ตอนที่ 507 ในที่สุดก็ได้แต่งหล่อนเข้าบ้าน
ตอนที่ 507 ในที่สุดก็ได้แต่งหล่อนเข้าบ้าน
หลินเซี่ยเห็นว่าหลินจินซานและหลินเยี่ยนต่างก็มีอารมณ์ที่ซับซ้อน
เธอยิ้มแล้วพูดว่า “อย่าเศร้าไปเลย พวกเขาจะกลับมาเร็ว ๆ นี้ กินอาหารเช้าเร็วเข้า เสร็จแล้วเราจะเข้าไปที่ร้านด้วยกัน”
“ฉันขอไปด้วยสิ รู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่ต้องอยู่บ้านคนเดียว”
หลินจินซานขี่มอเตอร์ไซค์ของหลินเซี่ย น้องสาวทั้งสองคนก็เบียดเสียดซ้อนสามอยู่ที่เบาะหลังแล้วตรงไปที่ร้าน
หลินเยี่ยนเปิดประตู หยิบสมุดรายการเดินบัญชีของร้านออกมา และอธิบายธุรกรรมล่าสุดให้หลินเซี่ยฟัง
“พี่สาว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาฉันได้แต่งหน้าให้ลูกค้าไปทั้งหมดสามราย ได้ลองแต่งหน้าให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะเข้าพิธีหมั้นหมายด้วย หล่อนบอกว่าร้านเราถูกใจหล่อนมาก ๆ ปลายปีนี้จะมีพิธีแต่งงาน หล่อนเลยจะมาเช่าชุดเจ้าสาวจากร้านเราอีกครั้ง เรียกว่าผูกขาดกับร้านเลยก็ว่าได้
เดือนหน้ามีนัดหมายแต่งหน้าให้เจ้าสาวอีกสองราย แต่ลูกสาวของคุณป้าเมื่อคราวที่แล้วบอกว่าหล่อนอยากแต่งหน้าเองมากกว่า เพราะไม่ค่อยเชื่อใจในฝีมือฉัน”
หลินเซี่ยมองดูรายชื่อในมือหลินเยี่ยน ทันใดนั้นก็จำลูกค้าคนดังกล่าวได้ เธอพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “แค่นี้ก็ดีแล้ว เราเพิ่งเปิดร้านได้ไม่นาน ไม่รีบร้อนหาลูกค้าหรอก ค่อย ๆ สะสมชื่อเสียงและฝีมือไปเรื่อย ๆ”
หลินเยี่ยนทำงานจดบันทึกได้อย่างรอบคอบ เขียนรายละเอียดทั้งหมดไว้ชัดเจนมาก ทุกรายการเป็นระเบียบ
หลินจินซานเฝ้าดูหลินเยี่ยนทำงานเสมียนบัญชีของร้านอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมกันนั้นเขาก็ประทับใจในตัวน้องสาวที่เก็บตัวและขี้อายคนนี้
ในอดีต ตอนอยู่บ้านนอก เสี่ยวเยี่ยนถูกกดขี่ข่มเหงจนไม่กล้าเงยหน้ามองใครเลย
พอตอนนี้สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป ศักยภาพของหล่อนก็ค่อย ๆ ฉายแววออกมา
หลินเยี่ยนโทรหาเย่เชี่ยน แจ้งข่าวให้อีกฝ่ายทราบว่าหลินเซี่ยกลับมาแล้ว และขอให้หล่อนพาคนที่จะนัดสัมภาษณ์เข้ามาที่ร้านได้เลย
พี่น้องทั้งสามอยู่ในร้าน รออยู่ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เย่เชี่ยนก็มาถึง
ชายผมยาวอีกคนเดินตามหลัง เขาสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์ขาบาน ติดตามเย่เชี่ยนเข้ามาพร้อมกับกล้องที่สะพายอยู่บนไหล่
ดูจากเครื่องแต่งกายและนิสัยของเขาแล้ว ผู้ชายคนนี้เป็นคนค่อนข้างล้ำสมัยทีเดียว
บรรยากาศรอบตัวแผ่ให้เห็นถึงอารมณ์ศิลปิน ค่อนข้างเย็นชาและวางตัวห่างเหิน
“เซี่ยเซี่ย เธอกลับมาแล้วเหรอ?” เย่เชี่ยนรีบแนะนำกับหลินเซี่ย “นี่เพื่อนฉันเอง ชื่อจางซ่วน หรือจะเรียกเขาว่าซ่วนจื่อก็ได้”
ความหมายของชื่อช่างภาพผู้โดดเดี่ยวคนนี้ ช่างไม่ตรงกับลักษณะนิสัยของเขาเอาเสียเลย
“สวัสดีค่ะ” หลินเซี่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“คุณอยากสมัครเป็นช่างภาพใช่ไหมคะ?”
จางซ่วนเสยผมแล้วตอบกลับอย่างสบาย ๆ “ครับ”
หลินเซี่ยมองไปที่ชายหนุ่มซึ่งดูไม่ค่อยเป็นมิตรเท่าใดตรงหน้า รู้สึกคุ้นตาอย่างอธิบายไม่ถูก
เหมือนว่าเธอเคยเจอเขาที่ไหนสักแห่ง
จางซ่วน…
เธอคิดเรื่องนี้อยู่สักพัก แต่ดูเหมือนจะไม่รู้จักใครที่มีชื่อเดียวกันนี้เลย
หลินเซี่ยบอกว่า “ได้ค่ะ เชิญนั่งรอก่อนนะคะ อีกไม่นานคู่บ่าวสาวจะเข้ามาถ่ายรูปที่ร้านเรา คุณลองถ่ายภาพพวกเขาในชุดแต่งงานให้เราดูก่อน ถ้าเราเห็นผลลัพธ์แล้วถึงจะเริ่มคุยเรื่องการว่าจ้างกันต่อ”
หลินเยี่ยนยกน้ำดื่มมาเสิร์ฟให้พวกเขา “ดื่มน้ำก่อนนะคะ”
“ขอบคุณ”
เมื่อเห็นว่าจางซ่วนยังแสดงท่าทางกังวลเช่นเคย เย่เชี่ยนก็ให้กำลังใจเขาและพูดว่า “ซวนจื่อ ถึงร้านของเซี่ยเซี่ยเพิ่งเปิดได้ไม่นาน แต่ทักษะการแต่งหน้าของหล่อนก็เป็นที่เลื่องลือมาก สไตล์ของชุดแต่งงานที่หล่อนเลือกมาลงในร้านก็ทันสมัยมากเหมือนกัน ถือว่าดีที่สุดในเมืองเราแล้ว เป็นร้านที่มีบริการถ่ายภาพ เช่าชุดแต่งงาน แต่งหน้าแบบครบวงจร แถมหล่อนยังมีร้านตัดผมอีกสาขาด้วย ธุรกิจกำลังเฟื่องฟูทีเดียว เซี่ยเซี่ยเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีโอกาสพัฒนาทางอาชีพอย่างดีในอนาคต ถ้าผลงานการถ่ายภาพของนายผ่านเกณฑ์และได้กลายเป็นช่างภาพของที่นี่ อย่างน้อยนายก็ได้รายได้ขั้นต่ำ แล้วก่อนค่อยคุยกันเรื่องอื่น ๆ หลังจากที่เนื้องานมีเสถียรภาพแล้ว”
“อืม” จางซุ่นมองไปที่เย่เชี่ยนแล้วพูดอย่างจริงใจ “ขอบคุณนะ”
จะเห็นได้ว่าเย่เชี่ยนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจางซ่วน ขอแค่มีหล่อนอยู่ จางซ่วนก็พร้อมจะเชื่อถือในคำพูดของเธอ
หลินเซี่ยถาม “เย่เชี่ยน โรงเรียนใกล้จะเปิดเทอมเร็ว ๆ นี้แล้วใช่ไหม?”
“เปิดภาคเรียนวันมะรืนนี้แล้ว” เย่เชี่ยนถอนหายใจ “วันหยุดฤดูร้อนผ่านไปเร็วเกินไป ฉันต้องกลับไปทำงานอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้”
“ถึงยังไงอาชีพครูก็มีวันหยุดต่อเนื่องยาวกว่าพนักงานของหน่วยงานอื่น ๆ นะ รายนั้นน่ะมีวันหยุดแค่ไม่กี่วันต่อปี อย่างน้อยเธอก็มีวันหยุดฤดูหนาวและฤดูร้อนสองครั้ง”
เย่เชี่ยนยิ้มและพูดว่า “นั่นก็จริง พอเปรียบเทียบกันแล้ว วันหยุดของครูแบบเรา ๆ น่าจะยาวนานกว่าใคร”
ประมาณสิบโมง เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงก็มาที่ร้าน
หลินเซี่ยและคนอื่น ๆ รีบเข้าไปทักทายพวกเขาแล้วถามว่า “พ่อ แม่ จดทะเบียนเรียบร้อยแล้วหรือยังคะ?”
เซี่ยเหลยหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาแล้วพูดว่า “เรียบร้อยแล้ว”
พี่น้องทั้งสามหยิบมันขึ้นมาแล้วกวาดสายตาอ่านจากด้านซ้ายไปขวา
“เย่เชี่ยนก็อยู่ด้วยเหรอ?”
เย่เชี่ยนยืนขึ้นแล้วกล่าวสวัสดี “ลุงเซี่ย ป้าหลิว สวัสดีค่ะ”
หลินเซี่ยแนะนำจางซ่วน จากนั้นก็พูดกับพ่อแม่ของเธอว่า “พ่อ แม่ ช่างภาพมาถึงแล้วค่ะ พวกคุณเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องด้านหลังก่อน แล้วเราค่อยออกมาถ่ายรูปกัน”
“ที่แท้ลูกค้าที่มีนัดถ่ายภาพก็คือลุงเซี่ยกับป้าหลิวนี่เอง”
“ใช่ ถ่ายรูปให้พ่อแม่ฉันเป็นการทดลองงานเลยเป็นไง”
ทางร้านยังมีชุดสูท เสื้อเชิ้ต เนกไท และหูกระต่ายสำหรับเจ้าบ่าวให้ยืมใช้ชั่วคราวด้วย
แต่เสื้อผ้าเหล่านี้มีราคาถูกกว่าชุดเจ้าสาวมาก
ใช้เป็นเพียงอุปกรณ์ประกอบตอนถ่ายภาพ
หลินเซี่ยและหลินเยี่ยนได้เลือกชุดแต่งงานที่เหมาะสมสำหรับหลิวกุ้ยอิงไว้ก่อนแล้ว ทันทีที่พวกเธอถอดมันออกจากไม้แขวน หลิวกุ้ยอิงก็มองดูมันด้วยสีหน้าสับสน
แม้ว่าคอเสื้อของชุดนี้จะไม่เปิดกว้างหรือผ่าต่ำ แต่มันก็ไม่มีแขนเสื้อ เปิดเปลือยท่อนแขนให้เห็นเด่นชัด
“แม่ต้องใส่ชุดนี้เหรอ?” หลิวกุ้ยอิงดูสับสนและลังเล
หลินเซี่ยอธิบาย “แม่คะ มีเสื้ออีกตัวทับด้านนอก ฉันจะใส่ให้แม่ทีหลัง ไม่ต้องกลัวว่าแม่จะเปิดเผยเนื้อตัวให้ใครเห็นหรอก”
ผู้หญิงกลางคนคนนี้ช่างอนุรักษ์นิยมจนเกินเหตุจริงๆ
“อย่างนี้นี่เอง”
หลินเซี่ยพาหลิวกุ้ยอิงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ด้านหลังร้าน จากนั้นหยิบกล่องใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของเธอ
พอเปิดกล่องออก ก็เผยสร้อยข้อมือทองคำข้างใน
“เซี่ยเซี่ย นี่อะไร?”
“ฉันตั้งใจซื้อมาให้แม่ค่ะ”
เธอแวะซื้อมันขณะเดินช้อปปิ้งอยู่ที่เมืองเชินเฉิง ในเวลานั้นพ่อแม่ของเธอได้ให้เงินสำรองทั้งหมดจากร้านอาหารให้เธอติดตัวไว้
เธอจำเป็นต้องรับมัน
เมื่อคิดว่าพวกเขากำลังจะแต่งงานกันในอีกไม่ช้า เธอจึงใช้เงินก้อนนี้เพื่อซื้อกำไลและสร้อยคอทองคำให้ผู้เป็นแม่
เดิมทีเธอตั้งใจจะซื้อแหวน แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าพ่อควรเป็นคนที่ซื้อแหวนวงนั้น
“เซี่ยเซี่ย ทำไมถึงเอาแต่ซื้อของราคาแพงแบบนี้อยู่เรื่อยเลย?”
“แม่ อย่าเอ็ดไปสิคะ เดี๋ยวฉันจะใส่ให้”
เหตุผลที่เธอไม่หยิบออกมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่บ้านเมื่อคืน เพราะเธอกลัวว่าหลินจินซานและหลินเยี่ยนจะรู้สึกว่าตัวเองมีช่องว่าง
พวกเขาพยายามอย่างเต็มที่ในการซื้อของให้แม่ตัวเอง เพียงแต่เงื่อนไขทางการเงินของพวกเขามีจำกัด
เธอไม่ต้องการกดดันพวกเขาทางอ้อม ดังนั้นจึงใช้วิธีกดดันหลิวกุ้ยอิงด้วยวิธีที่ไม่ซับซ้อนแทน
“ใส่ไว้เถอะค่ะ ตอนถ่ายรูปจะได้เสริมสง่าราศีด้วย”
หลินเซี่ยสวมสร้อยข้อมือให้ อดใจไว้ว่าใส่แค่อย่างเดียวก็น่าจะเพียงพอ
แต่แล้วเธอก็สวมสร้อยคอให้แม่ด้วย
เมื่อหลิวกุ้ยอิงเห็นเครื่องประดับทั้งสองชิ้น หัวใจของหล่อนก็เจ็บเหมือนถูกกรีด
เหตุผลสำคัญเป็นเพราะหลินเซี่ยใช้เงินจำนวนมากเพื่อซื้อมัน ทำให้หล่อนรู้สึกแย่เกินกว่าจะรับไว้
หล่อนอยากเก็บตัวอยู่เงียบ ๆ ไม่ทำอะไรเลย แต่สุดท้ายแล้วลูกสาวก็ยังไม่วายต้องเสียเงิน
“ทำตัวให้เป็นธรรมชาติหน่อยค่ะ เลิกบ่นเวลาอยู่ต่อหน้าคนเยอะ ๆ ของที่ฉันซื้อไม่ได้ใช้เงินมากมายอะไรเลย อีกอย่าง เราทำงานหาเงินก็เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ตอนนี้ฐานะเราแตกต่างไปจากเมื่อก่อน แนวคิดการบริโภคก็ต้องเปลี่ยนตาม”
หลินเซี่ยรวบผมและแต่งหน้าอ่อน ๆ ให้หลิวกุ้ยอิงเสร็จแล้ว ที่จริงคิดจะติดดอกไม้บนผมของแม่ด้วย แต่หลิวกุ้ยอิงปฏิเสธ
“เอาล่ะ แค่นี้ก็สวยแล้วล่ะค่ะ”
เมื่อวานเซี่ยเหลยเพิ่งไปตัดผมมา พอเขาสวมสูท เสื้อเชิ้ต และผูกเน็คไทอย่างเป็นทางการ บุคลิกและท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปจากเดิมทันที
ชายวัยกลางคนในวัยสี่สิบแต่งตัวแบบนี้ ให้รังสีของความเด็ดเดี่ยว หล่อเหล่าสมวัย และดูมีพลังมาก
“พ่อ วันนี้หล่อจังเลยค่ะ”
เซี่ยเหลยมองดูตัวเองในกระจกแล้วยิ้ม “พ่อว่าตัวเองก็ไม่เลว”
เขายังไม่แก่เสียหน่อย
เมื่อหันไปเห็นหลิวกุ้ยอิงที่แต่งหน้าทำผมเรียบร้อย ดวงตาของเซี่ยเหลยก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
แม้ว่าหลังจากนั้นดวงตาจะเปลี่ยนไปเป็นแดงก่ำก็ตาม
วันนี้เขาสามารถทำตามสัญญาที่ล่าช้าไปยี่สิบปีได้แล้ว
ในที่สุด เขาก็ได้แต่งหล่อนเข้าบ้าน
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
วันนี้ที่รอคอยสินะคะคุณพ่อ เวลาที่เหมาะสมนำมาซึ่งโอกาสที่เหมาะสมล่ะค่ะ
ไหหม่า(海馬)