเศษบางอย่าง แต่ก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบเช่นกัน
เมื่อแม่เฒ่าหลินพูดมาถึงตรงนี้ นางก็นึกถึงหลินเซี่ย จึงถามหลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ
“เซี่ยเซี่ยนังเด็กปากร้ายนั่นเป็นยังไงบ้าง? หล่อนยังอยู่ดีมีสุขกับเฉินเจียเหออยู่หรือเปล่า? โจวลี่หรงรังแกหล่อนไหม?”
หลิวกุ้ยอิงตอบว่า “เธอไม่ถูกรังแกแล้วค่ะ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามอัตภาพ”
เมื่อแม่เฒ่าหลินพูดถึงหลินเซี่ย ถึงแม้คำพูดคำจาจะไร้เยื่อใย แต่ก็ยังโล่งใจที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายสบายดี กระนั้นสีหน้าก็ยังไม่สู้ดีเหมือนเดิม “มีความสุขก็ดีไป”
“เสี่ยวเยี่ยนก็อีกคน หล่อนโตพอที่จะออกเรือนได้แล้ว ได้ยินมาว่าความรักแบบหนุ่มสาวสมัครใจรักใคร่กันเองกำลังเป็นที่นิยมในเมือง พวกเธอควรจับตาดูหล่อนไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้หล่อนหนีตามคนอื่น แล้วถ้าหล่อนมีคู่ครอง อย่าลืมถามหาสินสอดจากฝ่ายชายด้วย”
ยิ่งหลินจินซานฟังมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจมากขึ้นเท่านั้น ขัดจังหวะหญิงชราแล้วพูดว่า
“ย่า ดูแลตัวเองก็พอแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราหรอก”
หลินจินซานมองผู้เป็นย่าด้วยความโกรธระคนสะเทือนใจ
เขารู้สึกประทับใจมากที่หญิงชราสามารถเก็บรักษาเงินชดเชยชีวิตของพ่อเอาไว้ได้ ซึ่งพิสูจน์ว่าอย่างน้อยหญิงชราก็ไม่ได้สับสนขนาดนั้น
แต่นั่นก็เป็นเพราะนางรักเขาแค่คนเดียว หลิวกุ้ยอิงหรือแม้แต่น้องสาวทั้งสองคนของเขาล้วนเป็นคนนอกในสายตาของนาง แถมยังหวังผลประโยชน์จากพวกหล่อนเหมือนขโมย
แม่เฒ่าหลินบอกว่านางหิวไส้กิ่ว ครั้นครอบครัวของเถี่ยจู้รีบร้อนเก็บข้าวของแล้วทิ้งซาลาเปาสองลูกไว้ในครัว นางก็หยิบมันขึ้นมากินอย่างมูมมาม
หลังจากอิ่มท้องแล้ว นางจึงถามหลินจินซานว่า “ทำไมจู่ ๆ ถึงกลับมากันล่ะ?”
หลินจินซานไม่ได้บอกความจริง เพียงหาข้ออ้างอื่นมาตอบกลับ “ครอบครัวของเถี่ยจู้ติดต่อมาว่าพวกเขาจะไม่เช่าบ้านหลังนี้อีกต่อไป ผมเลยกลับมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ก็เพราะฝีมือของนังหวังจวี๋เซียงยังไงล่ะ หล่อนมันไม่ใช่คน จงใจไปที่หน้าบ้านพวกเขาตอนกลางคืนแล้วสาดสิ่งปฏิกูลใส่เพราะอยากปัญหาและขับไล่ครอบครัวของเถี่ยจู้ให้ออกไปซะ”
เมื่อพูดถึงหลินเอ้อร์ฝูและภรรยาของเขา แม่เฒ่าหลินก็กัดฟันด้วยความเกลียดชัง “อารองเธออยากให้ฉันควักเงินจำนวนนี้ออกมาเพื่อสร้างบ้านหลังใหม่ให้เขา พอฉันไม่ยอม พวกเขาก็เริ่มทำร้ายฉันสารพัด ฮือๆ ฉันเลี้ยงหมาป่าตาขาวไว้ใกล้ตัวจริง ๆ”
นางตบต้นขาตัวเองด้วยความผิดหวัง เต็มไปด้วยความเสียใจ
แม่เฒ่าหลินมองไปที่หลิวกุ้ยอิง ยอมรับความผิดพลาดของตัวเองอย่างจริงใจ
“กุ้ยอิง ฉันเคยเป็นคนหนึ่งที่ทำผิดกับเธอเอาไว้มากนัก แต่ตอนนี้ฉันมาลองคิดดูแล้ว คงจะดีมากถ้าเธอยังอยู่กับฉัน”
ใบหน้าของหลิวกุ้ยอิงซีดเซียว ไม่รู้สึกอ่อนไหวไปกับความสำนึกผิดในเวลาที่สายเกินไปของหญิงชราเลย
จากนี้ไปหล่อนจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ มีครอบครัวเป็นของตัวเอง และจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับอดีตแม่สามีคนนี้อีกต่อไป
หลินจินซานเต็มใจที่จะเลี้ยงดูย่าของเขา หล่อนย่อมสนับสนุน แต่ไม่ได้นึกอยากมีส่วนร่วม
แม่เฒ่าหลินถามหลิวกุ้ยอิงอย่างสงสัย
“หลังจากเธอเข้าเมืองแล้วไปทำอะไร? หารายได้จากข้างนอกเลี้ยงตัวเองได้ไหม? ถ้าชีวิตข้างนอกมันยากลำบากเกินไปก็อย่าออกไปอยู่ที่อื่นเลย กลับมาอยู่ที่บ้านเกิดของเราดีกว่า รอจินซานหาเงินจากข้างนอกได้ เราค่อยช่วยกันหาภรรยาให้เขา พอเขาแต่งงานและมีลูกก็อยู่เลี้ยงหลานที่บ้าน”
ทัศนคติของหลิวกุ้ยอิงยังคงความสุภาพทว่าห่างเหิน “ฉันยังอายุไม่มากอะไร หาเงินเลี้ยงตัวเองข้างนอกได้ ไม่จำเป็นต้องเห็นแก่หน้าใคร ถ้าฉันยังอยู่ที่นี่ ฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงโง่เขลาที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับชะตากรรม ในอนาคตถึงจินซานแต่งงานและมีลูก ต่อให้ฉันต้องดูแลพวกเขา ฉันก็จะตามพวกเขาไปอยู่ในเมือง”
หลิวกุ้ยอิงไม่มองหน้านางเลย แม่เฒ่าหลินก็ไม่กล้าวางอำนาจสอนสั่งหล่อนเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นจึงได้แต่นิ่งเงียบไว้
หลินจินซานรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นทัศนคติของหลิวกุ้ยอิงที่มีต่อย่าของเขา หลังจากผ่านไปยี่สิบปี ในที่สุดหล่อนก็รู้วิธีที่จะต่อต้านหญิงชรา
ย่าของเขาวางตัวเหมือนเป็นเจ้าชีวิต เหมือนเป็นเจ้าของที่ดินที่คนนอกมาอาศัยอยู่ นั่นคือสิ่งที่หลิวกุ้ยอิงคุ้นเคย!
ยิ่งคนคนนั้นถูกปรนนิบัติและเอาใจใส่มากเกินไป ก็ทำให้สูญเสียความสามารถขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต รู้แค่วิธีอ้าปากเพื่อกินอาหาร
หลินจินซานพูดกับหญิงชราอย่างจริงจัง “ย่า อีกหน่อยย่าต้องขยันให้มากขึ้น เลี้ยงไก่ ปลูกผักในสวนผักข้างลานบ้านของเรา ส่วนที่ดินที่ผมปล่อยเช่า ผมจะบอกพวกเขาให้รับรู้ทั่วกันว่าจากนี้ไปไม่ต้องจ่ายเงินให้ผมอีก แค่แวะเวียนเอาข้าวสารอาหารแห้งมาฝากย่าก็พอ ค่าเช่าที่แปลงเป็นอาหารพวกนั้นเพียงพอประทังชีพได้ตลอดทั้งปี สิ่งที่ผมทำนับว่าชอบธรรมที่สุดแล้ว พอจะช่วยให้วิญญาณพ่อบนสวรรค์หมดห่วงได้”
ทัศนคติของหลินจินซานแข็งแกร่ง แม่เฒ่าหลินจึงไม่กล้าทำตัวขวางโลกอีกต่อไป ยอมพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “จินซาน ฉันจะปลูกผักไว้เลี้ยงตัวเองในอนาคต”
หลินจินซานบอกว่า “พรุ่งนี้ผมจะพาย่าเข้าเมือง แล้วไปรับยามาให้ย่านะ”
“อืม”
หลังจากที่หญิงชราตกลงแล้ว หลินจินซานก็วางแผนที่จะไปหาเพื่อนบ้านเพื่อถามหาบ้านที่พอจะแบ่งขายบะหมี่ให้ได้ ซื้อบะหมี่ครึ่งถุงมาติดบ้านไว้ให้หญิงชราก่อน
ช่วงฤดูเกษตรกรรมสิ้นสุด ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่เกษตรกรจะกินอยู่อย่างร่ำรวยแล้ว
ทันทีที่หลินจินซานจากไป หลิวกุ้ยอิงก็วางแผนที่จะจากไปเช่นกัน
“เธอจะไปไหน?” แม่เฒ่าหลินถามอย่างเร่งรีบ
หลิวกุ้ยอิงบอกว่า “จะไปเยี่ยมบ้านตระกูลโจวหน่อยค่ะ”
“กุ้ยอิง อย่าเพิ่งไป”
แม่เฒ่าหลินหยุดหลิวกุ้ยอิงไว้ จากนั้นมองหน้าหล่อนอย่างจริงใจและพูดว่า “กุ้ยอิง ฉันคิดได้แล้ว ในเมื่อเธอยังอายุไม่มาก อีกอย่างต้าฝูก็มาด่วนจากก่อนตั้งสามปี ฉันว่าบางทีเธออาจไม่ต้องอยู่เป็นม่ายตัวคนเดียวไปตลอดหรอก…”
สีหน้าของหลิวกุ้ยอิงสว่างขึ้นเล็กน้อย หลังจากได้ยินสิ่งที่หญิงชราพูด
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ตัดแล้วตัดให้เด็ดขาดไปเลยค่ะคุณแม่ จะได้หลุดพ้นอดีตสักที
ไหหม่า(海馬)