ตอนที่ 504 ไปจดทะเบียนวันมะรืน
ตอนที่ 504 ไปจดทะเบียนวันมะรืน
ไม่นานนักรถก็แล่นมาจอด เฉินเจียเหอเริ่มทยอยขนของลง
เมื่อหู่จือเห็นหลินเซี่ย เขาก็รีบวิ่งไปหาอย่างมีความสุข “แม่ฮะ ผมคิดถึงแม่มากเลย”
หลินเซี่ยกอดเขา “แม่ก็คิดถึงลูกเหมือนกันจ้ะ”
หู่จือเงยหน้าขึ้นมองพวกเขา แล้วพูดอย่างชัดเจนว่า “ตา ยาย ผมก็คิดถึงพวกคุณเหมือนกันฮะ”
“เราก็คิดถึงเธอจ้ะ”
หลิวกุ้ยอิงถามเบา ๆ “หู่จืออยู่ที่บ้านเชื่อฟังยายทวดหรือเปล่า?”
หู่จือตอบกลับ “ผมเชื่อฟังเป็นอย่างดีเลยครับ อาสามกับน้าอวี่เฟยยังพาผมออกไปพายเรือที่สวนสาธารณะด้วย”
“ไป เข้าไปกันเถอะ”
“มาสิ ตาขอจูงมือหน่อย”
เซี่ยเหลยเดินนำหู่จือกลับเข้าไปในบ้านอย่างมีความสุข
คุณแม่เซี่ยรู้สึกสบายใจเมื่อเห็นว่าพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย
“เดินทางราบรื่นดีหรือเปล่า?” นางถามอย่างรีบร้อนหลังจากเข้าไปในบ้านแล้ว
เซี่ยเหลยตอบ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับแม่ หลังจากที่พวกเราเผากระดาษให้พี่หลินแล้ว เราก็ไปพักค้างแรมคืนหนึ่งที่บ้านคุณตาคุณยายของเจียเหอ”
“ตายายทั้งสองคนสุขภาพแข็งแรงดีไหม?” คุณแม่เซี่ยถามด้วยความกังวล
“พวกเขาแข็งแรงดีครับ อีกไม่กี่วันลุงกับน้าสะใภ้น่าจะพาพวกเขามาที่ไห่เฉิงแล้ว”
เฉินเจียเหอได้ยินคำพูดของหลินเซี่ย จึงมองหน้าเธออย่างนึกยินดี “คุณโน้มน้าวพวกเขาให้มาที่ไห่เฉิงได้จริง ๆ เหรอ?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “ใช่ค่ะ พวกเขาตกลงรับคำทันทีที่ฉันเชิญพวกเขา และเต็มใจมากที่จะมางานแต่งงานของเรา”
เฉินเจียเหอยกนิ้วให้หลินเซี่ยอย่างเงียบ ๆ
“ภรรยาผมยอดเยี่ยมมาก”
เซี่ยไห่ไม่อาจทนต่อความชื่นชมอย่างไร้เหตุผลของเฉินเจียเหอที่มีต่อหลินเซี่ยได้ เขาพูดว่า “ยอดเยี่ยมอะไรกันล่ะ? นายรู้หรือเปล่าว่าหล่อนไปโน้มน้าวผู้ใหญ่ทั้งสองด้วยวิธีไหน?”
เฉินเจียเหอมองดูภรรยาของเขาอย่างชื่นชมและเชื่อมั่น แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องใช้วิธีโน้มน้าวอะไรซะให้ยาก ตายายของฉันต้องยอมรับคำเชิญของเซี่ยเซี่ยโดยไม่มีเงื่อนไขแน่อยู่แล้ว”
เขารู้ว่าผู้เฒ่าทั้งสองรักเซี่ยเซี่ยมากแค่ไหน
เมื่อเธอออกปากเชิญด้วยตัวเอง ชายและหญิงชราย่อมไม่ปฏิเสธเป็นธรรมดา
เซี่ยไห่มองไปที่แม่ผู้ชราของเขา และพูดด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ
“หล่อนบอกว่า ถ้าพวกเขาไม่ยอมมาร่วมงานง่าย ๆ แสดงว่าญาติทางฝั่งของเฉินเจียเหอไม่มีความจริงใจ และแม่ฉันจะโกรธมากจนไม่ยอมให้งานแต่งงานเกิดขึ้น”
คุณแม่เซี่ยตาโต “!!!”
นางตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเซี่ยไห่หมายถึงอะไร จึงพยักหน้าอย่างจริงจัง “เซี่ยเซี่ยพูดถูก นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดไว้ในตอนแรกจริง ๆ”
เซี่ยไห่ “!!!”
“ฉันได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับงานแต่งงานอันเรียบง่ายที่จัดขึ้นในชนบทก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว รู้มาว่าไม่มีผู้ใหญ่คนไหนจากฝ่ายของเจียเหอเข้าร่วมแสดงความยินดีเลย ต่อมาแม่ของเจียเหอยังบุกมาคัดค้านการแต่งงานและอยากส่งเซี่ยเซี่ยกลับไปที่บ้านเดิมของพ่อแม่อีก เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดลอยมาเข้าหูพวกเราทุกคนแล้ว คราวนี้ถ้าผู้ใหญ่และญาติ ๆ ของฝั่งเจียเหอยังไม่ยอมมาร่วมเพื่อแสดงความจริงใจอีก อย่าหวังเลยว่างานแต่งจะยังจัดตามเดิม เซี่ยเซี่ยของเราอายุแค่ยี่สิบปีเท่านั้น ตอนนี้หล่อนได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของเราอย่างเต็มที่ หล่อนไม่ใช่คนไร้ญาติขาดมิตรเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ต่อให้หล่อนไม่แต่งงาน พวกเราก็มีปัญญาส่งเสียเลี้ยงดูหล่อนได้”
หลินจินซานเตือนว่า “คุณยายครับ แต่พวกเขาจดทะเบียนสมรสกันแล้ว อย่าพูดอะไรแบบนี้เลยดีกว่า”
นอกจากนี้พวกเขายังคบกันมานานเกือบปี เรื่องหย่าจะทำได้ง่าย ๆ เหรอ?
คุณแม่เซี่ยพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “จดทะเบียนสมรสแล้วยังไง? นั่นก็ไม่ต่างจากการลงนามในกระดาษแผ่นหนึ่งหรอกเหรอ”
“เจียเหอ ถ้าครอบครัวเธอยังไม่จริงจังกับการแต่งงานในครั้งนี้ ฉันคงไม่อนุญาตให้หลานสาวฉันแต่งงานกับเธอ และให้หล่อนติดตามอาหญิงไปทำงานในกองถ่ายเสีย ยิ่งตอนนี้หล่อนเปิดร้านถึงสองสาขา เป็นคนสวย รวย เก่ง และยังอ่อนเยาว์ ถ้าหล่อนเริ่มต้นอาชีพอนาคตมีแต่จะสดใส ในขณะที่เธอจะกลายเป็นพ่อม่ายไร้คนเหลียวแล”
คำพูดของคุณแม่เซี่ยข่มขู่เฉินเจียเหอไปในตัว
แม้ว่าเฉินเจียเหอจะเป็นคนที่น่าเชื่อถือมากขนาดไหน แต่คุณแม่เซี่ยก็ยังโกรธมากเมื่อคิดถึงความเป็นจริงที่ว่าครั้งหนึ่งครอบครัวพวกเขาเคยไม่ชอบหลานสาวของตัวเอง เพราะถือว่าตัวเองเป็นครอบครัวอดีตข้าราชการทหารผู้สูงส่ง
ลูกหลานใคร ใครไม่หวงแหนบ้าง?
เฉินเจียเหอแสดงจุดยืนของเขาอย่างเคร่งขรึม “คุณย่าครับ ผมจะจัดเตรียมเรื่องงานแต่งงานอย่างรอบคอบที่สุด ปู่ของผมและคนอื่น ๆ เองต่างก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเรื่องนี้ ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะจัดงานแต่งอย่างยิ่งใหญ่ให้สมเกียรติกับเซี่ยเซี่ยแน่นอน”
“จะยิ่งใหญ่หรือเปล่าไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งสำคัญคือต้องคำนึงถึงหล่อนเข้าไว้ และแสดงความจริงใจต่อการแต่งงานให้มาก ผู้ชายแต่งแค่ภรรยาเข้าบ้าน แต่ผู้หญิงแต่งงานกับพวกเธอทั้งครอบครัว ถ้าครอบครัวของเธอไม่เอาใจใส่มากพอ เราเองก็คงไม่สบายใจเหมือนกัน”
“ผมเข้าใจแล้วครับ”
“เอาล่ะ ฉันเตรียมอาหารไว้แล้ว นานครั้งจะเป็นเรื่องยากที่พวกเราได้อยู่กันพร้อมหน้าแบบนี้ มากินข้าวด้วยกันเถอะ”
เย่ไป๋บอกว่าเขาต้องกลับไปเข้าเวรที่โรงพยาบาล ถ้าอยู่ร่วมโต๊ะอาหารด้วยอาจจะสายเกินไป เขาจึงวางแผนว่าจะไปถึงที่ทำงานก่อนเวลาเพื่อซื้อข้าวจากโรงอาหาร
เย่ไป๋พูดว่า “ผมไปก่อนนะครับ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ พรุ่งนี้ถ้าผมว่างเมื่อไหร่จะแวะมาเยี่ยมครับ”
เซี่ยเหลยตอบกลับ “ไปเถอะ อย่าเสียเวลาทำงานทำการเลย”
เซี่ยอวี่ออกไปส่งเขาที่หน้าประตูด้วยความเอาใจใส่ กำขับให้เขานอนพักผ่อนให้มากขึ้นในตอนกลางคืนเมื่อเขาว่างเว้นจากงาน เมื่อคืนเขานอนไม่หลับ หล่อนจึงกลัวว่าคืนนี้เขาจะไม่สามารถทำงานกะกลางคืนได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ดวงตาของเย่ไป๋จับจ้องไปที่หล่อนอยู่เสมอ ในที่สุดเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพังนอกประตู จู่ ๆ เย่ไป๋ก็เลื่อนหน้าเข้ามาใกล้หูของหล่อน พูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวว่า “ตอนนี้เซลล์สมองของผมกระตือรือร้นและกระชุ่มกระชวยมาก ผมไม่รู้สึกง่วงนอนเลย กลัวว่าตลอดทั้งคืนนี้จะคิดถึงคุณจนนอนไม่หลับมากกว่า”
“ไม่ต้องห่วง ผมก้าวขาเหยียบโรงพยาบาลเมื่อไหร่ ความจริงจังและความเป็นมืออาชีพจะกลับมาเอง”
ก่อนที่เย่ไป๋จะขึ้นควบมอเตอร์ไซค์ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็เข้ามาใกล้และชี้นิ้วที่แก้มตัวเอง
เซี่ยอวี่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “อะไร?”
“จูบลาหน่อยสิ”
เซี่ยอวี่มองไปที่ชายหนุ่มผู้กำลังเรียกร้อง เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่าเขาและชายหนุ่มผู้เคร่งขรึมเย็นชามากในตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรกจะเป็นคนคนเดียวกัน
หล่อนรู้ดีว่าถ้าตัวเองไม่จูบแก้มเขาในวันนี้ เขาคงไม่มีทางจากไปง่าย ๆ
จึงชะโงกตัวไปจูบเขาอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ รีบไปได้แล้ว”
เนื่องจากหล่อนทาลิปสติก ถึงแม้จูบนั้นจะไม่ได้ออกแรงกดมากมายอะไร แต่ก็ยังทิ้งรอยลิปสติกที่ชัดเจนไว้บนแก้มของเขา
ตอนแรกเซี่ยอวี่ตั้งใจจะบอกให้เขาเช็ดมัน แต่เมื่อมองไปที่ชายตรงหน้า นัยน์ตาของหล่อนก็ขยับวูบไหวเล็กน้อย ก่อนจะเกิดความคิดอยากกลั่นแกล้งขึ้นมา
“กลับไปทำงานเร็วเข้า”
หล่อนมองเขาด้วยรอยยิ้มพร้อมกับโบกมือให้
เย่ไป๋ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปด้วยความพึงพอใจ
ระหว่างรับประทานอาหารเย็น คุณแม่เซี่ยมองไปที่หลินจินซาน และถามด้วยความเป็นห่วงว่า “จินซาน ครอบครัวฝั่งพ่อเธอไม่ได้สร้างปัญหายุ่งยากให้กับเธอใช่ไหม?”
“ไม่ครับ ผมกับแม่ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว พวกเขาหาเรื่องมารังแกเราไม่ได้”
หลินจินซานจึงเล่าให้หญิงชราฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเกิดของเขา
เมื่อได้ยินว่าหลินจินซานพาย่าของเขาย้ายมาอยู่ในบ้านของตัวเอง จากนั้นก็ซื้อข้าวสารอาหารแห้งติดบ้านไว้ และพานางไปเข้ารับการรักษาพยาบาล คุณแม่เซี่ยก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “จินซาน เธอเป็นเด็กดีและมีใจกตัญญู เธอทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้วล่ะ ถึงย่าของเธอจะมีตรรกะหลายอย่างที่ผิดเพี้ยน แต่ถึงยังไงหล่อนก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดพ่อของเธอ เลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนี้เธอมีความสามารถพอจะเลี้ยงตัวเองได้แล้ว ก็ควรเลี้ยงดูหล่อนในวัยชราด้วย แต่จงจำไว้ว่าให้เลี้ยงดูด้วยสิ่งของจำเป็นเท่านั้น ต้องไม่ปล่อยให้หล่อนมีอิทธิพลต่อความคิดใด ๆ”
“ผมตระหนักเรื่องพวกนั้นแล้วครับย่า จากนี้จะไม่ปล่อยให้หล่อนชักนำผมไปผิดทางอีก”
เซี่ยเหลยมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับหลินจินซานในครั้งนี้ เขาพูดเสริมว่า “จินซานทำหน้าที่หลานได้เป็นอย่างดี เขามีความคิดเป็นของตัวเอง และมีความรับผิดชอบ”
“ในเมื่อทุกอย่างที่บ้านเรียบร้อยดีแล้ว พวกเธอสองคนคงพร้อมจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุดใช่ไหม?” คุณแม่เซี่ยมองพวกเขาอย่างคาดหวังแล้วถาม
เซี่ยเหลยมองไปที่หลิวกุ้ยอิง จากนั้นก็ประกาศกับทุกคนว่า “พรุ่งนี้เราขอเวลาพักผ่อนสักวันครับ แล้วค่อยไปจดทะเบียนสมรสกันวันมะรืนนี้”
พี่ใหญ่กระตือรือร้นมาก จนทั้งเซี่ยไห่และเซี่ยอวี่อดหัวเราะไม่ได้
คุณแม่เซี่ยถามว่า “แล้วงานแต่งจะจัดที่ไหน?”
“ไม่จัดงานแต่งดีกว่าค่ะ”
หลิวกุ้ยอิงกล่าวอย่างหนักแน่น “เราได้ปรึกษาหารือกันแล้ว และตัดสินใจว่ามันไม่จำเป็นเลย ชีวิตหลังจากนี้ขึ้นอยู่กับเราสองคน ตอนนี้เราแค่อยากมีชีวิตที่มั่นคงเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องผ่านพิธีการใด ๆ แค่จดทะเบียนกันให้ถูกต้องตามกฎหมายก็พอแล้ว”
“ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องถ่ายรูปแต่งงานนะคะ พ่อ แม่ ต่อให้ไม่จัดงานแต่ง อย่างน้อยถ่ายรูปร่วมกัน จัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ กินข้าวร่วมกันก็ได้ เสร็จทุกอย่างแล้วค่อยย้ายมาอยู่ที่นี่”
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลินเซี่ยพูด เซี่ยไห่ก็พูดว่า “มันจะไม่เรียบง่ายเกินไปเหรอ?”
พี่สะใภ้ของเขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัสมาหลายปี ฝ่าฟันความยากลำบากทุกรูปแบบในการคลอดลูกให้อยู่รอดเพื่อพี่ใหญ่ของเขา ทำให้ทุกคนในตระกูลเซี่ยมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง นับว่าตระกูลเซี่ยติดหนี้พี่สะใภ้อย่างยิ่งยวด
ในที่สุดพวกเขาก็ได้กลับมาอยู่ด้วยกันเสียทีหลังจากผ่านความยากลำบากทั้งหมด ถ้าไม่มีพิธีการใด ๆ เลย แต่ย้ายมาอยู่ที่นี่เงียบ ๆ เซี่ยไห่คิดแล้วก็ทนไม่ไหว
หลิวกุ้ยอิงรีบพูด
“ไม่เรียบง่าย ไม่เรียกว่าเรียบง่ายเกินไปเลย”
แม้ว่าหลิวกุ้ยอิงจะอาศัยอยู่ในเมืองมาได้สักพัก แต่ความคิดของหล่อนยังคงเป็นอนุรักษนิยม ในสายตาของหล่อน การแต่งงานครั้งที่สองไม่ควรจัดงานให้เอิกเกริก ถ้าเป็นในพื้นที่ชนบท ผู้หญิงที่แต่งงานเป็นครั้งที่สองจะถูกจัดแจงย้ายเข้าบ้านสามีในเวลากลางคืนด้วยซ้ำ ทำตัวให้เงียบเชียบที่สุดเท่าใดยิ่งดี ไม่มีสิ่งที่เรียกว่างานแต่งสักนิด
หล่อนโชคดีมากที่ได้รับการเอาใจใส่จากคนอื่นอย่างจริงจัง ได้รับพรและความเข้าใจจากทุกคน แต่หล่อนไม่ต้องการทำเรื่องให้ใหญ่โตจนคนอื่นต้องพูดถึงในภายหลัง
หลังจากจดทะเบียนสมรสแล้ว พวกเขาจะกลายเป็นสามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย และนั่นก็เพียงพอแล้ว
“พ่อ คิดเห็นยังไงกับเรื่องนี้คะ?” หลินเซี่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ท้ายที่สุดนี่ก็คือการแต่งงานครั้งแรกของพ่อเธอ
เซี่ยเหลยตอบว่า “พ่อเคารพความคิดเห็นของแม่ เราเคยคบกันเมื่อยี่สิบปีก่อนโน่นแล้ว งานพิธีไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญคือเราสองคนสามารถพึ่งพาซึ่งกันและกันได้ ไม่ทอดทิ้งกันยามยาก และมีชีวิตที่ดี ส่วนที่เหลือซึ่งไม่จำเป็นละไว้ในฐานที่เข้าใจเป็นพอ”
เซี่ยเหลยมองไปที่ลูกสาวคนโต ลูกเขย และหลานชายที่อยู่ตรงหน้า…
ไม่สามารถพูดโดยไม่ละอายได้ว่านี่คือการแต่งงานครั้งแรกของเขา
เขาและหลิวกุ้ยอิงทำทุกอย่างที่ควรทำไปตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อน แม้เขาเต็มใจที่จะจัดงานแต่งให้หล่อนอย่างยิ่งใหญ่ แต่เขาก็เข้าใจความลำบากใจในปัจจุบันของหลิวกุ้ยอิงอย่างถ่องแท้
การจะรักใครสักคน คุณต้องเข้าใจเขา และเคารพการตัดสินใจของเขาก่อน อย่าบังคับอีกฝ่ายให้ทำสิ่งที่เขาไม่ชอบ
“ก็ได้ แล้วแต่พวกเธอก็แล้วกัน”
ในเมื่อเซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงตัดสินใจแล้ว คุณแม่เซี่ยไม่ได้บังคับอีก
นางเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาดี พวกเขาไม่ใช่หนุ่มสาวแรกรุ่น เป็นธรรมดาที่จะรู้สึกเคอะเขินเมื่อต้องจัดงานแต่ง และกลัวที่จะถูกหัวเราะเยาะ
คุณแม่เซี่ยพูดขึ้นว่า
“ถ้าไปจดทะเบียนวันมะรืน งั้นวันนี้ฉันจะแจ้งข่าวกับญาติสนิทให้ทราบข่าวดี จองโต๊ะจีนสักสองโต๊ะที่ภัตตาคารในคืนวันมะรืนด้วย เราคงละเว้นธรรมเนียมนี้ไม่ได้หรอกใช่ไหม?”
“จองสองโต๊ะเลยเหรอคะ?” สีหน้าของหลิวกุ้ยอิงเริ่มตึงเครียดอีกครั้ง
คุณแม่เซี่ยพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ใช่ คนอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องไม่ได้รับเชิญ มีแค่ครอบครัวของเสี่ยวเย่และครอบครัวของเจียเหอ พวกเขาสมควรได้รับรู้เรื่องนี้ และรับประทานอาหารด้วยกันหลังจากพวกเธอจดทะเบียนสมรส ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะคิดว่าเธอสองคนแค่จับพลัดจับผลูมาอยู่ด้วยกันอย่างไร้สถานะ อีกหน่อยลูก ๆ ของพวกเธอต้องแต่งงาน จะปล่อยผ่านสถานะโดยไม่ป่าวประกาศจนทำให้พวกเขาอับอายไม่ได้”
เซี่ยเหลยตอบกลับ “แม่คิดการรอบคอบเสมอเลยครับ”
หลิวกุ้ยอิงคิดว่าตัวเองหลีกหนีความลำบากใจพ้นแล้ว ไม่คาดคิดว่ายังต้องกินข้าวกับญาติ ๆ อีก
ถึงอย่างนั้น นี่ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในทุกกรณี
เหมือนกับที่หญิงชราพูดไว้ จงแสดงสถานะให้เปิดเผยและเป็นตัวอย่างที่ดีเสียก่อน ไม่อย่างนั้นจะโดนดูถูกเอาได้ในภายหลัง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีงานเล็กๆ ไม่ต้องใหญ่โตก็ถือว่าโอเคนะคะ ดูอบอุ่นไม่วุ่นวายดี ไม่เปลืองเงินด้วย
ไหหม่า(海馬)